ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 427
บทที่ 427
บทที่ 427
การที่ถังหยินยินดีที่จะเข้าร่วมสนามรบ มันก็แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในการคว้าชัยชนะ… ดังนั้นแล้วขวัญกำลังใจของทหารบนแพจึงเพิ่มขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ด้วยถ้าแม้แต่แม่ทัพใหญ่ของพวกเขายังเต็มใจที่จะต่อสู้เคียงข้าง แล้วพวกเขาจะมีอะไรให้ต้องกลัวอีก ? ทุกคนตะโกนพร้อมเพรียงกัน “พวกเราไม่กลัวขอรับ !”
“ดีมาก !!” ถังหยินยิ้มกว้าง ก่อนจะตะโกนเสียงดังก้องออกมาอีกครา “วันนี้เราจะไม่แพ้ บุกฆ่าพวกมันเต็มกำลัง ฆ่าให้หมด !!!”
“ฆ่าให้หมด ! ฆ่าให้หมด !”
ไม่ว่าจะเป็นกองทัพเฟิงบนแพหรือบนชายฝั่ง พวกเขาทั้งหมดต่างส่งเสียงตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งผืนฟ้า
เมื่อเห็นเช่นนั้น มูฉิง จีหยิงและคนอื่น ๆ ก็แอบยิ้มอย่างลับ ๆ ด้วยหากการต่อสู้ทางน้ำครั้งนี้มีถังหยินออกไปต่อสู้ด้วยตัวเอง และหากมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้น งั้นแล้วชายหนุ่มก็จะไม่มีที่ซ่อนเลยแม้แต่น้อย !!
จีหยิงกระวนกระวายยิ่งนัก เขาเดินเข้าไปใกล้ผู้เป็นนายแล้วเอ่ยกระซิบเตือน “นายท่าน ครั้งนี้อย่าดีกว่าขอรับ มันอันตรายเกินไป !”
“จะกลัวไปทำไม ?” ถังหยินหัวเราะและถามว่า “วิกฤตคืออะไร ? วิกฤตคือการอยู่ร่วมกันของทั้งอันตรายและโอกาส ! ยิ่งกว่านั้นข้าได้พูดคำเหล่านั้นไปแล้ว เจ้าอยากที่จะฟังอีกรอบจริง ๆ อย่างนั้นหรือ ?” ในขณะที่พูด ชายหนุ่มก็ได้หันมองไปรอบ ๆ “อย่าพยายามโน้มน้าวข้าอีก มิฉะนั้นข้าจะลงโทษฐานรบกวนขวัญกำลังใจของทหาร !”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มูฉิงซึ่งแต่เดิมต้องการเข้าไปก็พลันปิดปากลงทันที เช่นเดียวกับแม่ทัพคนอื่น ๆ ที่ต่างก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก …จีหยิงถอนหายใจเสียงดัง เขาหันไปถามมูฉิงว่า “ท่านแม่ทัพ เอาพวกอุปกรณ์ทลายกองทัพมาด้วยหรือไม่ ?
เสี่ยวมูฉิงพยักหน้าและถามกลับ “ทำไมถึงถามเช่นนั้นกัน ?”
“เฮ้อ ! ข้าว่าท่านรีบติดตั้งพวกมันไว้ดีกว่านะ ! “จีหยิงถอนหายใจ
“แต่ ?” เสี่ยวมูฉิงเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แต่เมื่อมองไปยังอีกด้านหนึ่ง เขาก็ต้องถอนหายใจออกมาแล้วส่ายหัว “จากที่เห็นแม่น้ำนี้มีความกว้างอย่างน้อย 80-90 จั้ง แม้ว่าหน้าไม้ทำลายเมืองและเครื่องยิงหินจะพุ่งไปอีกด้านหนึ่งได้ ทว่าพลังทำลายล้างของมันก็จะลดลงอย่างมาก ไม่มีทางที่จะทำอะไรพวกศัตรูที่ซ่อนอยู่ในป่าได้หรอก !”
“มันจำเป็นต้องทำ แม้ว่ามันจะทำประโยชน์ให้เพียงเล็กน้อยก็ตาม”
มูฉิงหัวเราะอย่างขมขื่นขณะที่เขาพึมพำในใจ ‘ดูเหมือนว่านี่จะเป็นทางเดียว !’ ว่าแล้วเขาก็เรียกรองหัวหน้ามา ก่อนจะบอกอีกฝ่ายให้กลับไปที่ค่ายทันทีเพื่อนำหน้าไม้ทำลายเมืองทั้งหมดออกมาเตรียมไว้
ถังหยินขึ้นแพไม้ แต่เขาไม่ได้สั่งให้โจมตีในทันที ด้วยเขากำลังถ่วงเวลารอให้หยวนยู่และจ้านหูข้ามแม่น้ำไปอย่างลับ ๆ
สำหรับหยวนยู่และจ้านหู มาตอนนี้ทั้งสองก็กำลังนำกองทัพเฟิง 2 พันนาย โดยมีหลีเทียนและอัยเจียเป็นผู้นำทางมุ่งหน้าไปยังชายฝั่งตื้น ๆ ทางตะวันออกของเมือง
ทหารทั้ง 2 พันนายนี้ไม่มีชุดเกราะและไม่สวมหมวกเกราะด้วยซ้ำไป พวกเขาแต่งกายในชุดรบที่มีเพียงดาบติดลำตัว ส่วนใต้ซี่โครงของพวกเขาก็เป็นไม้กระดานยาวที่ถังหยินร่างแบบไว้
เมื่อพวกเขามาถึงที่ตื้น พวกทหารก็พลันถอดเครื่องแบบทหารออก ทิ้งให้เหลือไว้เพียงกางเกงขาสั้น ก่อนจะนั่งยอง ๆ บนฝั่งและเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นในอีกด้านหนึ่งอย่างเงียบ ๆ
อัยเจียนั่งยอง ๆ ข้างหยวนยู่และชี้ไปที่อีกฝั่งพลางพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา พวกทหารลาดตระเวนอีกด้านหนึ่งจะเดินผ่านบริเวณนี้ทุก ๆ 1 ชั่วยาม” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ นางก็พลันเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์และพูดต่อว่า “ดูจากดวงอาทิตย์แล้ว หน่วยลาดตระเวนของศัตรูน่าจะมาถึงในไม่ช้า เป็นหน้าที่ของเจ้าที่จะต้องสั่งให้พวกเขาซ่อนตัว”
“เข้าใจแล้ว !” หยวนยู่พยักหน้า นิ้วทั้งสองของเขาจับนกหวีดและเป่ามัน จากนั้นจึงโบกมือไปข้างหลังเพื่อแสดงคำสั่งว่าให้ล่าถอยและซ่อนตัวในป่าทึบริมฝั่ง
หยวนยู่ จ้านหู หลีเทียนและอัยเจียทำการซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหินขนาดใหญ่ พวกเขาพร้อมใจกันยื่นศีรษะออกไปเพื่อสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในอีกด้านหนึ่ง
ในเวลานี้หยวนยู่ทั้งตื่นเต้นและวิตกกังวล ในขณะที่รอ เขาก็ได้หันมองไปยังทิศทางของดวงอาทิตย์เป็นครั้งคราว ด้วยรู้สึกว่าแม้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่ง แต่อีกด้านกลับยังคงสงบโดยไม่มีแม้แต่ร่องรอยของพวกทหารลาดตระเวน “แน่ใจนะว่าเจ้าไม่ได้สืบมาผิดพลาด นี่มันผ่านมานานมากแล้วนะ ?”
อัยเจียขมวดคิ้ว นางเองก็คิดว่ามันแปลกเหมือนกัน ด้วยตามเวลาแล้วหน่วยลาดตระเวนควรมาถึงบริเวณนี้… แต่นี่มันก็เลยมานานมากแล้ว
ในขณะที่หันกลับไปมองหลีเทียนด้วยความสงสัย หลีเทียนก็กลับทำเพียงแค่กะพริบตาตอบ ทำให้หญิงสาวนึกอะไรออก “นายท่านกำลังเตรียมโจมตีจากทางด้านหน้าด้วยกองทัพทั้งหมด ข้าสันนิษฐานว่าการเคลื่อนไหวนี้ดึงดูดความสนใจของศัตรูได้สำเร็จ นั่นคือสาเหตุที่กองกำลังลาดตระเวนยังมาไม่ถึง”
หยวนยู่ตบต้นขาของเขาแล้วพูดว่า “แล้วเราจะรออะไรอีกล่ะ !” ขณะที่พูดเขาก็ตั้งท่าจะลุกเดินออกไปจากข้างหลังหินใหญ่
แต่จ้านหูและหลีเทียนกลับรีบดึงหยวนยู่กลับมาเสียก่อน “อย่าเพิ่ง !”
หยวนยู่มองไปที่พวกเขาสองคนด้วยความสับสน
จ้านหูกล่าวว่า “เป็นไปได้มากที่ผู้บัญชาการของกองกำลังศัตรูที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำคือจ้านอู่ฉาง นายท่านเคยพูดหลายครั้งว่าเขาคนนั้นชาญฉลาดยิ่ง ดังนั้นแล้วอีกฝ่ายอาจวางแผนตลบหลังพวกเราก็ได้ จึงควรจะรออีกซักพัก !”
หลีเทียนที่อยู่ด้านข้างพยักหน้า และอดไม่ได้ที่จะมองไปยังจ้านหูอีกสองสามครั้ง ด้วยนี่เป็นครั้งแรกที่เขาร่วมมือกับจ้านหู
….แม้ว่าจ้านหูจะดูเหมือนคนป่าเถื่อน ด้วยรูปลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเขามีดีแค่กายาที่ใหญ่โตกับมันสมองที่เรียบง่าย แต่อันที่จริงแล้วนั้น ความคิดของเขาก็ถือว่ารอบคอบมากทีเดียว !
ในทางกลับกัน หยวนยู่กลับไม่เห็นด้วยและหัวเราะเยาะว่า “แล้วเราจะรอที่นี่อีกนานแค่ไหน จ้านอู่ฉางจะนำทัพจริงไหมก็ยังไม่รู้” พวกเจ้าอาจกลัวมัน แต่ข้าไม่ ดังนั้นพวกเจ้าจงรออยู่ที่นี่เสีย ข้าจะพาพี่น้องข้ามแม่น้ำไปก่อน !” หลังจากที่พูดจบ เขาก็ตั้งท่าจะเดินออกไปอีกครั้ง แต่อัยเจียกลับชิงพูดขึ้นมาซะก่อน “หน่วยลาดตระเวน !”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยวนยู่ก็พลันถอยเท้าของเขาที่ก้าวไปข้างหน้าทันที จากนั้นจึงยื่นออกมาครึ่งหัวเหล่ตาและมองไปยังฝั่งตรงข้าม
ตามที่คาดไว้ ทหารเปิงในชุดเกราะสีแดงออกมาจากป่าอีกด้านหนึ่งอย่างช้า ๆ มีคนไม่มากนัก แต่ละคนถือหอกเดินช้า ๆ ไปตามริมแม่น้ำ
มีการลาดตระเวนจริง ๆ! สายตาของหยวนยู่จับจ้องไปที่หน่วยลาดตระเวนที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจนกระทั่งร่างของพวกเขาหายลับไป
เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว หยวนยู่ก็พลันหันหลังกลับ ยักไหล่และหัวเราะพลางพูดว่า “จ้านอู่ฉางเป็นคนขี้อายจริง ๆ แม้จะเผชิญกับการโจมตีเต็มกำลัง เขาก็ยังส่งคนมาลาดตระเวน”
นั่นไม่ใช่ขี้อาย ! เรียกว่าระมัดระวังตัวและคิดให้ถี่ถ้วน ! จ้านหู หลีเทียนและอัยเจียตอบในใจโดยพร้อมเพรียงกัน และหลังจากรออีก 2 ชั่วยามเพื่อให้แน่ใจว่าหน่วยลาดตระเวนของกองทัพเปิงอยู่ห่างไกลออกไปแล้ว หลีเทียนก็จึงหันไปพูดกับหยวนยู่อย่างเข้มงวดว่า “เจ้าข้ามแม่น้ำได้แล้ว แต่ต้องทำให้เร็วที่สุด อย่าอยู่ในแม่น้ำนาน !”
“เข้าใจแล้ว !” หยวนยู่ตอบกลับและหันไปโบกมือส่งสัญญาณ ก่อนจะเดินไปที่ฝั่งและวางกระดานไม้ลง อันเป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยชุดเกราะปราณ
ทหารเฟิงทั้ง 2 พันคนเดินออกจากป่าและเตรียมการตนเองให้พร้อม
หลีเทียนและอัยเจียเฝ้าจับตามองโดยรอบ จากนั้นจึงไม่ลืมที่จะร้องเตือนหยวนยู่กับจ้านหูว่า “ระวังตัวกันด้วย” พลางส่งเชือกให้
“ฮ่า !” หยวนยู่ยิ้มกว้าง เขาโบกมือไปมาและพูดว่า “เอาละ พวกเจ้าจงตามข้ามา !” ว่าแล้วชายเลือดร้อนก็พลันลงไปในน้ำก่อนใครเพื่อน ด้วยการขึ้นไปนอนราบบนกระดานไม้ จากนั้นจึงจับเชือกด้วยมือข้างหนึ่งแล้วใช้ดาบปราณต่างไม้พายในการพาตัวข้ามไป
หยวนยู่นำไปก่อนแล้ว แต่จ้านหูไม่ได้ตามลงไปในทันที เขาเลือกที่จะช่วยทหารบนฝั่งแทน ด้วยการช่วยผลักกระดานไม้ออกไปทีละคน จนกระทั่งครบหมดแล้ว… จึงเป็นทีของชายร่างใหญ่บ้าง จ้านหูหันมาอำลาหลีเทียนและอัยเจีย จากนั้นจึงเดินตามคนที่เหลือลงไปในน้ำ
คนทั้งหมดต่างก็นอนลงบนกระดานไม้ ในขณะที่พวกเขาจับเชือกและว่ายไปอีกด้านอย่างช้า ๆ
ภาพคนสองพันคนถูกจัดเรียงบนเชือกเช่นนี้ เมื่อดูจากระยะไกลแล้ว …มันดูงดงามยิ่งนัก !
แต่ถึงอย่างนั้น การข้ามแม่น้ำก็ยังยากมาก เพราะไหนจะกระแสน้ำไหลเชี่ยว และการที่ต้องใช้มือจับเชือกไว้ให้แน่นอีก ด้วยถ้าหลุดไปแล้ว คนผู้นั้นคงยากที่จะข้ามฝั่งไปได้
ทหารเฟิงสองพันคนนี้ล้วนรู้และเคยฝึกทักษะทางน้ำมาบ้าง อีกทั้งพวกเขาก็ล้วนแล้วแต่เป็นทหารที่แข็งแกร่งและยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาว่ายไปที่กลางแม่น้ำ มันก็ยังคงมีคนถูกกระแสน้ำพัดพาไปเป็นระยะ ๆ อยู่ดี…
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชดังขึ้นจากข้างหลังเขา หยวนยู่ไม่ได้หันกลับไป แต่กลับกัดฟันแน่นและพายไปในแม่น้ำอย่างสิ้นหวังโดยใช้ความเร็วสูงสุดแทน
…ในฐานะผู้นำที่อยู่แนวหน้า สิ่งที่เขาทำได้คือข้ามแม่น้ำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะยิ่งเขาใช้เวลาในการข้ามน้อยลงเท่าใด อันตรายที่พวกทหารจะเผชิญก็จะน้อยลงเท่านั้น
จ้านหูที่กำลังข้ามแม่น้ำในตำแหน่งรั้งท้ายสุดนั้นเจ็บปวดใจยิ่งกว่าหยวนยู่เสียอีก เขาได้แต่เฝ้าดูอย่างหมดหนทางในขณะที่ทหารของเขาถูกลากลงไปในแม่น้ำทีละคน โดยที่ตนนั้นไม่มีแรงแม้แต่จะช่วยพวกเขาด้วยซ้ำไป สิ่งที่เขาทำได้คือเฝ้าดูทหารดิ้นรนร้องขอความช่วยเหลือในแม่น้ำก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ระยะทางสั้น ๆ ไม่กี่สิบจั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นเส้นทางที่ยากที่สุดที่หยวนยู่และจ้านหูเคยเจอมาเลยก็ว่าได้
ในที่สุดหยวนยู่ก็มาถึงอีกฝั่งเป็นคนแรก เขาไม่คิดแม้แต่จะพักหายใจ เร่งหันหลังไปจับแขนของทหารที่อยู่ข้างหลังจากนั้นจึงดึงร่างคนผู้นั้นเหวี่ยงขึ้นฝั่งไป
เขาดึงทหารขึ้นฝั่งทีละคนพลางคิดนับจำนวนในใจอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งจ้านหูขึ้นฝั่ง ….และหลังจากที่หยวนยู่นับจำนวนคนที่เหลือรอดเสร็จแล้ว ผลคือมีทหารร่วม 200 นายที่สละชีพในการข้ามแม่น้ำครั้งนี้