ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 463
บทที่ 463
บทที่ 463
ชุยหยุนเจียนมีสติเลือนรางเต็มที ภาพสุดท้ายที่เห็นคือถังหยินบีบคอเขาแล้วยกขึ้นไปในอากาศ ในขณะที่เขากำลังจะพูด คมดาบในมือซ้ายของอีกฝ่ายก็พลันทะลุท้องน้อยของเขาไป
ฉัวะ !
แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะหลบหรือต้านทานเอาไว้ได้เลย คมดาบที่แทงเข้ามาทะลุจนปลายออกมาจากหลังของชุยหยุนเจียน ทำให้เลือดสด ๆ ไหลทะลักออกมา ร่างกายของเขาสั่นอย่างรุนแรงก่อนจะนิ่งไปในที่สุด
“นั่นสำหรับคนที่ตายไปด้วยฝีมือของเจ้า !” ถังหยินกล่าวอย่างเย็นชา หลังจากนั้นเขาก็ดึงดาบออกและแทงเข้าที่หน้าท้องของชุยหยุนเจียนซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อ “นี่สำหรับที่เจ้าฆ่าเจียงโม !” ขณะที่เขาพูด ถังหยินก็ได้ดึงดาบออกมาและยังคงแทงเข้าไปอีกพลางหัวเราะอย่างน่ากลัว “นี่สำหรับที่เจ้าทำให้อู่เหมยต้องอับอาย !”
ภายในพริบตา หน้าท้องก็ถูกย้อมไปด้วยเลือดสีเข้ม ยากที่จะบอกว่ามีบาดแผลเพิ่มไปอีกกี่แผลแล้ว ลำไส้ในร่างกายของชุยหยุนเจียนไหลออกมาตามบาดแผลโดยที่ปลายด้านหนึ่งยังคงห้อยอยู่ภายในร่างกาย
…ฉากนองเลือดตรงหน้าโหดร้ายยิ่ง มันทำให้ผู้คนแทบหยุดหายใจ เช่นเดียวทหารรอบข้างทั้งหมดที่ถอยกลับไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นว่าชุยหยุนเจียนกำลังจะหมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย ถังหยินจึงคว้าคอของอีกฝ่ายและปล่อยเปลวไฟแห่งความมืดเผาชุดเกราะและพลังปราณในร่างกายของชุยหยุนเจียน ก่อนจะดูดซับไอสีขาวพวกนั้นเข้าไป
ถ้าเป็นอย่างที่ชุยหยุนเจียนกล่าวไว้ งั้นแสดงว่ามีคนแฝงตัวอยู่ในวังของแคว้นเฟิงแน่นอน อาจจะไม่เพียงแต่ในแคว้นเฟิงเท่านั้น ยังมีพวกมันซ่อนตัวอยู่ในพระราชวังของแคว้นอื่น ๆ ด้วย ! จากที่ชุยหยุนเจียนปริปากออกมา มันอาจจะเป็นไปได้ทั้งสาวใช้ในวังหรือแม้กระทั่งผู้ครองแคว้นซักแคว้นด้วยซ้ำไป !!!
ความจริงที่ว่าสระน้ำศักดิ์สิทธิ์เต็มใจที่จะใช้ความพยายามและเวลาอย่างมากในการแทรกซึมเข้าไปในแคว้นต่าง ๆ ทำให้ถังหยินประหลาดใจและในเวลาเดียวกันก็ทำให้เขาหวั่นวิตก ด้วยพระราชวังอันเป็นสถานที่สำคัญกำลังถูกแทรกแซง !!!
นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงและฟังดูน่าเหลือเชื่อเกินไป พวกสระน้ำศักดิ์สิทธิ์กำลังทำอะไรอยู่ ? ถังหยินยังไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการกระทำนี้ แต่เขาคาดเดาว่าอีกไม่นานนักหรอก มันจะต้องมีความขัดแย้งหรือปัญหาใหญ่เกิดขึ้นแน่ !!
ตำแหน่งของชุยหยุนเจียนคงไม่สูงนัก เขาจึงไม่รู้มากเกี่ยวกับเรื่องภายใน ถึงกระนั้นถังหยินก็ยังคงตกตะลึงจนถึงจุดที่เขาจมดิ่งลงไปในความคิด
“นายท่าน ?” ในเวลานี้เหล่าแม่ทัพและทหารคนอื่น ๆ ต่างก็เดินเข้าหาและมองชายหนุ่มด้วยสีหน้ากังวลปนงงงวย พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมถังหยินถึงได้นิ่งไปซะเฉย ๆ
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของทุกคน ถังหยินก็ได้สติแล้วตระหนักว่าศพของชุยหยุนเจียนยังอยู่ในมือของเขา ชายหนุ่มจึงดึงดาบออกแล้วทิ้งซากอันน่าสังเวชเอาไว้บนพื้น ก่อนที่จะหันมองไปยังอู่เหมยตั้งแต่หัวจรดเท้าและถามเบา ๆ “บาดเจ็บไหม ?”
อู่เหมยส่ายหัวและพูดว่า “ไม่… เจ้าล่ะ ?” คำพูดนั้นทำให้ถังหยินเผยรอยยิ้มโล่งใจออกมา ก่อนที่เขาจะพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “ไม่… ข้าแค่นึกอะไรอยู่น่ะ”
ขณะที่พูด สายตาของเขาก็ได้จ้องมองไปที่เจี๋ยนฟาน บางทีอาจเป็นเพราะทั้งคู่ฝึกศาสตร์มืดเช่นเดียวกับ หรือบางทีอาจเพราะพวกเขาดูคล้ายกันมากกว่าที่คิด ดังนั้นยิ่งถังหยินเห็นอีกฝ่ายมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งถูกชะตามากขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจี๋ยนฟาน จากที่เจ้าช่วยเหลืออู่เหมยเอาไว้ได้ ข้าจะให้รางวัลเจ้า อะไรก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจ” คำพูดของเขาใจกว้างนัก ทำให้หัวใจของเจี๋ยนฟานตกอยู่ในความสับสน หากแต่ก็สามารถสงบลงได้อย่างรวดเร็วและตอบกลับอย่างเฉยเมย “มันเป็นการตัดสินใจด้วยตัวข้าเอง เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นหรอกขอรับ”
“…ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้น !” ถังหยินพยักหน้าชื่นชม ก่อนจะพูดอย่างเงียบ ๆ ว่า “ตั้งแต่เข้าร่วมกองทัพ เจ้ายังไม่มีตำแหน่งใดเลย งั้นข้าจะให้เจ้าอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพอย่างที่เจ้าเคยอยู่ก็แล้วกัน” ตำแหน่งแม่ทัพที่อยู่ภายใต้คำสั่งของถังหยินไม่ได้ด้อยไปกว่าขุนนางทั่วไปเลย อาจกล่าวได้มีอำนาจมากกว่าด้วยซ้ำไป และเพียงเพราะคำพูดของถังหยิน เจี๋ยนฟานก็พลันกลายมาเป็นเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพเทียนหยวนได้อย่างก้าวกระโดด
เจี๋ยนฟานตะลึงไปชั่วขณะก่อนที่จะได้สติ ร่างกายของเขาสั่นสะท้านขณะที่คุกเข่าข้างหนึ่ง
ภาพตรงหน้าทำให้หลีเทียนและอัยเจียมองหน้ากันและหัวเราะออกมา ก่อนที่พวกเขาจะก้าวไปข้างหน้าแล้วทำความเคารพ “ขอแสดงความยินดี แม่ทัพใหญ่เจี๋ยนฟาน !”
แม้ว่าทั้งสองจะควบคุมเนตรเวหาและเครือข่ายใยพิภพจนทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักดี แต่ยศของพวกเขานั้นกลับไม่สูงนัก พวกเขาเทียบเท่ากับผู้นำกองทหารเท่านั้น และเมื่อเทียบกับเจี๋ยนฟานแล้ว ก็ถือว่าอีกฝ่ายสูงกว่ามาก !!!
ฝ่ายคนตำแหน่งสูงกว่า เมื่อเห็นท่าทีของคนทั้งสองก็รีบกล่าวว่า “พวกท่านสุภาพเกินไปแล้ว” ในทันที
ขณะนั้นเฉิงจินก็ได้หันมองจากด้านข้างด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่ได้แสดงความยินดีและไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าใกล้เจี๋ยนฟานแม้แต่น้อย ด้วยเฉิงจินอยู่ในตำแหน่งที่สูงเท่ากัน อีกทั้งตัวตนของเขานั้นยังพิเศษและมีความรับผิดชอบที่มากกว่า เพราะต้องดูแลจัดการกลุ่มศรทมิฬ ดังนั้นเฉิงจินจึงสงวนท่าทีไว้เสมอและจะไม่เข้าใกล้ใครในกองทัพมากเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นความสงสัย แน่นอนว่าการไว้ตัวเช่นนี้ทำให้กลุ่มศรทมิฬดูลึกลับมากขึ้น แต่ก็มีแนวโน้มที่ผู้อื่นจะไม่ชอบหน้าเขาด้วยเช่นกัน
ในเวลานี้แม้แต่อู่เหมยและอู่อิงก็เข้ามาขอบคุณด้วย เพราะหากเขาไม่ลงมือทันเวลา สถานการณ์คงจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้
เมื่อรู้ว่าผู้หญิงทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับถังหยิน เจี๋ยนฟานจึงไม่กล้าที่จะละเลย เขาโค้งคำนับให้และกล่าวว่า “นี่เป็นหน้าที่ของข้าขอรับ….” ความสำเร็จของเจี๋ยนฟานไม่ได้น่าภาคภูมิใจ ดังนั้นเขาจึงพูดตอบกลับไปตามตรง
“มีข่าวขอรับ…” สายลับของเนตรเวหาเข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงหน้าถังหยินและคนอื่น ๆ เขาก็รีบลงจากหลังม้าและทักทายถังหยินกับหลีเทียนด้วยความเคารพแล้วจึงพูดว่า “ท่านแม่ทัพ ! กองกำลังของเราจากทั้งสี่ทิศได้ฝ่าแนวป้องกันของศัตรูเข้าไปในเมืองได้สำเร็จแล้ว ตอนนี้ศัตรูกำลังจะแตกพ่าย พวกเราควรที่จะทำอย่างไรต่อไปดีขอรับ !”
“ดีมาก ! “เมื่อถังหยินได้ยินดังนั้น เขาก็พลันยิ้มและพูดกับคนทางซ้ายและขวาของเขาว่า “บุกเข้าไปเต็มกำลังซะ !
“รับทราบขอรับ !” เฉิงจินช่วยนำม้าศึกของถังหยินมาให้ ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่รีรอแม้แต่น้อย เขาเข้าคว้าบังเหียนและกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าพลางหันมาพูดกับอู่เหมย อู่อิงและเจี๋ยนฟานว่า “พวกเจ้าอยู่ในค่าย เผื่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น !”
“ขอรับ !” เจี๋ยนฟานไม่เต็มใจที่จะต่อสู้กับกองกำลังป้องกันของเมืองจางหยู ดังนั้นเมื่อได้ยินคำสั่งของถังหยิน เขาก็จึงยอมรับมันแต่โดยดี
และแม้ว่าสองสาวจะไม่เต็มใจที่จะยอมรับ แต่หลังจากได้เห็นว่าชุยหยุนเจียนแสดงท่าทีอย่างไรออกมา มันก็ทำให้แม้ว่าสองสาวไม่เต็มใจ แต่พวกนางก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับ
ถังหยินนำเหล่าแม่ทัพและคนที่เหลือกลับไปที่เมืองจางหยูในทันที
เนื่องจากการต่อสู้เป็นไปอย่างราบรื่น ถังหยินจึงไม่ต้องรีบร้อนอีกต่อไป เมื่อกองทัพทั้งสี่ของเขาโจมตีและเข้าเมืองได้สำเร็จ
ดังนั้นแล้วก่อนเข้าเมืองเขาจึงได้วนดูรอบเมืองคราหนึ่ง เพื่อสำรวจดูว่าศึกนี้สูญเสียทหารไปเท่าใด ซึ่งมันก็ทำให้ถังหยินพบว่าศึกครานี้มีทหารฝั่งตนที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ที่ราว ๆ 3 พันคนด้วยกัน !
…เมื่อเข้ามาในเมือง ก็จะเห็นเข้ากับทหารเฟิงที่กำลังเข้าโรมรันอย่างบ้าคลั่ง
ขณะที่ถังหยินกำลังขี่ม้าของเขาเข้าใกล้จวนผู้ว่า มูฉิง จีหยิง หยวนยู่และคนอื่น ๆ ก็พลันรีบเข้ามาต้อนรับเขา ก่อนที่คนเหล่านั้นจะพากันถามอย่างเป็นกังวลว่า “นายท่านขอรับ ข้าได้ยินมาว่าค่ายทหารของเราถูกศัตรูโจมตี ?”
“อืม ! เป็นชุยหยุนเจียน !”
“อา…. !” เมื่อได้ยินชื่อของชุยหยุนเจียน ทุกคนก็พากันสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นจึงเป็นหยวนยู่ที่พูดขึ้นก่อนใคร “แล้วมันอยู่ที่ไหน ข้าจะไปเชือดคอมันเอง !”
คำพูดนั้นทำให้ถังหยินหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะชี้ไปที่ด้านบนศีรษะของเขาและพูดว่า “มันตายไปแล้ว” จากนั้นเขาก็ถามว่า “ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร ?”
…ทุกคนต่างก็ตกใจเมื่อได้ยินว่าชุยหยุนเจียนที่เก่งกาจได้ตายไปแล้ว แต่มันก็ถือเป็นข่าวดีจากสวรรค์เช่นกัน เพราะการตายของชุยหยุนเจียนนั้นเทียบเท่ากับการขจัดภัยคุกคามขนาดใหญ่และอันตรายไปอย่างสิ้นเชิง !!
มูฉิงถอนหายใจและตอบด้วยความเคารพ “นายท่าน ปัจจุบันมีกองทัพเปิงประมาณ 3 พันคนรวมตัวกันอยู่ที่จวนผู้ว่า ส่วนซ่งเทียนและเสี่ยวชางนั้น พวกเราไม่ทราบแม้แต่น้อย นอกเหนือจากนั้น…” หลังจากนั้น เขาพลันหันกลับมาโบกมือให้ทหารที่อยู่ข้างหลังและตะโกนว่า “พาเขาขึ้นมา !”
ตามคำพูดของเขา ทหารเฟิงสองสามคนก็ได้เดินออกมา โดนคนที่ถูกลากตัวมานั้นคือแม่ทัพวัยกลางคนที่ไม่มีหมวกเกราะบนศีรษะ เขาดูจะอายุสามสิบ มีใบหน้าซีดเซียว ผมเผ้ายุ่งเหยิง และไม่มีวี่แววของชีวิต
หลังจากที่ถังหยินมองอย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ เขาเหล่ตาและพูดว่า “ข้าก็ว่าใครที่ไหน ท่านจ้านอู่ฉางนี่เอง… !”