ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 42
บทที่ 42
หากว่าตามคำพูดของเหลียงฉี ทั้งหมดนี่ก็คือแผนที่เขาวางเอาไว้ คนผู้นี้ตัดสินใจเลื่อนการเดินทัพออกไปเพราะไม่อยากจะให้พวกที่ป้องกันเมืองอยู่หลงเหลือซึ่งความหวังใด ๆ และด้วยการนั้นพวกเขาจึงมีพลังในการต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
แม้ว่าจะปล่อยให้พวกหนิงเข้ามาในเมืองตง แต่ยังไงคนพวกนั้นก็ยากที่จะใช้กำแพงส่วนซ้ายเพื่อทำการป้องกันได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกศัตรูที่เหนื่อยล้าย่อมไม่อาจต้านทานการโจมตีแบบสายฟ้าแลบได้ ดังนั้นศึกในเมืองตงครั้งนี้จึงเป็นอะไรที่เสียหายสำหรับพวกหนิงอย่างมาก
ท้ายที่สุดแล้ว กองทัพหนิงก็เสียกำลังพลไปมากกว่า 5 หมื่นนายในตอนโจมตี และเสียไปอีก 5 หมื่นนายจากการโจมตีของพวกเหลียงฉี ทำให้จากกองทัพที่มีนับ 4 แสนเหลือแค่เพียง 3 แสนเท่านั้น
ในสายตาของซงเจิ้น เหลียงฉีเป็นคนประเภทที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและใฝ่หาแต่ประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น เขาไม่มั่นใจเลยด้วยซ้ำว่าแผนของเหลียงฉีมันดีจริงหรือว่าเป็นเพราะโชคช่วยกันแน่
เหลียงฉียึดประตูตงกลับคืนมาได้และตั้งใจจะสวนกลับพวกหนิงต่อ แม้ว่าซงเจิ้นจะไม่สนใจชีวิตของเหลียงฉีก็จริง แต่เขาก็ไม่อาจทนเห็นทหารเฟิงที่ต้องตายอย่างน่าเวทนาจากคำสั่งงี่เง่าแบบนี้ได้
ทว่าพวกเขานั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกันสักเท่าไหร่ และเหลียงฉีก็ไม่ได้ชอบขี้หน้าชายวัยกลางคนผู้นี้มากนัก เมื่อเห็นว่าซงเจิ้นพยายามจะเข้ามาขวาง เขา เหลียงฉีจึงได้พูดขึ้นว่า “เจ้ามันก็แค่พวกทหารที่พ่ายแพ้ จุดด่างพร้อยที่ทำให้กองทัพต้องอับอาย ! ”
ซงเจิ้นโกรธจัดจากคำพูดของอีกฝ่าย
เหลียงฉีส่ายหัว “เจ้ามันดื้อด้าน! ด้วยกองทหาร 2 หมื่นที่ป้องกันเมืองนี้กับทหารนับ 4 แสนฝั่งศัตรู ไม่ว่าทหารที่ป้องกันเมืองจะแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็ยากที่จะทำให้สำเร็จ”
อย่างไรก็ตาม เมื่อแม่ทัพซงเจิ้นได้ยินมาว่าตนเองไม่อาจสู้ทหารอีกฝ่ายได้ เขาก็พลันเปลี่ยนความคิดในทันที ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็พลันชิงพูดก่อน “นั่นมันโง่เง่ามาก ถ้าหากนั่นเป็นข้า ข้าก็คงไม่คิดจะป้องกันเมืองและฆ่าตัวตายไปแล้ว”
“ในตอนแรกมันก็วุ่นวายพอแล้วที่พวกทหาร 4 แสนนอกเมืองพยายามจะเข้ามา ยิ่งไปกว่านั้นพวกหนิงเองก็รู้ดีว่าประตูตงไม่ได้รุกรานยากเย็นอะไรขนาดนั้น ถ้าหากพวกมันไม่ได้เข้าโจมตีก่อน และถ้าหากท่านแม่ทัพซงเจิ้นมีทหาร 2 หมื่นที่รอโจมตีจากเงามืดตอนกลางคืน ป่านนี้พวกมันคงแตกพ่ายไปแล้ว แม่ทัพซงเจิ้น เจ้าเชื่อที่ข้าพูดหรือไม่ ? ”
“โอ้” ด้วยทหาร 2 หมื่นนายที่จะเข้าโจมตีอย่างลับ ๆ กับกองทหาร 4 แสน มีแค่คนบ้าเท่านั้นที่จะทำ ซงเจิ้นอ้าปากค้างด้วยคิดคำพูดไม่ออก
“ข้าแค่ถามว่า เจ้าเชื่อข้าหรือไม่”
“นี่มัน….”
“ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า คืนนี้ข้าจะพาทหารทั้งหมดในเมืองไปซุ่มโจมตีพวกหนิง แล้วทำให้เจ้าเห็นเองว่าข้าทำมันได้สำเร็จเหมือนที่พูดหรือไม่!”
“หา?”
“ทหาร 4 แสนของพวกหนิงไม่ได้เก่งกาจแม้แต่น้อย ในสายตาของข้ามันก็แค่ต้นหญ้าโง่ ๆ ! ”
“โอ้”
“แค่นี้แหละ!”
“แต่…” คำพูดของเหลียงฉีทำให้ซงเจิ้นตะลึง เพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายมีความคิดยังไง
เหลียงฉีไม่ได้พูดเล่น เขาตั้งใจจะพากองทหารทั้ง 2 หมื่นนายเข้าโจมตีค่ายหนิงตอนกลางคืนจริง ๆ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพูดจริงจัง ซงเจิ้นก็หน้าซีด เหลียงฉีไม่ใช่คนที่เขากังวลมากนัก แต่การที่คนผู้นี้จะพาทหารไปตายเปล่า มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทนมองดูได้ ทว่า เหลียงฉีก็ไม่ได้ฟังเขาเลย ทุกอย่างที่ถูกเตือนมามันผ่านหูไปจนหมด
เมื่อซงเจิ้นกำลังตื่นตระหนกและไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ก็มีอีกคนที่มาจากเมืองหยานเข้ามาพอดี คนผู้นี้คือแม่ทัพหนุ่มที่อยู่ฝั่งตระกูลเหลียง ซึ่งได้รับคำสั่งจากเหลียงซิงให้นำจดหมายมาให้เหลียงฉี
หลังจากที่อีกฝ่ายอ่านจดหมายจากผู้เป็นบิดา เขาก็ไม่ต้องการคำแนะนำจากใครอีก เหลียงฉีจัดแจงดำเนินการตามแผนที่วางเอาไว้ จากนั้นจึงเริ่มเสริมการป้องกันให้เมืองตง หินก้อนใหญ่ที่นำมาขวางกั้นประตูเมืองเอาไว้ก่อนหน้าถูกย้ายออกไป ก่อนจะนำกลับมาใหม่อีกครั้ง
วันต่อมากองทัพหนิงก็ได้บุกมาอีกครั้ง และพวกเขาก็ได้พบเข้ากับกองทัพของเหลียงฉีที่คอยให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ทหารหนิงพวกนั้นทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากหนีพ่ายไป
ไม่กี่วันหลังจากนั้น กองทัพหนิงก็ได้ทำการโจมตีเมืองถึง 3 ครั้ง และแม้ว่าการป้องกันจะหนาแน่นก็จริง แต่กองกำลังหนิงก็เข้มแข็งมาก โชคดีที่ทางฝั่งกองทัพหนิงนั้นก็ไม่กล้าจะโจมตีอย่างบ้าระห่ำ
เหลียงฉีเห็นโอกาสนี้ เขารีบรายงานไปยังราชสำนักเพื่อให้พวกเขาส่งกองกำลังอีก 5 กองมาช่วยเสริมการป้องกันที่นี่
ไม่เพียงแค่การพ่ายแพ้ของกองทัพหนิงและการยึดครองเมืองตงคืนได้ นับจากนี้ไปที่แห่งนี้จะได้รับการป้องกันที่หนาแน่นดั่งขุนเขา ทหารหนิงนับแสนได้แค่มองมันด้วยสายตาที่น่าเวทนา
เมื่อท่านอ๋องแห่งแคว้นเฟิงเห็นคำขอนี้ พระองค์ก็พลันยื่นอนุมัติให้ทันที หลังจากกองทหาร 5 กองถูกย้ายมาที่ประตูตง ไม่นานนักเหลียงฉีก็ต้องการทหารเพิ่มอีก 5 กองจากราชสำนักเพื่อทำการโจมตีสวนกลับพวกหนิงที่อยู่นอกเมือง
ในครั้งนี้หลังจากหารือกับเหล่าขุนนางในราชสำนักเรียบบร้อยแล้ว ท่านอ๋องเฟิงจึงยอมส่งทหารไปให้ตามคำขอ
ตอนนี้เหลียงฉีมีกองทัพทั้งหมด 20 กองพล และมีอำนาจมากกว่าตระกูลใด ๆ ทั้งปวงเสียอีก ณ เมืองหลวงของแคว้นเฟิง ที่แห่งนี้นั้นไม่อาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสงคราม ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยความคึกคักอยู่ตลอดเวลา
ไม่นานนักหลังจากมาที่เมืองหยาน ถังหยินก็กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก
ครั้งแรกเป็นเพราะเขาจัดการหัวหน้าทหารที่เขตเฮอตงได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาได้รับตำแหน่ง 4 (ความหมายคือ อาจารย์) และครั้งที่สองเป็นเพราะชายหนุ่มจับองค์ชายสามได้ท่ามกลางความปั่นป่วนของการต่อสู้ ด้วยความดีความชอบนี้ มันก็ทำให้เขาได้รับตำแหน่งหนาน
เพียงชั่วข้ามวัน ชายหนุ่มก็เพิ่มยศอย่างก้าวกระโดด นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมากทีเดียว นอกจากนี้ ทางด้านชิวเจิ้น กู่เยว่ และหลีเทียนเองก็ได้ตำแหน่ง 4 เช่นกัน วันที่ 2 หลังจากที่ถังหยินได้รับตำแหน่งนั้น มันก็ได้มีจดหมายแต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้ากองพันที่ 2 อย่างเป็นทางการส่งมาถึง
ตัวจดหมายถูกลงลักษณ์และนำมาส่งเป็นการส่วนตัวโดยอู่เหมย นางยิ้มให้กับเขา “แม่ทัพถัง มากับเราที่ค่ายทางเหนือด้วยกันหน่อยสิ!”
ตั้งแต่เขาอยู่ในเมืองหยาน ชายหนุ่มก็อาศัยอยู่ในเรือนที่อู่เหมยจัดไว้ให้กับตนตั้งแต่นั้น ไม่ได้ออกไปไหน ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาต้องไปยังค่ายทหาร
“แล้วทำไมต้องไปหาพวกกองทัพทางเหนือด้วย ? ”
“เจ้าอยากจะเป็นแม่ทัพของกองทหารที่มีเพียงคนเดียวงั้นหรือ?” กองพันที่ 2 กำลังจะได้รับการฟื้นฟูในอีกไม่ช้า และค่ายทางเหนือก็เพิ่งจะเปิดรับสมัครทหารใหม่เมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นนางจึงคิดที่จะให้ถังหยินไปสมัครรับคนจากที่นั่น
ถังหยินหัวเราะออกมา “แน่นอนว่าข้าย่อมสนใจ เอาละ ไปกันเถอะ!” ชิวเจิ้น กู่เยว่ และหลี่เทียนก็อยู่ด้วยกันกับชายหนุ่ม พวกเขาเองก็อยากที่จะเห็นการรับสมัครทหารด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงได้ติดตามไปด้วย
วันนี้อู่เหมยแต่งตัวตามปกติด้วยชุดสีแดงทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า มันช่วยเพิ่มเสน่ห์ของหญิงสาวให้มากขึ้นไปอีก
ส่วนสิ่งที่ถังหยินสวมใส่อยู่นั้นมันช่างตัดกับอู่เหมยยิ่งนัก ชายหนุ่มในชุดสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นกันดั่งคำที่ว่า ‘คนมันจะสวยหล่อรวย แต่งอะไรก็ยังดูดี’ แน่นอนว่าเขามีใบหน้าที่หล่อเหลาอยู่แล้วด้วย
ทั้งสองขี่ม้าและเดินไปด้วยกันราวกับคู่รักจนทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมาต้องหยุดมองไปชั่วครู่ ระหว่างทางหญิงสาวได้พูดขึ้น “หัวหน้านายกองนั้นเปรียบดั่งสมองและสันหลังของกองพัน ถังหยิน เจ้ามีคนในใจหรือไม่?”
ทั้งสองทำความคุ้นเคยกันเป็นอย่างมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา พวกเขาคุยและเรียกชื่อกันตามปกติ
ถังหยินส่ายหัว “ยังไม่มี แต่เดี๋ยวก็คงเลือกได้เองแหละ”
อู่เหมยหัวเราะ “ให้เราช่วยเลือกไหม?”
จริง ๆ แล้วนางอยากจะเลือกให้เลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามหัวใจของเขาก็แตกต่างจากคนอื่น นี่เป็นครั้งแรกที่นางขอความคิดเห็นจากคนอื่น
ชายหนุ่มรู้ดีว่าอู่เหมยมีเจตนาที่ดี ไม่ใช่ว่านางไม่ได้เชื่อใจหรืออยากจะวางสายลับใส่เขาหรอก ดังนั้นถังหยินจึงยิ้มออกมา “รอก่อนก็แล้วกัน ถ้าข้าหาไม่ได้ก็ให้เจ้าคอยช่วย”
“คืนนี้จะมีงานเลี้ยงที่โรงเต้นรำ เจ้าต้องมานะ”
“จำเป็นต้องไปหรือ?” ถังหยินไม่ได้สนใจอะไรแบบนี้อยู่แล้ว
“ท่านพ่อของเราอยากเจอเจ้า ! ” กองพันที่ 2 คือกองทหารที่ขึ้นตรงต่อตระกูลอู่ แน่นอนว่าอู่หยูก็ย่อมอยากจะเห็นว่าถังหยินที่ลูกสาวเป็นคนเสนอมานั้นเป็นคนยังไง
“โอ้” ถังหยินพยักหน้า ในเมื่อเป็นแบบนี้เขาคงจะปฏิเสธไม่ได้ “ไปเจอเขาก็ดีเหมือนกัน”
“เจ้าไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นก็ได้ พ่อเราเป็นคนเรียบง่าย”
ถังหยินหัวเราะแห้งๆ “ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าการตื่นเต้นมันเป็นยังไง”
อู่เหมยกลอกตาอย่างขุ่นเคือง ก่อนที่นางจะคิดอะไรได้ และหัวเราะคิกคักไม่หยุด เมื่อเห็นทั้งสองกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน 3 ชายที่เหลือจึงได้แต่มองหน้ากันไปมา
กู่เยว่กระซิบกับชิวเจิ้น “หรือว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่ทัพอู่?”
เมื่อเห็นสีหน้าที่อธิบายไม่ได้ ชิวเจิ้นก็เข้าใจทันที “ไม่มีอะไรหรอกน่า เจ้าคิดไปเอง”
“โอ้ ข้าคิดว่านี่คือเหตุผลที่ถังหยินได้เป็นแม่ทัพเสียอีก”
“คิดมากไปแล้ว” ชิวเจิ้นพูดอย่างจริงจัง “อย่างไรก็ตามท่านแม่ทัพอู่ก็เชิดชูถังหยินจริง ๆ นั่นแหละ”
“แต่เขาเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดนะ”
เด็กหนุ่มกลอกตา “เจ้าคิดว่าทุกคนมีความรู้สึกแบบเจ้าหรือ? แม่ทัพอู่เชิดชูสหายถัง เจ้าเข้าใจไหม?”
กู่เยว่เริ่มจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง แต่เขาก็อยากจะพูดอยู่ดี ส่วนหลีเทียนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ได้พึมพำออกมา “กู่เยว่ นี่เจ้าเป็นคนขี้บ่นตั้งแต่เมื่อไหร่? มันไม่ใช่เรื่องของเจ้าแท้ ๆ ทำไมถึงได้ถามมากขนาดนี้?”
ทั้งสองรู้จักกันมาก่อนที่จะได้เข้ากองทัพ พวกเขาเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก นี่เองจึงทำให้พวกเขาสนิทกันมาก
“ก็ข้าสงสัย! ยังไงเสียพวกเราก็ต้องทำงานร่วมกันภายใต้ฝีมือของแม่ทัพถังนี่!” เขายอมรับความจริง แม้ว่าถังหยินจะไม่ใช่คนที่ตนชื่นชม แต่หลังจากที่อยู่กับชายหนุ่มมาไม่กี่วันนี้ มันก็ทำให้กู่เยว่รู้ว่าคำสั่งของถังหยินคล้ายจะไม่ใช่เรื่องแย่เสียเท่าไหร่