ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 362
บทที่ 362
บทที่ 362
“ท่านแม่ทัพ ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเย่เฉิง รองแม่ทัพและทหารหลายสิบคนก็พลันคุกเข่าลงพร้อมกันขณะที่พวกเขาร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด
ในขณะนี้เอง จู่ ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากด้านนอกห้องโถง “การยอมตายดีกว่ายอมแพ้ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว …เพียงแค่ความภักดีของเจ้าอยู่ผิดที่ !” หลังจากนั้นกลุ่มคนก็ได้เดินเข้ามาจากด้านนอกห้องโถงใหญ่ ซึ่งคนที่เป็นผู้นำก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากถังหยิน
บนร่างของเขาไร้ซึ่งเกราะปราณ ชายหนุ่มสวมเพียงเสื้อปักบาง ๆ กับเสื้อคลุมสีดำพาดอยู่ด้านหลังเท่านั้น
ในหมู่พวกเขามีพี่น้องฉางกวน จ้านหูและแม่ทัพระดับสูงคนอื่น ๆ รวมถึงกลุ่มลูกศรทมิฬที่นำโดยเฉิงจินและองครักษ์ส่วนตัวจำนวนหนึ่งที่ติดตามมาด้วย
เมื่อเข้ามาในห้องโถง ถังหยินก็ได้หันมองไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น …แต่เดิมที่นี่เป็นที่ที่อ๋องผู้ปกครองของแคว้นเฟิงทำการหารือกับเหล่าขุนนาง ดังนั้นแล้วถังหยินจึงคิดว่าห้องโถงแห่งนี้ต้องมีพื้นที่กว้างขวาง ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะโถงแห่งนี้นั้น มันกว้างเสียจนต้องตะโกน ถึงจะทำให้ทุกคนภายในห้องได้ยินทั่วกัน
และด้วยมีพื้นที่ที่กว้างขวางนี่เอง ทำให้โถงแห่งนี้จำต้องมีเสาขนาดใหญ่มากถึง 18 เสาด้วยกัน โดยแต่ละเสานั้น มันก็มีความหนามากทีเดียว จำต้องใช้คนสองถึงสามคนโอบถึงจะหมด
ซึ่งเมื่อมองขึ้นไป จะเห็นเข้ากับบันได 9 ขั้น โดยที่ด้านบนนั้น มันก็ได้มีบัลลังก์วางประดับอยู่ !
หลังจากถังหยินเห็นภาพตรงหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะเดินตรงไปยังบัลลังก์ โดยไม่แม้แต่จะหันมองไปที่เย่เฉิงและคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายใน
เย่เฉิงไม่ใช่คนโง่ เขาสามารถเดาตัวตนของชายหนุ่มหล่อเหลาตรงหน้าได้เพียงแค่เห็น …อย่างไรก็ตาม เขายังคงถามออกไปอยู่ดี “ใคร !!”
“ถังหยิน !” แม้ว่าถังหยินจะตอบคำถามของเย่เฉิง แต่เขาก็ไม่ได้หันมามองเย่เฉิงแต่อย่างใด ชายหนุ่มยังคงก้าวเดินต่อไป ไม่แม้แต่จะชะลอฝีเท้าลง
ถังหยิน ! หัวใจของเขาเตรียมพร้อมแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำว่า “ถังหยิน” หัวใจของเย่เฉิงก็ยังคงกระตุกอย่างห้ามไม่อยู่ ด้วยเขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าถังหยินคนนี้เป็นมนุษย์หรือปีศาจกันแน่ ด้วยเขามั่นใจว่าได้เห็นถังหยินบาดเจ็บจากแรงระเบิดเมื่อตอนนั้นกับตา แต่พอผ่านไปเพียงวันเดียวเท่านั้น ถังหยินก็กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอย่างปลอดภัยเสียอย่างงั้น ?!
เขาไม่มีเวลาที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก และเมื่อเห็นถังหยินเดินตรงไปที่บัลลังก์ เย่เฉิงก็อดไม่ได้ จนต้องเดินไปข้างหน้าและเข้าขวางไว้พร้อมกับพูดเอ่ยถามอย่างเย็นชาออกมา “กบฏอย่างเจ้าคิดที่จะทำอะไรกันแน่ ?”
ในที่สุดถังหยินก็มองใบหน้าของเย่เฉิง แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้หยุดฝีเท้าแต่อย่างใด ทั้งยังยกมุมปากขึ้นขณะที่เริ่มหัวเราะเยาะด้วยซ้ำไป
ก่อนที่เย่เฉิงจะทันได้พูดต่อ หยวนอู่ หยวนเปียว อู่กวน และคนอื่น ๆ ก็เดินมาหาเขาจากซ้ายและขวา และเมื่อเห็นเช่นนั้น รองแม่ทัพภายใต้คำสั่งของเย่เฉิงก็ไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนได้อีก เขารองตะโกนบอกทหารเปิงที่อยู่รอบ ๆ ในทันทีว่า “ฆ่ามันซะ ! ต่อให้ต้องตายก็ต้องปกป้องราชบัลลังก์เอาไว้ให้ได้ !”
“ตาย !!!”
ทหารเปิงหลายสิบคนคำรามพร้อมกันตามรองแม่ทัพและพุ่งเข้าหาพวกถังหยินในทันที
นี่เป็นการเอาไข่ไปทุบก้อนหินอย่างแท้จริง เพราะแม้แต่พี่น้องฉางกวนก็ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะสามารถจัดการได้เลย และก็เป็นรองแม่ทัพเป็นคนแรกที่ถูกค้อนของจ้านหูถูกทุบ
…ไม่ต้องพูดถึงเกราะปราณที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ แม้แต่หัวไหล่และซี่โครงก็แตกละเอียดไปพร้อม ๆ กับเสียชีวิตในทันที ส่วนพวกที่เหลือต่างก็ถูกแทงโดยอาวุธปราณของพี่น้องฉางกวน ทำให้พวกเขาล้มตายลง ไม่มีใครรอดชีวิตออกไปซักราย
นี่คือความแตกต่างของพลังระหว่างทั้งสองฝ่าย…
เมื่อเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาเสียชีวิตอย่างน่าอนาถด้วยน้ำมือของศัตรู เย่เฉิงที่ตอนนี้ไม่มีอะไรมาต่อกรกับพวกถังหยินแล้ว เลยได้แต่ก้าวถอยหลังเมื่อถังหยินค่อย ๆ เดินเข้ามา
เย่เฉิงได้แต่ถอยไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาชนเข้ากับบันได ทว่าถังหยินก็ยังคงไม่หยุด เขาก้าวต่อไป ทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งสองหดสั้นลง และบีบให้เย่เฉิงสติแตกอย่างช้า ๆ จนแม่ทัพเปิงนายนี้ไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป !
เขาร้องคำรามออกมาดัง ๆ ก่อนที่จะกระโดดขึ้นจากพื้น ยกดาบขนาดใหญ่ในมือเล็งไปที่หัวของถังหยินและสับลงอย่างดุดัน
แม้ว่าดาบในมือจะไม่ใช่อาวุธปราณ แต่มันก็ทำจากเหล็กทั้งเล่ม ดังนั้นแล้วถ้ามันโดนจริง ๆ หัวของถังหยินก็คงแหลกละเอียดอย่างแน่นอน แต่ทว่าชายหนุ่มกลับไม่แม้แต่จะหลบหรือปัดป้องแต่อย่างใด !
เมื่อใบมีดอยู่ห่างจากศีรษะของถังหยินไม่ถึงครึ่งนิ้ว เฉิงจินที่อยู่ข้าง ๆ ถังหยินก็พลันยกอาวุปราณขึ้นปัดป้องการโจมตี
“ถ้าอยากที่จะฆ่านายท่าน ข้ามศพข้าไปก่อน !” เฉิงจินพูดอย่างเย็นชา ก่อนที่เขาจะเพิ่มแรงลงไปที่แขนและผลักศัตรูออก ทำให้เย่เฉิงจำต้องถอยกลับไป
ในชั่วพริบตานั้น หมอกควันสีดำก็พลันแพร่กระจายออก ก่อนที่ร่างของคนในกลุ่มศรทมิฬจะหายไป แล้วมาปรากฏตัวอีกครั้งตอนเข้าล้อมหน้าล้อมข้างหลังเย่เฉิงเอาไว้
…ก่อนที่เย่เฉิงจะสามารถตอบสนองได้ มีดปราณในมือของพวกเขาก็พลันแทงทะลุเย่เฉิงไปแล้ว
ฉึก ! ฉึก ! ฉึก ! ฉึก !
ในชั่วพริบตาที่มีดปราณกว่ายี่สิบเล่มแทงทะลุร่างของเย่เฉิง เขาก็ได้ส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ก่อนที่ดาบในมือจะตกลง ใบหน้าบิดเบี้ยว ….และถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่สายตาของเย่เฉินก็ยังคงไม่ไปไหน สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ถังหยิน “อย่าหวังเลย !! …เดี๋ยวพวกเจ้าก็ต้องตายกันหมดอยู่ดีไอ้ถังหยิ—-!!!”
ฉับ !
โดยไม่รอให้เขาพูดจบ กลุ่มศรทมิฬมองหน้ากัน ก่อนฟาดฟันด้วยพลังทั้งหมด ทำให้ร่างของเย่เฉิงถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ จนเกิดเลือดพุ่งสายกระจายไปทั่ว
ถังหยินทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเพียงเดินขึ้นไปตามขั้นบันได ก่อนที่จะก้มศีรษะลงมองไปที่บัลลังก์ตรงหน้าแล้วยิ้มกว้าง พร้อมกับนั้นเอง ชายหนุ่มก็พลันหันหลับกลับ ก่อนที่จะค่อย ๆ นั่งลงบนนั้นอย่างช้า ๆ
เมื่อเห็นเช่นนั้น อู่กวนและคนอื่น ๆ ก็มองหน้ากันและพยักหน้าด้วยความเข้าใจ จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็พลันคุกเข่าลงและตะโกนว่า “ถวายความเคารพท่านอ๋อง ! ของพระองค์ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่น ๆ ปี !! ”
เสียงแห่งความยินดีดังขึ้นสะท้อนอยู่ในห้องโถงเป็นเวลานาน แม่ทัพทุกคนคุกเข่าอยู่แบบนั้น ก่อนจะพร้อมใจกันตะโกนคำว่า ‘ท่านอ๋อง’ อย่างต่อเนื่อง จนทำให้เสียงร้องของพวกเขาดังก้องไปทั่วท้องฟ้า
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผู้คนจำนวนมากถึงวางแผนชิงบัลลังก์ พวกเขาเต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อมัน ด้วยขณะที่ชายหนุ่มนั่งบนบัลลังก์และมองลงไป เขาก็ได้เห็นว่าทุกคนกำลังหมอบกราบต่อหน้า ทำให้ถังหยินรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นผู้ปกครองสูงสุดของโลก
การได้นั่งบัลลังก์นี้เท่ากับการรวบรวมอำนาจและความมั่งคั่งทั้งหมดเอาไว้ มันเป็นอำนาจสูงสุดของแคว้นนี้ มีอำนาจในการกำหนดชีวิตและความตายของผู้คนนับร้อยหรือแม้กระทั่งหลายสิบล้านชีวิต
นี่หรือคืออำนาจอันหอมหวาน ?
นับประสาอะไรกับคนอื่น ๆ แม้แต่ถังหยินที่มาจากสังคมสมัยใหม่และมีบุคลิกที่เสเพล รักอิสระ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านจนเลือดในกายเดือดพล่าน
“ถวายความเคารพท่านอ๋อง ! ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่น ๆ ปี !!”
ในขณะนี้พวกกุนซือเดินเข้ามาและเห็นว่าเห็นว่าแม่ทัพกำลังร้องตะโกนพร้อมโค้งคำนับ ชิวเจิ้นก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและถามเสียงดัง “บัลลังก์ปลอดภัยไหมขอรับ ?”
เสียงตะโกนของเด็กหนุ่มไม่เข้ากันกับเสียงเชียร์ของแม่ทัพที่ดังและฟังดูเสียดหูเป็นพิเศษ ทำให้ถังหยินและแม่ทัพคนอื่น ๆ ต่างก็ตกใจและมองไปที่ชิวเจิ้นในเวลาเดียวกัน
ชิวเจิ้นไม่ได้ยุ่งกับแม่ทัพคนอื่น ๆ เขาเดินไปทางถังหยินและถามอีกครั้ง “นายท่าน บัลลังก์ยังอยู่ดีและปลอดภัยไหมขอรับ ?”
นับประสาอะไรกับแม่ทัพที่สับสน แม้แต่ถังหยินเองก็ไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังคำถามของชิวเจิ้น เขาเลิกคิ้วครุ่นคิดสักครู่และตอบคำของชิวเจิ้น “มันปลอดภัยดี !”
ถังหยินไม่เคยเห็นบัลลังก์มาก่อนเขาจะรู้ได้อย่างไร ?
หลังจากได้ยินคำตอบของเขา ชิวเจิ้นก็พลันหัวเราะออกมา “ถ้าอย่างนั้นท่านลงมาเถอะขอรับ”
แม่ทัพทุกคนกลอกตาไปที่ชิวเจิ้น ด้วยแม้ยังไม่ได้ขึ้นเป็นอ๋องอย่างเป็นทางการ แต่มันก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น !
ตอนแรกถังหยินก็เหมือนกับแม่ทัพคนอื่น ๆ ที่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของชิวเจิ้น เขาก็ไม่พอใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามหลังจากคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ชายหนุ่มก็ตระหนักว่าตัวเขานั้นยังไม่อาจจะนับได้ว่าเป็นอ๋องอย่างแท้จริง !!!
หัวใจของถังหยินสั่นสะท้าน เขายืนขึ้นจากบัลลังก์อย่างกระวนกระวาย เดินลงขั้นบันไดขณะยิ้มให้แม่ทัพ “เมื่อกี้ข้าแค่ตรวจสอบเฉย ๆ ว่าบัลลังก์เสียหายไหม …แต่ดูท่าว่ามันจะยังไม่เป็นอะไรไป ” ขณะที่เขากำลังพูด ถังหยินก็ได้เดินลงมา
เมื่อเห็นเช่นนั้น บรรดาแม่ทัพต่างก็สับสน เพราะฝ่ายของพวกเขาได้ยึดครองเมืองหลวงและขับไล่ซ่งเทียนออกไปแล้ว ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าการฟื้นฟูแคว้นเฟิง ฝ่ายของพวกเขามีส่วนร่วมมากที่สุด และการที่เรียกถังหยินว่าอ๋องนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว งั้นทำไมเขาถึงไม่อาจนั่งลงบนบัลลังก์ได้กัน ?
ในบรรดาทุกคน มีเพียงชิวเจิ้นเท่านั้นที่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มและคิดกับตัวเองว่าเขาฉลาด ! ที่ใช้สถานการณ์ที่สับสนวุ่นวายในปัจจุบันของแคว้นเฟิง เพื่อรวบรวมความแข็งแกร่งและหาความชอบธรรม ด้วยหากถังหยินอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์ตอนนี้ เขาจะถูกจับโดยซ่งเทียนทันทีและกลายเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณชน !