ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 347
บทที่ 347
บทที่ 347
จ้านอู่ฉางพากองทัพของเขาตรงไปยังเมืองหยาน ทำให้จีหยิงไม่อาจนิ่งเฉย รีบสั่งให้กองทัพของตัวเองไล่ตามไปทันที และเมื่อเห็นแบบนั้น จ้านอู่ฉางก็พลันร้องสั่งให้กองทัพของเขาหันหน้ากลับไปสู้กับพวกจีหยิงที่กำลังวิ่งมาจากด้านหลังในทันที !
เมื่อเห็นว่าพวกจ้านอู่ฉางกำลังเข้าปะทะ กองทัพของจีหยิงก็หยุดไล่ล่า ด้วยพวกเขาไม่กล้าที่จะปะทะกับพวกหนิงตรง ๆ เพราะเสียเปรียบด้านพละกำลัง !
สถานการณ์พลิกกลับกันในทันที พวกหนิงไล่ล่ากองทัพจีหยิงที่เอาแต่วิ่งหนี ทว่าอีกฝ่ายนั้นรวดเร็วเกินไป พวกหนิงจึงไม่สามารถไล่ตามได้ทัน
จ้านอู่ฉางที่เห็นแบบนั้นจึงสั่งให้กองทัพหยุดไล่ล่าแล้วเดินทางไปยังเมืองหยานต่อ ส่วนจีหยิงก็ตามกลับมาไล่เหมือนเดิม
มันเกิดขึ้นเรื่อย ๆ อยู่เช่นนั้น กองทัพทั้งสองต่างก็ผลัดกันรุกผลัดกันรับ แต่ก็ไม่ได้มีการปะทะกันอย่างจังแต่อย่างใด ทำให้สองพี่น้องจ้านเริ่มหงุดหงิดจนแทบทนไม่ไหวแล้ว
พวกเขาสลับบทบาทกันไปมาอยู่แบบนั้นจนกระทั่งเริ่มมืด ทำให้พวกหนิงไปไม่ถึงไหน และเหนื่อยล้าทั้ง ๆ ที่ยังต้องเดินทางต่ออีกไกลโข
วันต่อมาก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ด้วยพวกจีหยิงยังคงไล่ล่าและพวกหนิงที่หันกลับมาไล่ก็จะสลับบทกันไปตามเดิมจนไม่เกิดการปะทะกันสักที
จริง ๆ แล้วพวกเขากำลังอยู่ภายในพื้นที่ของซ่งเทียน ทำให้จีหยิงไม่สามารถสู้ได้อย่างเต็มที่เพราะกลัวกำลังเสริม ด้วยเหตุนี้จีหยิงจึงทำได้เพียงพยายามถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้นานที่สุด ทว่าเขาก็คาดการผิดไป เพราะในเวลานี้ไม่มีใครคิดมาเสริมกำลังหรอก ด้วยผู้ว่าทั้งหลายพวกนั้นต่างก็รอผลการต่อสู้ที่เมืองหยาน และไม่คิดส่งกำลังไปช่วยใครทั้งนั้นเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
….และเมื่อเป็นแบบนั้นแล้ว มันก็เท่ากับว่าพวกหนิงถูกตัดขาดอย่างสมบูรณ์ !
กองทัพเทียนหยวนจึงใช้โอกาสนี้ในการส่งกำลังเข้าโจมตีเมืองหยานในทันที !
กองทัพที่ป้องกันเมืองหยานมีอยู่ 8 หมื่นนาย และพวกเขาก็ต้องพึ่งพาตัวเองเท่าที่มี เพราะขาดแคลนกำลังพลเป็นอย่างมาก
วันแรกของการล้อมเมือง กองทัพเทียนหยวนปล่อยผ่านไปก่อนหนึ่งวัน แล้ววันต่อมาก็จึงเริ่มทำการโจมตีเต็มกำลัง
การโจมตีเกิดขึ้นที่ประตูทางเหนือและทางตะวันตกอย่างดุเดือด ..ผลลัพธ์คือพวกเขาต่างก็เสียกำลังพลไปมากทั้งสองฝ่าย
คนที่ป้องกันทางฝั่งตะวันตกคือ เย่เฉิง กับ หวางซ่ง
ในเวลานี้เย่เฉิงและหวางซ่งใช้กำลังเต็มอัตราศึก พวกเขารู้ดีว่าไม่มีที่ให้ถอยอีกแล้ว ถ้าเมืองแตกและต่อให้พวกเทียนหยวนไว้ชีวิตเขา ซ่งเทียนก็คงจะฆ่าพวกเขาทิ้งอยู่ดี ดังนั้นเมื่อกลางวันมาถึง การต่อสู้ก็ได้ถึงจุดตัดสินแล้ว ! จนทำให้เย่เฉิงและหวางซ่งต้องออกมาบัญชาการด้วยตัวเอง
ก้อนหินก้อนแล้วก้อนเล่าถูกขว้างออกมาจากเมือง ทำลายกองทหารไปมากมาย ส่วนใครก็ตามที่วิ่งเข้าไปถึงก็จะโดนท่อนไม้กลิ้งทับลงมา ทำให้มีซากศพกองกันมากมายบริเวณกำแพงเมือง
ถังหยินมองสนามรบตรงหน้าด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น เพราะหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะต้องสูญเสียกำลังพลจนหมดแน่ !
คิดได้แบบนั้นเขาก็เรียกดาบคู่ออกมาแล้วรวมมันให้กลายเป็นเคียวก่อนจะหันไปพูดกับชิวเจิ้นที่อยู่ด้านหลัง “ข้าจะออกไปรบเอง” และโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับ ชายหนุ่มก็พลันควบม้าพุ่งทะยานเข้าไปในสนามรบทันที !!
ชิวเจิ้นที่ยังไม่ทันได้ตะโกนอะไร ก็ได้แต่ส่ายหัว ก่อนจะหันไปพูดกับอู่กวน จ้านหู และพวกพี่น้องฉางกวง “ตามนายท่านไปเร็วเข้า !”
โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากชิวเจิ้นซ้ำสอง พวกเขาทั้งสี่ก็รีบควบม้าวิ่งตามไปทันที
เมื่อถังหยินไปถึงแนวรบ ชายหนุ่มก็ลงจากม้า กำเคียวไว้แน่น และถือมันเข้าสู่สนามรบ
ก้อนหินถูกขว้างใส่ระหว่างที่เขากำลังเดินอยู่ ทำให้พวกทหารโดยรอบพากันหลีกทางไป แต่ชายหนุ่มกลับเพียงยกเคียวขึ้นผ่ามันราวกับผ่ากระดาษ
ควั่บ !
ก้อนศิลาถูกผ่าออกเป็นสองส่วนอย่างงดงาม
“นายท่าน !”
ทหารโดยรอบต่างเห็นเข้ากับภาพที่เกิดขึ้นจนเลือดลมเดือดพล่าน เพราะแม่ทัพของพวกเขามาแล้ว !
ถังหยินไม่สนใจ เขาเพียงเดินตรงเข้าไปจนถึงกำแพงเมือง ก่อนจะเกิดหมอกสีดำปรากฏรอบตัว และเป็นชายหนุ่มที่ไปโผล่ที่ข้างบนกำแพงในพริบตานั้น !!!
วินาทีที่เขาขึ้นไปได้ พวกทหารเปิงก็พากันพุ่งเข้าใส่ถังหยินเต็มที่ ทว่าชายหนุ่มกลับทำเพียงแค่เหวี่ยงเคียวทีเดียวเท่านั้น !
ภายในชั่วพริบตานั้น อาวุธของพวกทหารเปิงก็พลันแตกสลาย และก่อนที่จะทันได้หนี ถังหยินก็ได้ฟาดฟันออกไปอีกครั้ง
พวกทหารเปิงถูกผ่าครึ่งขาดไป ก่อนที่จะถูกไฟสีดำเผาจนกลายเป็นพลังปราณ !
…ทว่าถึงจะเกิดเรื่องเช่นนั้น หากแต่พวกทหารเปิงก็ยังคงวิ่งเข้ามาเรื่อย ๆ ล้อมรอบชายหนุ่มเอาไว้
ถังหยินที่เห็นแบบนั้นจึงยื่นมือออกแล้วใช้มนต์ดำทำลายล้างเข้าใส่กลางวงศัตรู มันกระจายตัวเร็วมาก ทว่าก็ได้เย่เฉิงและหวางซ่งที่เข้ามาช่วยได้ทันเวลา ด้วยการปล่อยปราณกดดันออกมาได้ทันอย่างฉิวเฉียด
ซึ่งแรงกดดันนั่น มันก็ทำให้พวกทหารเฟิงร่วงลงไปจากกำแพงเข้าใส่พวกเดียวกันที่กำลังปีนขึ้นมา และเมื่อเห็นคนร่วงลงไปแบบนั้น ถังหยินก็ได้ตะโกนออกมา “ทุกคนกระจายตัวออก !”
ในสมรภูมิอันวุ่นวายไม่มีใครฟังใครทั้งนั้น พวกเขาไม่สามารถหลบได้ทันและโดนมนต์ดำเข้าใส่ ทำให้เสียกำลังพลไปมากมาย
นี่คือเหตุผลว่าทำไมถังหยินถึงไม่ใช้วิชานี้ในการรบ เพราะมันมีโอกาสที่พวกเดียวกันเองจะได้รับผลไปด้วย !
มองเห็นพวกทหารตัวเองที่ตายไป ถังหยินก็โกรธเคือง เขาหันไปมองเย่เฉิงและหวางซ่งแล้วตะโกน “ข้าต้องการชีวิตเจ้า !” ก่อนจะมาปรากฏตัวตรงหน้าเย่เฉิงแล้วเหวี่ยงเคียวเต็มแรงจนเกิดเสียงแหวกอากาศ
เย่เฉิงรีบหลบทันทีและไม่คิดจะรับแรงปะทะ
ควั่บ !
คมเคียวทำได้แค่เพียงสะกิดเกราะปราณเท่านั้น แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้เย่เฉิงถึงกับเหงื่อแตกออกมา “เจ้าเป็นใครกัน ?”
“ถังหยิน !”
เมื่อชายหนุ่มพูดจบ เขาก็เหวี่ยงเคียวเข้าใส่ศัตรูอีกครั้ง และเมื่อเย่เฉิงได้ยินชื่อนี้ อีกฝ่ายก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมชายตรงหน้าถึงได้เก่งกาจขนาดนี้ “ดี เจ้านี่เอง เตรียมใจเสียเถอะ ..วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า !”
หอกในมือของเย่เฉิงเปล่งแสงออกมาแล้วฟันกวาดไป เช่นเดียวกับหวางซ่งที่ปลดปล่อยวิชาปราณของตัวเองเข้าใส่ถังหยิน
ทว่าถังหยินกลับหายตัวไปอีกครั้ง ปล่อยให้การโจมตีของพวกเย่เฉิงกับหวางซ่งพลาดเป้าไป
ไม่ดีแล้ว ! เย่เฉิงและหวางซ่งรู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายอยู่ข้างหลังตัวเอง พวกเขาจึงเร่งหันกลับไปป้องกันในทันที
ทว่าถังหยินนั้นรวดเร็วเกินไป เขาใช้วิชาสับเปลี่ยนเงาไปอีกครั้ง จนสร้างความงุนงงกับทุกคน !