ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 437
บทที่ 437
บทที่ 437
ตราบเท่าที่ทั้งสองกองทัพเข้ามาร่วมได้ พวกเขาจะมีกำลังทหารมากกว่า 5 แสนนาย และเมื่อเข้าโจมตีเมืองอีกครั้ง …มันจะต้องคว้าชัยมาได้แน่ !!!
มูฉิงคำนวณได้ดียิ่ง แต่บางอย่างก็ไม่ตรงไปตามแผนเสียทีเดียว
เพราะตามข้อมูลของหน่วยข่าวกรอง กองทัพโมกว่า 2 แสนนายได้มารวมตัวที่ชายแดนเฟิงพร้อมที่จะเข้าโจมตีทางผ่านบาแล้ว !
ทางผ่านบาของแคว้นเฟิงมีค่าเทียบเท่าประตูตง ดังนั้นไม่ว่าจะยังไงก็ห้ามเสียที่นี่โดยเด็ดขาด ทว่ากองทัพที่นั่นก็มีเพียงแค่ 3 หมื่นนายเท่านั้น พวกเขาคงไม่มีทางต้านพวกโมได้แน่ ถังหยินจึงได้เรียกหลีเทียนให้ถ่ายทอดคำสั่งไปยังกองทัพชานชุย ว่าให้หยุดการมุ่งหน้าไปยังจางหยูในทันที
เมื่อคำสั่งนี้ถูกถ่ายทอดออกไป มันจะช่วยแก้ปัญหาของทางผ่านบาได้แน่ แต่กับทางพวกเขาแล้วอาจถือว่าความได้เปรียบจะลดน้อยลง เพราะต้องอาศัยกำลังทหารเพียงหนึ่งแสนนายที่มีอยู่ในการโจมตีจางหยู
และเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ ถังหยินก็เริ่มสิ้นหวังขึ้นมา ด้วยทั้ง ๆ เขาเสี่ยงชีวิตเข้าไปยังแคว้นโมแท้ ๆ แต่ในตอนนี้มันกลับพังทลายลงอย่างไม่เป็นท่าเสียอย่างงั้น !!
หลังจากถังหยินครุ่นคิดแล้ว เขาก็จึงตัดสินใจส่งข้อความผ่านหน่วยข่าวกรองในแคว้นโมไปถามเช่าฟ๋างถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
อีกทางด้านหนึ่ง ขณะนี้ฝั่งแคว้นโมก็กำลังถกเถียงกันอยู่ว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี
อ๋องแห่งแคว้นโมในขณะนี้กำลังอยู่ในอาการคิดหนัก เพราะว่าพวกหนิงบอกว่าจะยอมทุ่มเงินทองมากมาย อีกทั้งยังจะยกเมืองให้ 5 เมืองอีกด้วย ดังนั้นแล้วใครก็ตามที่เจอข้อเสนอดี ๆ แบบนี้ พวกเขาก็คงไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะรับมัน…
อันที่จริงแล้วเงินทองไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ความจริงคือแคว้นโมอยากได้เมืองอีก 5 เมืองแบบให้เปล่าจากพวกหนิงเสียมากกว่า เพราะแบบนี้จะยิ่งทำให้พื้นที่ของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นโดยที่ไม่ต้องลงแรงอะไรทั้งนั้น
และด้วยการสนับสนุนจากขุนนางภายในราชสำนัก ท่านอ๋องแห่งแคว้นโมจึงได้ตัดสินใจได้ ก่อนจะทำการส่งทหารออกไปในทันที…
เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ขุนนางอีกส่วนหนึ่งต่างก็ตะลึงจนพูดอะไรไม่ถูก เพราะเรื่องสำคัญแบบนี้ควรจะต้องปรึกษากันให้ดีจนได้ข้อสรุปก่อน ไม่ใช่รีบตัดสินใจแบบนี้
อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเองก็ได้มีขุนนางคนหนึ่งที่ไม่อาจเก็บอาการได้อีกต่อไป เขาเป็นคนแรกที่ก้าวเท้ามาข้างหน้าและก้มลงกราบในทันที “ฝ่าบาทช่างมองการณ์ไกลเหลือเกิน การที่ท่านทำเช่นนี้ นอกจากเราจะได้พื้นที่จากพวกหนิงแล้ว เราจะยังได้ทางผ่านบามาครอบครองอีกด้วย”
เมื่อเห็นว่ามีคนพูดประจบแบบนี้ พวกขุนนางฝ่ายเดียวกันก็รีบทำตามทันที
ภาพตรงหน้าทำให้ท่านอ๋องแห่งแคว้นโมหัวเราะออกมา ส่วนขุนนางบางคนก็ดูจะทำอะไรไม่ถูก ด้วยพวกเขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ตามดี จนได้แต่มองไปยังตงเฉิง
จังหวะนั้นเอง เสียงร้องไห้ของตงเฉิงพลันดังก้องไปทั่วราชสำนักจนท่านอ๋องแคว้นโมจำต้องถามออกมา “ท่านร้องไห้ทำไมกัน ?”
เมื่อได้ฟังคำถาม ตงเฉิงจึงเดินออกมาแล้วคุกเข่าตรงหน้าบัลลังก์ ทำให้ขุนนางอีกฝั่งที่เห็นด้วยในตอนแรกได้แต่กัดฟันด้วยไม่รู้ว่าชายแก่คนนี้จะมีลูกเล่นไหนอีก
“ฝ่าบาท ตงเฉิงกำลังก่อเรื่องอยู่ ท่านได้โปรดลงโทษเขาด้วย !”
ต้องเข้าใจว่าท่านอ๋องแคว้นโมเช่าติงนั้นไว้ใจในตัวตงเฉิงมากเพียงใด ดังนั้นเมื่อเห็นชายชรามีท่าทีเช่นนี้ อ๋องแห่งแคว้นจึงไม่รอช้ารีบเข้าไปพยุงให้ลุกขึ้นมาในทันที “ท่านร้องไห้ทำไมกัน?”
ตงเฉิงเช็ดน้ำตาก่อนพูด “ข้าร้องไห้เพื่อท่านและแคว้นโมของเรา”
“ท่านหมายความว่ายังไง ?”
“นั่นเป็นแผนของพวกหนิง วันนี้มันให้เรา 5 เมือง วันหน้ามันจะมาเอาคืนจากพวกเรา 50 เมือง และเมื่อตอนนั้นมาถึง… พวกเราจะต้องล่มสลายอย่างแน่นอน !!!”
เมื่อได้ยินแบบนี้เช่าติงก็หน้าซีดทันที
จางหลง ขุนนางที่เห็นแย้งตงเฉิงเมื่อได้ยินดังนั้นก็พลันสูดหายใจเข้าก่อนจะพูดขึ้น “อย่าไปฟังท่านตงเฉิงเลย ฝ่าบาทคิดว่าพวกหนิงจะกล้าทำตัวเป็นศัตรูกับเรางั้นหรือ ?”
คำพูดดังกล่าวทำให้ตงเฉิงที่ได้ยินดังนั้นพลันตะโกนสวนกลับมาดังลั่นในทันทีว่า “พ่อค้าของข้าเดินทางไปทั่วโลกได้โดยไม่มีปัญหาใด ทว่าพวกเขากลับถูกขับไล่โดยแคว้นหนิงเท่านั้น ! ส่วนสายลับของเราก็บอกมาว่าพวกมันวางแผนจะรวบเมืองของพวกเราอยู่ นี่มันเป็นพี่น้องประเภทไหนกัน… ท่านคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติหรือที่แคว้นพี่เมืองน้องจะทำกันเช่นนี้ ? นี่มันผิดปกติชัด ๆ เลย แล้วไหนจะที่ว่าคนพวกนั้นยกเมืองให้เปล่า ๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรนั่นอีก ? ท่านคิดว่าคนพวกนั้นโง่งมมากนักหรือ พวกหนิงจะให้เราทำไมกันถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาได้ผลประโยชน์ที่มากไปกว่านั้น ?”
เช่าติงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับขมวดคิ้วแน่นด้วยเขาเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้ว
อาการที่เกิดขึ้นทำให้จางหลงที่เป็นขุนนางระดับสูงร้อนตัว เพราะเขานั้นรับใช้ท่านอ๋องมานาน จึงรู้นิสัยของผู้เป็นนายดี ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบพูดแก้ต่างในทันทีว่า “ฝ่าบาท ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนั้นมาก่อนเลยขอรับ”
ตงเฉิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา “ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรท่านจางเสียหน่อย เหตุใดท่านจึงต้องร้อนตัวกัน ?”
ระหว่างที่ขุนนางทั้งสองกำลังโต้ตอบกันไปมา ก็เป็นเช่าฟ๋างที่เดินออกมาประกบมือโค้งคำนับ “ท่านพ่อ ข้าเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของท่านตง การใช้กองทหารในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม”
ท่านอ๋องไม่คิดว่าลูกชายของตัวเองจะพูดแบบนี้ ดังนั้นด้วยความสงสัยเขาจึงถามกลับไปมา “ทำไมกันเล่า ?”
เช่าฟ๋างสูดหายใจแล้วมองพวกขุนนางรอบ ๆ ก่อนพูด “ในความคิดของข้า พวกหนิงมันอยากจะให้ท่านพ่อช่วยแม่ทัพของพวกมันด้วยเหตุผลบางอย่างที่ซ่อนอยู่”
“คือ ?”
“พวกเขาต้องการให้พวกเราเข้าร่วมสงคราม !”
ทุกคนในนี้ต่างก็มีสีหน้าตะลึง รวมไปถึงตัวเช่าติงด้วย
“ท่านพ่อ สถานการณ์ในเฟิงตอนนี้กำลังวุ่นวายก็จริง แต่ว่าภายในนั้นเข้มแข็งมาก …โดยเฉพาะกับกองทัพของพวกเฟิงที่เก่งกาจเสียจนทำให้กองทัพของพี่น้องจ้านถูกกวาดล้างออกไปจนเกือบหมดสิ้น ดังนั้นแล้วถ้าพวกเราเข้าร่วมสงครามโดยแลกกับเมือง 5 เมืองนี้มันจะคุ้มแล้วหรือ ? ต่อให้ได้ชัยกลับมา พวกเราก็จะอ่อนแอลงจนเปิดโอกาสให้พวกหนิงเข้ามาโจมตีลับหลังได้ ดังนั้นพวกเราควรจะรอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเสียก่อน แล้วค่อยคว้าเอาจังหวะนั้นเพื่อสร้างความได้เปรียบ !”
หลังสิ้นคำของเช่าฟ๋าง พวกขุนนางก็ไม่รอช้า พวกเขาพากันปรบมือให้กับการวิเคราะห์นี้
….สิ่งที่เช่าฟ๋างพูดถือว่าสมเหตุสมผลมากทีเดียว จนแม้แต่จางหลงที่เก่งกาจก็ไม่อาจใช้ข้อโต้แย้งใดสวนกลับได้เลย !!!