ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 196
“เจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับผู้อาวุโสอวี่เสวียน”
หลิ่วชิงเยียนเดินออกมาแล้ว จนกระทั่งมองส่งหญิงรับใช้ชิวขุยเดินออกไป คราวนี้นัยน์ตาสุกใสของนางจึงมองไปทางหลินสวิน “ผู้อาวุโสมีเรื่องวุ่นวายวิ่งเข้าหาแล้วใช่หรือไม่”
หลินสวินคิดเล็กน้อย ไม่ได้ปิดบัง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงพยักหน้า
คิ้วดำขลับของหลิ่วชิงเยียนขมวดมุ่น ถอนหายใจเงียบๆ
หลินสวินเชิญอีกฝ่ายนั่งลง รินชาให้นางถ้วยหนึ่ง คราวนี้จึงเอ่ยถามว่า “พอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าบนยานลมกรดยามนี้ ผู้ใดคิดไม่ดีต่อเจ้า”
หลิ่วชิงเยียนนิ่งเงียบไปพักหนึ่งค่อยกล่าว “ผู้อาวุโสถามมา ข้าย่อมไม่ควรปิดบัง เพียงแต่ในเรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงความขัดแย้งภายในของหอเสียงสวรรค์…”
หลินสวินยิ้มเอ่ยตัดบท “เจ้าคิดเสียว่าพูดคุยเล่นกันก็พอ หากไม่จำเป็นข้าย่อมไม่ทำเรื่องที่เกินกำลังแน่นอน”
หลิ่วชิงเยียนพยักหน้าน้อยๆ
บนยานลมกรดครั้งนี้ หอเสียงสวรรค์ทั้งหมดมีกึ่งจักรพรรดิสองคน มกุฎราชันอริยะเจ็ดคน และผู้อาวุโสระดับราชันอริยะหลายสิบคนรวมกันเป็นกำลังหลัก
นอกจากนี้ยังมีศิษย์สืบทอดแท้จริง ผู้คุมกฎ ผู้ติดตามชั้นยอดด้วยส่วนหนึ่ง
เกี่ยวกับเรื่องของหลิ่วชิงเยียนนี้ ในระดับกึ่งจักรพรรดิสองคน คนหนึ่งมีจุดยืนที่ชัดเจน แสดงออกว่าไม่พอใจหลิ่วชิงเยียนตั้งแต่ต้น
คนผู้นี้ชื่อว่าฮว่าเตี่ยน เป็นผู้อาวุโสชั้นสูงของหอเสียงสวรรค์
และในหมู่มกุฎราชันอริยะเจ็ดคน มีสี่คนที่เป็นคนใต้ปกครองของฮว่าเตี่ยน อยู่ฝั่งเดียวกัน
อาจารย์จวงอวิ้นจื้อของหลิ่วชิงเยียนกับมกุฎราชันอริยะอีกคนที่ชื่อเซียวอวิ๋นคงกลับยืนอยู่ฝั่งหลิ่วชิงเยียน ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน
ทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว หลินสวินก็ขบคิดอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวว่า “หรือก็หมายความว่า อีกฝ่ายคือกึ่งจักรพรรดิหนึ่งคน มกุฎราชันอริยะสี่คน ส่วนฝั่งเจ้าก็มีแค่มกุฎราชันอริยะสองคนอย่างอาจารย์ของเจ้ากับเซียวอวิ๋นคงเท่านั้นหรือ”
หลิ่วชิงเยียนพยักหน้า
หลินสวินถามต่อว่า “เช่นนั้นกึ่งจักรพรรดิอีกคนและมกุฎราชันอริยะคนสุดท้ายที่เหลือเล่า พวกเขามีจุดยืนอย่างไร”
หลิ่วชิงเยียนถอนใจกล่าวว่า “น่าจะถือได้ว่าวางตัวเป็นคนนอก กอดอกเฝ้าดูอยู่ข้างๆ กระมัง”
สองคนนี้ คนหนึ่งชื่อเหลียงชวนเป็นระดับกึ่งจักรพรรดิ อีกคนชื่อปู้เฟยอวี่ เป็นมกุฎราชันอริยะ
เป็นกลุ่มที่วางตัวเป็นกลาง
ถึงตอนนี้หลินสวินเข้าใจโดยสิ้นเชิง สถานการณ์เช่นนี้ไม่เอื้อประโยชน์ต่อหลิ่วชิงเยียนเป็นที่สุด
ลำพังแค่อีกฝ่ายมีกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งเป็นผู้นำ ก็สามารถสร้างแรงกดดันไม่รู้จบให้หลิ่วชิงเยียนรวมถึงอาจารย์จวงอวิ้นจื้อของนางได้แล้ว!
หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่งนัยน์ตาดำก็ไหวขยับ สื่อจิตกล่าว ‘แม่นางชิงเยียน ข้าบังอาจถามสักอย่าง หากสถานการณ์ยิ่งมีแต่เลวร้ายลง จนสุดท้ายแม้แต่ท่านอาจารย์ของข้ายังไม่มีพลังคุ้มครองเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร’
หลิ่วชิงเยียนอึ้งไป ดวงหน้างามวูบไหวไม่มั่นคง กล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้าไม่อาจทำให้ท่านอาจารย์ต้องพลอยลำบากแน่”
น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับทำให้ในใจหลินสวินเต้นตุบตับ รู้ว่าหากเกิดความขัดแย้งจริงๆ เป็นไปได้สูงว่าหลิ่วชิงเยียนอาจเสียสละตนเอง เพื่อปกป้องท่านอาจารย์ของนาง!
หลิ่วชิงเยียนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้อาวุโส เรื่องพวกนี้ท่านรู้ไว้ก็พอ แต่ไม่อาจเข้าไปพัวพัน พวกเขาเพื่อจะช่วยข่งอวี้บีบให้ข้ายอมจำนน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น”
นางตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว ยังคำนึงถึงคววามปลอดภัยของคนนอกอย่าง ‘อวี่เสวียน’ คนนี้อีก ทำให้หลินสวินยังรู้สึกซึ้งไปพักหนึ่ง
เขาพยักหน้า “ข้าเข้าใจ”
หลิ่วชิงเยียนลุกขึ้นขอตัวลา กลับเข้าห้องไป
หลินสวินนั่งอยู่คนเดียวตรงหน้าโต๊ะหินในลาน จมสู่ภวังค์ความคิดอยู่เนิ่นนาน
เขาไม่กลัวกึ่งจักรพรรดิ ต่อให้จะไม่เปิดเผยตัวตน ก็มีวิธีที่สามารถฆ่าอีกฝ่ายให้ตายได้
เพียงแต่ หากอีกฝ่ายตายไป ย่อมต้องก่อให้เกิดคลื่นลมขึ้นเป็นแน่
สิ่งที่หลินสวินครุ่นคิดคือ ภายใต้สถานการณ์เลวร้ายที่สุดเช่นนี้ ควรทำอย่างไรถึงจะไม่ให้อีกฝ่ายสงสัยมาถึงตนได้
“คิดอยากก้มหน้าสักหน่อย ออกจะยากไปหน่อยจริงๆ เลย…”
เนิ่นนาน หลินสวินก็อดยิ้มขมขื่นไม่ได้
“เอาเถิด แม่นางชิงเยียนดีร้ายเจ้าก็เป็นเพื่อนเก่าของข้าคนแซ่หลิน มีหรือจะมองดูนางถูกคนรังแก หากบีบคั้นกันจริงๆ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน!”
ประจุเย็นในตาดำของหลินสวินขยับไหว
จากภายนอก นี่ดูเหมือนเป็นเพียงการต่อสู้ภายในของหอเสียงสวรรค์ฉากหนึ่ง แต่หลินสวินรู้ดี บนยานลมกรดลำนี้ ถึงแม้ข่งอวี้ผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์จะไม่อยู่ แต่เขากลับส่งผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งแฝงตัวเข้ามาด้วย
นี่ก็เป็นการข่มขู่อย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน!
“เรือนมรรคดึกดำบรรพ์…”
จู่ๆ หลินสวินก็หัวเราะขึ้นมา
ปีนั้นในแหล่งสถานคุนหลุน เขาฆ่าผู้สืบทอดที่รวมคุนจิ่วหลินอยู่ในนั้นไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ มีหรือจะเกรงกลัวข่งอวี้คนหนึ่ง?
“หวังว่าเจ้าจะไม่วอแวกับข้า”
หลินสวินตั้งใจจะปกปิดตัวตน ก้มหน้าดำเนินการจริงๆ ไม่ดึงดูดความสนใจของบุคคลอื่นจะเป็นการดีที่สุด
แต่การก้มหน้าและอดทนก็มีขีดจำกัด!
ก็เหมือนปีนั้นตอนที่เขาเพิ่งไปถึงดินแดนรกร้างโบราณเป็นครั้งแรก เรียกได้ว่าทั่วแปดทิศมีแต่ศัตรู แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ว่าถูกเขาลุยดะฆ่าจนเส้นทางนองเลือดแล้วหรอกหรือ
อดทน ไม่ใช่ทำให้ตนต้องกลายเป็นพวกไร้ประโยชน์เสมอไป!
หากเป็นเช่นนี้ ยังจะฝึกปราณอะไรกัน
…
นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เวลาว่างจากการฝึกฝน ‘คัมภีร์เก้ากระถางสยบหล้า’ กลั่นหลอมจิตแห่งอวัยวะต้นห้า หลินสวินก็เริ่มหลอมสมบัติวางค่ายกลอย่างพวกธงกระบวน จานกระบวน ยันต์กระบวนส่วนหนึ่ง
ยานลมกรดเป็นยานข้ามโลกขนาดมหึมาลำหนึ่ง ตัวเรือนทั้งในนอก ปกคลุมด้วยค่ายกลลายมรรคที่แน่นหนา ยามเมื่อเคลื่อนตัวบนทางเดินโบราณฟ้าดารา หนึ่งวันล้วนสิ้นเปลืองไปกว่าห้าแสนผลึกมรรค
แต่ว่า ก็เพราะปกคลุมด้วยกระบวนผนึกลายมรรคมากมาย ทำให้ยานลมกรดทนทานหาใดเปรียบ ยามเคลื่อนตัวกลางฟ้าดารา สามารถสลายภัยอันตรายที่คาดไม่ถึงได้มากมาย
จากการสังเกตของหลินสวิน พลังกระบวนผนึกที่ปกคลุมบนยานลำนี้ คงจะสามารถต้านทานการโจมตีของระดับกึ่งจักรพรรดิเอาไว้ได้
ที่น่าเสียดายคือ ยานลมกรดสุดท้ายก็เป็นเพียงยานข้ามโลกลำหนึ่ง หาใช่กระบวนผนึกที่สมบูรณ์แบบ
หาไม่ ขอเพียงควบคุมพลังกระบวนผนึกของยานข้ามโลกลำนี้ได้ ก็เท่ากับสามารถกำชะตาชีวิตของผู้แข็งแกร่งทุกคนบนยานเอาไว้ในมือได้
หลินสวินไม่เพ้อฝันที่จะควบคุมยานลมกรด ขอแค่มีหวังได้ครองพื้นที่เล็กน้อยของตนก็พอแล้ว
หลายวันต่อมา หลินสวินเริ่มยุ่งง่วนขึ้นมา เริ่มลงมือไปกับการวางค่ายกลอยู่ในลานอันเงียบสงบแห่งนี้
หลิ่วชิงเยียนยังรู้สึกแปลกใจต่อเรื่องนี้ คงเพราะคิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสอวี่เสวียนคนนี้ถึงกับเป็นนักสลักลายมรรคที่เชี่ยวชาญวางค่ายกลคนหนึ่งด้วย
จนกระทั่งเจ็ดวันให้หลัง
คราวนี้หลินสวินจึงหยุดเคลื่อนไหว เผยรอยยิ้มพึงพอใจ
ภายในลาน กระบวนผนึกลายมรรคขนาดใหญ่ที่ถูกเขาวางขึ้นโดยคำนึงถึงการป้องกัน และกักขังจองจำ มีชื่อเรียกว่า ‘กระบวนผนึกหมู่ดารา’
ยามที่โคจร ยังสามารถสื่อสารกับพลังแห่งหมู่ดาวบนฟ้าดารา ต่อให้มกุฎราชันอริยะถูกกักขังอยู่ในนั้น ชั่วขณะหนึ่งก็ยังไม่สามารถหนีรอดได้
และที่หลินสวินจ่ายไปคือวัตถุดิบเทพและเจตวัตถุที่มีมูลค่าราวๆ หนึ่งล้านผลึกมรรค!
ราคานี้เรียกได้ว่าน่าตกใจ หากเป็นเมื่อก่อน หลินสวินคงจ่ายไม่ไหวสักนิด
และเพราะตอนที่อยู่แดนลับต้าอวี่ คนใหญ่คนโตจากเก้าดินแดนถูกเขาฆ่าจนเกลี้ยง ด้วยเหตุนี้จึงสร้างทรัพย์สินที่เรียกได้ว่าจำนวนมหาศาลก้อนหนึ่ง
ลำพังแค่ผลึกมรรคที่เขามีบนตัวในยามนี้ ก็มีถึงเก้าล้านผลึก!
นี่ยังไม่รวมของจำพวกวัตถุดิบเทพ ยาลูกกลอน สมบัติล้ำค่าที่กองพะเนินเป็นภูเขาพวกนั้นด้วย
กล่าวได้ว่า หลินสวินยามนี้ก็ถือว่าฐานะไม่ธรรมดา มั่งคั่งร่ำรวย ภายในเวลายาวนานล้วนไม่ต้องกังวลเรื่องผลึกมรรคอีกต่อไป
“แม่นางชิงเยียน เจ้าเก็บยันต์หยกนี้ไว้ให้ดี”
หลินสวินเจอตัวหลิ่วชิงเยียน ยื่นยันต์หยกที่กลั่นหลอมเป็นการเฉพาะชิ้นหนึ่งให้ กล่าวกำชับว่า “หากพบเรื่องที่เป็นอันตรายใดๆ จงบดขยี้ยันต์นี้ ข้าก็จะรู้ตั้งแต่จังหวะแรก”
“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งแล้ว”
หลิ่วชิงเยียนฉายแววซาบซึ้ง
ก่อนหน้านี้นางหาได้เห็นความสำคัญของอวี่เสวียนมากมายนัก เพียงแค่เห็นอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง และไม่เคยฝากความหวังว่าอีกฝ่ายจะสามารถช่วยเหลือและอารักขานางได้อย่างแท้จริง
แต่ผ่านการอยู่ร่วมกันในระยะนี้ นางกลับพบว่า ผู้อาวุโสอวี่เสวียนคนนี้ อย่างน้อยในแง่ของหน้าที่ ‘ผู้คุ้มกัน’ ก็ใส่ใจเป็นอย่างมาก
แน่นอน ก็มีแค่นี้เท่านั้น
หลิ่วชิงเยียนรู้ดี หากเกิดอันตรายขึ้นมาจริงๆ คนที่นางจะสามารถพึ่งพาได้ก็มีแต่ท่านอาจารย์จวงอวิ้นจื้อเท่านั้น ถึงอย่างไร ขุมอำนาจของคู่ต่อสู้ก็แข็งแกร่งเกินไปแล้ว
แข็งแกร่งถึงขั้นทำให้หลิ่วชิงเยียนไม่กล้าฝากความหวังกับ ‘อวี่เสวียน’ เลยสักนิด
ถึงขนาดนางยังเป็นห่วงว่าท่านอาจารย์ของตนจะสามารถประคองไหวหรือไม่…
หลินสวินย่อมมองออก หลิ่วชิงเยียนเหมือนกับท่านอาจารย์ของนาง ต่างพากันเห็นตนเป็นเพียงผู้คุ้มกันธรรมดาคนหนึ่ง
แต่เขาก็ไม่อาจไปอธิบายอะไรได้ แค่ระบายยิ้มแล้วหันตัวออกไป
และในวันนั้นเอง หลินสวินเรียกชิวขุยกับตงเย่เข้ามา บอกกับพวกนางว่า ต่อให้ไม่ต้องให้พวกนางมาคอยปรนนิบัติพัดวีอีก
ถึงจะไม่เข้าเหตุผล แต่หญิงสาวทั้งสองก็ยังตอบรับแต่โดยดี ไม่นานก็เดินออกไป
ช่วงพลบค่ำของวันนั้น ชายหนุ่มชุดฟ้าคนหนึ่งมุ่งหน้ามา ยืนอยู่นอกลานเอ่ยปากพูดเสียงดัง “ศิษย์น้องหลิ่ว ศิษย์พี่อู่อวิ๋นเหลียนสั่งมาว่าให้เชิญท่านไปเป็นแขกที่เรือนสมบัติล้ำ”
อู่อวิ๋นเหลียน?
หลิ่วชิงเยียนที่กำลังบรรเลงพิณอยู่ในห้องเนตรดาราแข็งงทื่อ เป็นนางได้อย่างไร
ไม่รอให้นางตอบกลับ หลินสวินที่อยู่ในลานก็เอ่ยปาก “แม่นางชิงเยียนกำลังปิดด่าน ระยะนี้เกรงว่าจะคงไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ เชิญกลับไปเถิด”
นอกลาน ชายหนุ่มชุดฟ้าขมวดคิ้ว “เจ้าก็คืออวี่เสวียนจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่คนนั้น? ข้าพูดกับศิษย์น้องหลิ่ว ทางที่ดีเจ้าอย่าพูดแทรกเป็นดีที่สุด!”
ขนาดหลิ่วชิงเยียนยังเรียก ‘อวี่เสวียน’ ที่หลินสวินปลอมตัวอยู่ว่าผู้อาวุโส แต่ชายหนุ่มชุดฟ้าคนนี้ถึงกับเรียกชื่อตรงๆ ซ้ำน้ำเสียงยังไม่เกรงใจเลยสักนิด
หลินสวินเลิกคิ้วน้อยๆ นึกถึงกระดาษาแผ่นนั้นที่ได้รับเมื่อหลายวันก่อน อย่าบอกนะว่าอีกฝ่ายคิดว่าหลังจากตนถูกข่มขู่เตือนภัยแล้วจะเอาแต่อดทน
เขาหยัดตัวลุกขึ้นตรงๆ เดินออกไปด้านนอกลาน
“ผู้อาวุโส…”
ในใจหลิ่วชิงเยียนบีบรัด เพิ่งตั้งท่าจะห้ามปราม ก็เห็นหลินสวินโบกมือ ระบายยิ้ม สื่อจิตบอกกับอีกฝ่าย มอบให้ตนจัดการก็พอ
“เจ้าหนุ่ม ผู้อาวุโสตระกูลเจ้าไม่เคยสั่งสอนเจ้าหรือ อะไรที่เรียกว่าเคารพผู้อาวุโส”
หลินสวินเปิดประตูใหญ่ของลาน และเอ่ยปากเสียงเรียบเฉย
ชายหนุ่มชุดฟ้าอึ้งไป ชี้ปลายจมูกตนเอง “นี่เจ้ากำลังสั่งสอนข้าหรือ”
หลินสวินกอดสองแขนไว้ตรงอก เงาร่างพิงอยู่หน้าประตู มองสำรวจชายหนุ่มชุดฟ้าตั้งแต่บนยันล่าง กล่าวกลั้วหัวเราะ “ไอ้กระจอกพูดจาไม่รู้จักเด็กผู้ใหญ่ ซ้ำน้ำเสียงยังหาเรื่องปานนี้ หากอยู่โลกภายนอก ข้าคงเชือดเจ้าไปนานแล้ว เจ้าหายหัวไปให้ข้าจะดีที่สุด”
ชายหนุ่มชุดฟ้าโมโหจัด “อวี่เสวียน เจ้ายังเห็นว่าตัวเองเป็นบุคคลหมายเลขหนึ่งจริงๆ หรือ”
หลินสวินพ่นลมหายใจ ทอดสายตามองไปรอบด้าน คล้ายพึมพำกับตัวเอง กล่าวว่า “ผู้น้อยคนหนึ่ง ถึงขั้นกล้ามารังแกกับอวี่เสวียนอย่างข้า หากแพร่งพายกลับไป บรรพบุรุษตระกูลอวี่คงไม่พ้นก่นด่าข้าว่าไม่เป็นแก่นสารแน่…”
ชายหนุ่มชุดฟ้าหัวเราะเยาะหยัน “อวี่เสวียน นี่เป็นถึงยานลมกรด เป็นถิ่นของหอเสียงสวรรค์ของข้า ให้เจ้าพักอยู่ที่นี่ ก็ไว้หน้ามากพอแล้ว หากเจ้ายังไม่รู้ภาษา ก็ระวังจะชักภัยถึงตัว!”
น้ำเสียงเจือแววข่มขู่รุนแรง
หลินสวินไม่ค่อยแน่ใจนัก ชายหนุ่มชุดฟ้าไปเอาความกล้ามาจากไหนกันแน่ ถึงกับกล้าจองหองเช่นนี้
“ตอนนี้หากต่อยเจ้า จะต้องถูกคนคิดว่าข้าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กแน่ เอาเถิด จะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง จะไม่ถือสาเจ้าไปก่อนๆ”
ปึง!
กล่าวจบ หลินสวินก็ปิดประตูบานใหญ่ของลานตรงๆ
ชายหนุ่มชุดฟ้าอึ้งงัน อวี่เสวียนนี่ถึงกับยอมจำนนทั้งอย่างนี้เลยหรือ
……………………