ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 378
บทที่ 378
บทที่ 378
คำพูดของถังหยินทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที
ส่วนเหลียงซิงก็แทบจะหัวใจวายแต่ก็เก็บมันเอาไว้แล้วแสร้งพูดตามปกติ
ไม่นานนักก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก ถังหยินจึงหันไปดูและเห็นเข้ากับกลุ่มคนร่างใหญ่เดินเข้ามาราวกับว่าเป็นทหารองครักษ์คุ้มครองคนที่อยู่ตรงกลาง
ส่วนคนที่อยู่ตรงกลางมีนางรับใช้สองคนตามติด และเมื่อพวกเขาเข้ามาข้างใน มันก็ทำให้ถังหยินเห็นหน้าพวกเขาชัดเจนขึ้น
นางมีอายุเพียง 15 ขวบปี มีผิวน้ำผึ้งและผอมแห้ง บ่งบอกได้เลยว่านางมาจากตระกูลยากจนที่ไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง
หลังจากถังหยินมองนาง เขาก็ได้แต่หัวเราะออกมาในใจ นี่คือจ้าวหลิงงั้นหรือ ?! ถ้าถอดชุดที่หรูหราอยู่ออก นางก็ไม่ต่างอะไรจากพวกขอทานเลย แม้แต่นางรับใช้ก็ยังดูดีกว่านางเสียอีก ดังนั้นแล้วเขาจึงหันมองไปยังเหลียงซิงและถามออกไป “ท่านเหลียง นี่คือจ้าวหลิงจริงหรือ ?” ถังหยินดีใจมากผิดกับพวกขุนนางคนอื่น เพราะพวกเขานึกว่าจะมีอะไรพิเศษเกี่ยวกับเด็กคนนี้ซะอีก
เหลียงซิงเข้าใจความรู้สึกทุกคนในตอนนี้ เขาส่ายหัว “ตั้งแต่จ้าวหลิงยังเด็ก นางก็ถูกกลั่นแกล้งตลอดเวลาและยังถูกทิ้งเอาไว้ให้เผชิญโลกภายนอกด้วย แต่ก็เพราะแบบนี้ เลยทำให้นางรอดตายไม่ถูกซ่งเทียนเอาชีวิตไป ดังนั้นแล้ว… นี่มันจะต้องเป็นการอวยพรจากสวรรค์แน่ !”
ถังหยินเหยียดหยามนางจากใจ ก่อนจะทำทีสงสัยเหมือนพวกเขาทั้งหมดและเดินไปหาจ้าวหลิง …คงเพราะชีวิตของนางเลวร้ายยิ่งละมั้ง เลยทำให้มือของนางมีร่องรอยหยาบกร้านอย่างเห็นได้ชัด
การกระทำของชายหนุ่มทำให้เด็กสาวหวาดกลัวจนตัวสั่น นางจับแขนเสื้อตัวเองเอาไว้แน่นแล้วถอยกลับไป
หัวใจของนางเต้นระรัวราวกับว่าจะกระโดดออกมาจากอก ทำให้ถังหยินที่เห็นแบบนั้นถอยออกมาแล้วยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าคือจ้าวหลิงสินะ ?”
อีกฝ่ายก็พยักหน้าให้
“เจ้าเป็นลูกหลานตระกูลจ้าว ?”
จ้าวหลิงพยักหน้าให้
“เจ้ามีอะไรมายืนยันไหม ?”
เหลียงซิงที่ได้ยินแบบนั้นก็พลันหยิบหยกออกมาหนึ่งก้อนแล้วยื่นให้กับถังหยิน “นี่คือของติดตัวนางที่พวกเราได้เอาไปตรวจสอบแล้ว และมันก็คือของที่ท่านอ๋องเคยมอบให้กับนางเมื่อนานมาแล้ว”
ถังหยินรับมันมาแล้วมองหยกนั่นอย่างพิจารณา
“ว่ายังไงล่ะท่านถัง ?” เหลียงซิงถาม
ถังหยินยักไหล่ให้ “หยกแค่นี้พิสูจน์อะไรไม่ได้หรอก มันอาจจะเป็นของที่ท่านอ๋องลืมเอาไว้ก็ได้ แล้วบางทีมันก็อาจจะเป็นของปลอมที่ทำขึ้นมาด้วย ข้าว่าเราคงต้องเข้าไปในวังกันสักหน่อยแล้ว !”
เหลียงซิงและคนอื่นไม่เข้าใจว่าทำไมถึงหยินถึงอยากจะเข้าไปข้างในวังนัก
ถังหยินมองพวกเขา “ด้วยเพราะเป็นขุนนาง จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเราย่อมไม่เคยเห็นนาง แต่ถ้าเราพานางไปที่วังหลวง …ที่นั่นจะต้องมีคนเป็นพยานได้แน่” คำพูดของเขาฟังดูมีเหตุผลยิ่งนัก เพราะมันเกี่ยวข้องกับเรื่องอนาคตของแคว้นเฟิงด้วย
ครั้งนี้อู่หยูเองก็เห็นด้วย “ท่านถังพูดถูก ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ ทางที่ดีที่สุดคือให้พวกพระสนมพิสูจน์ตัวตนของนางเสีย ดีกว่าให้คนนอกมานั่งถกเถียงกันแบบนี้”
พวกขุนนางคนอื่นเห็นด้วย เพราะถ้าเป็นตัวปลอมคงไม่มีใครในนี้รู้ได้เลย แล้วไหนจะหยกก้อนนี้อีก….
อู่หยูบอกกับทุกคน “ในเมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกัน งั้นก็ไปกันเถอะ”
ก่อนจะกระซิบบอกกับจ้าวหลิง “จ้าวหลิง ท่านพอจะตามข้าคนนี้เข้าไปในวังได้หรือไม่ ?”
นางไม่เคยถูกกดดันอะไรขนาดนี้มาก่อนในชีวิต จึงได้พยักหน้าให้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งมันก็ทำให้ถังหยินยิ้มออกมาทันทีเมื่อเห็นแบบนั้น
พวกเขาทั้งหมดจึงได้เดินทางไปยังวังหลวง
เมื่อพวกเขามาถึงวังหลวง จ้าวหลิงก็หวาดกลัวจนหน้าซีดและขาอ่อนแรงทันทีในพลัน
ถังหยินที่อยู่ข้างหน้าที่เห็นเช่นนั้นจึงหยุดลงแล้วหันมามอง “เจ้ากลัวหรือ ?”
เหลียงซิงเข้ามาปลอบนาง “ท่านจ้าวหลิงไม่ต้องกลัวไป ท่านก็แค่เข้าไปข้างในก็พอแล้ว”
ตอนนี้ไม่มีอ๋องแห่งแคว้นเฟิงแล้ว บัลลังก์จึงว่างเปล่า ถ้าให้ว่ากันตามขุนนางที่รักษาการณ์อยู่ อู่หยูควรจะดูแลเรื่องกิจการภายในและการทหารให้ ส่วนจี้หยางก็คอยนำทัพทหาร แต่แม้ว่าทั้งหมดจะมีหน้าที่การงานชัดเจน ทว่าจริง ๆ แล้วส่วนใหญ่จะมีถังหยินคอยชักใยอยู่เบื้องหลังอีกทีหนึ่ง
ในท้องพระโรง แม้ถังหยินจะอยู่ในตำแหน่งที่เล็กที่สุด แต่เขาก็มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องสำคัญได้
ถังหยินโบกมือแล้วก็มีเสียงฝีเท้าเข้ามา “ทุกท่าน ขอเชิญไปที่ท้องพระโรงกันเถิด”
เมื่อเห็นแบบนี้ พวกขุนนางก็พากันส่ายหัวด้วยไม่มีใครกล้าเถียงถังหยินในตอนนี้ เพราะสภาพของถังหยินในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากซ่งเทียนคนที่สองเลย มีเพียงเรื่องเดียวที่ไม่เหมือนกันก็คือถังหยินไม่กล้าล้ำเส้นก่อกบฏนั่นเอง
ชายหนุ่มไม่สนใจว่าใครจะคิดอะไร เขามองไปมาแล้วคิดอะไรออก
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม พระสนมทั้งหลายก็มาถึง แน่นอนว่านั่นรวมไปถึงฮัวหลงด้วยเช่นกัน
“ทำความเคารพท่านหญิง” แม้ว่าจะเป็นแค่หญิงสาวธรรมดา แต่ก็มีลำดับขั้นที่สูงกว่า ดังนั้นแล้วถังหยินจึงก้มหัวให้กับฮัวหลงโดยที่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะหันมาสบตา นางทำแค่พยักหน้าให้โดยไม่มองเท่านั้น
เมื่อเห็นท่าทีแบบนั้นถังหยินก็รู้สึกสบายใจขึ้น
“ลุกขึ้นเถิดพวกท่าน” พระสนมทั้งหลายกล่าวขึ้นพร้อมกัน
“เป็นพระคุณอย่างสูง”
หลังจากผ่านเรื่องพิธีการไปแล้ว หนึ่งในพระสนมก็พลันพูดถามขึ้นมา “ข้าได้ยินมาว่าพวกท่านเจอผู้ที่มีสายเลือดตระกูลจ้าวแล้วงั้นหรือ ?”
“ถูกต้อง” เหลียงซิงกล่าว “และนี่คือเหตุผลที่ต้องเชิญพวกท่านมาที่นี่ ก็เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้”
เขาหันไปมองถังหยินแล้วพูดต่อ “ท่านถังสงสัยในตัวตนของจ้าวหลิง หรือก็คือผู้ที่มีสายเลือดตระกูลจ้าวคนสุดท้ายนางนี้พอดี ข้าก็เลยต้องการให้พวกท่านพิสูจน์ตัวตนของนางเสียหน่อย”
เหลียงซิงคิดว่าพวกนางน่าจะพอรู้จักจ้าวหลิงไม่มากก็น้อย ดังนั้นเขาจึงรีบดึงตัวเด็กคนนั้นมาแล้วพูดกับทุกคน “เด็กคนนี้ถือจ้าวหลิงใช่หรือไม่ ?”
นางสนมทุกคนถึงกับตกตะลึงก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ไม่ว่าจะเป็นยังไง จ้าวหลิงก็ถือเป็นเชื้อพระวงศ์ และไม่มีทางที่เด็กเหลือขอพรรค์นี้จะเป็นแบบนั้นได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮัวหลง นางไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าเด็กคนนี้จะเป็นจ้าวหลิง
พวกขุนนางทุกคนต่างก็พากันตะลึงกับท่าทีของเหล่านางสนมเสียจนทำอะไรไม่ถูก
ถังหยินถาม “พวกท่านหัวเราะอะไรกัน ?”
เหลียงซิงรีบถามทันที “ท่าทีแบบนั้น พวกท่านหมายความว่ายังไง ?”
หนึ่งในนางสนมคนหนึ่งพลันกล่าวขึ้น “ถ้าต้องการจะหาคนมาขึ้นเป็นอ๋องสังคน เหตุใดท่านจึงหาคนแบบนี้มากัน ? อย่างน้อยพวกท่านก็น่าจะหาตัวแทนที่แนบเนียนกว่านี้มาหน่อยนะ”
เหลียงซิงเปลี่ยนสีหน้าไปทันที “พวกท่านจะบอกว่าจ้าวหลิงเป็นตัวปลอมงั้นหรือ ?”