ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 488
บทที่ 488
บทที่ 488
“ขะ…?” หลีตานดูเหมือนจะคุ้นเคยกับคำพูดอันเย็นชาของหยินโหรว สีหน้าของเขามีเพียงความเขินอายและพูดเสียงเบาว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้-”
“เช่นนั้นก็ว่ามา” หยินโหรวกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ในขณะนี้แม้แต่ถังหยินที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้างยังส่ายหัว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร หลีตานก็ยังคงเป็นรัชทายาทแห่งแคว้นเจิ้นอยู่วันยังค่ำ และในภายภาคหน้าเขาจะกลายเป็นราชา ทว่าตอนนี้ ต่อหน้าหยินโหรวเขาอ่อนน้อมถ่อมตนราวกับเป็นสุนัขในกรงของนาง
หลีตานกลัวว่าคำพูดต่อไปของตนจะทำให้หยินโหรวโกรธมากยิ่งขึ้น เขาจึงเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ข้าอยากจะพาเจ้าไปที่แคว้นของข้า…”
“แล้วทำไมข้าต้องไปด้วย!!” หยินโหรวยืนขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว
ด้วยปฏิกิริยาที่รุนแรงเช่นนี้ หลีตานก็ตกใจเช่นกัน เขาถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบโค้งคำนับ
“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่า…ข้า! ไม่! ไป!” หยินโหรวกล่าวทีละคำ
“ไม่ต้องเป็นแคว้นเจิ้นก็ได้ ตราบใดที่องค์หญิงต้องการข้าสามารถพาไปได้ทุกที่” หลีตานยังคงไม่ยอมแพ้
หยินโหรวขึ้นเสียงเข้ม “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะพูดกับเจ้าอีกครั้ง ตัวข้า! จะไม่ไปไหนทั้งนั้น!!”
“แต่-” ยามนี้มีเหงื่อเย็นเยียบไหลออกมาจากหน้าผากของหลีตาน
“ไม่มีแต่…!” หยินโหรวกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าจะไม่พูดอีกเป็นครั้งที่สอง!! เสี่ยวมิน! ส่งแขก!”
“เพคะองค์หญิง!” เสี่ยวมินรับคำสั่ง นางเดินไปหาหลีตานแล้วผายมือ “เชิญเพคะ…!”
หลีตานไม่ได้มองไปที่เสี่ยวมินเลยสักนิด สายตาของเขายังคงจดจ้องไปยังร่างของหยินโหรว ไม่รู้ว่าตนควรเกลี้ยกล่อมให้องค์หญิงตอบรับคำเชิญเช่นไร
หยินโหรวไม่อยากจะเสียเวลาอีกต่อไป “ข้าจะไปพักผ่อน”
พูดจบนางก็เดินตรงไปที่ห้องด้านใน
เมื่อเห็นว่าหลีตานยังคงไม่มีความตั้งใจที่จะจากไป เขาเอาแต่จ้องมองด้านหลังของหยินโหรวอย่างกระตือรือร้น เสี่ยวมินพลันแอบกลอกตา นางขึ้นเสียงและพูดอีกครั้ง “องค์หญิงอยากพักผ่อนแล้ว เพราะฉะนั้นเชิญเพคะ…!”
“เฮ้อ!”
หลีตานถอนหายใจ เขายิ้มให้เสี่ยวมินและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะกลับมาใหม่ในวันพรุ่งนี้”
หลังจากพูดจบ เขายังคงมองจุดที่หยินโหรวหายไปอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหัวแล้วเดินออกไปจากตำหนัก
หลังจากที่หลีตานจากไป เสี่ยวมินก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก โชคดีที่หลีตานไม่ได้ให้ความสำคัญกับถังหยินมากเกินไป มิฉะนั้น เรื่องมันอาจจะไม่ง่ายดายเช่นนี้
และพอหลีตานจากไปแล้ว
หยินโหรวที่เข้าไปในห้องด้านในก่อนหน้านี้ พลันโผล่ใบหน้าของนางออกมาเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ซุกซนทันที นางถามขึ้นมา “เจ้านั่นออกไปแล้วใช่หรือไม่?”
เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นรอยยิ้มของนาง และมันก็หายากยิ่งกว่าที่จะได้เห็นรอยยิ้มที่มาจากก้นบึ้งหัวใจของเขาด้วย ถังหยินใจสั่นพลางเหม่อมองหยินโหรวอย่างงุนงงโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองย้อนกลับไป นางก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่งดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา
“ไปแล้วเพคะ” เสี่ยวมินยังเผยรอยยิ้มดีใจและพยักหน้าให้หยินโหรว
ถังหยินที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ถามขึ้นอย่างกะทันหัน “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลีตานเชิญองค์หญิงไปแคว้นเจิ้นอย่างนั้นหรือ?”
หยินโหรวพยักหน้าและกล่าวว่า “ครั้งสุดท้ายที่เขามาหาข้า ก็พูดเรื่องนี้แหละ แต่ข้าไม่คิดว่าเขาจะกล้ากลับมาพูดเรื่องเดิมอีก”
ถังหยินขมวดคิ้วและพึมพำ “เหตุใดเขาถึงอยากให้เจ้าไปที่นั่นซะเหลือเกิน?”
“แน่นอนว่าเป็นเพราะเขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อใกล้ชิดกับองค์หญิง แล้วก็คงมีเจตนาอื่นแอบแฝงอีก!” เสี่ยวมินพูดอย่างไม่พอใจ
หยินโหรวมองถังหยิน “ข้าไม่อยากไป มันก็แค่นั้น!”
ถังหยินยังคงเงียบราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็เต็มใจที่จะเข้าใกล้ผู้หญิงที่งดงามเช่นหยินโหรว แต่หลีตานเป็นคู่หมั้นของหยินโหรว และทั้งสองคนกำลังจะแต่งงานกันในปีหน้า จากที่ถังหยินสังเกตมาเมื่อครู่ แม้แววตาของเขาที่จ้องมององค์หญิงจะดูคลุมเครือ แต่ก็หาได้มีความคิดชั่วร้ายปะปนอยู่ด้วย ทว่าหากเป็นเพียงต้องการใกล้ชิดสร้างสัมพันธ์กับหยินโหรว ก็ไม่น่ายืนกรานมากถึงเพียงนี้
เป็นไปได้ไหมที่หลีตานมีแรงจูงใจอื่น?
หัวใจของถังหยินสั่นไหว เขาตระหนักดีว่าอาจมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลัง แต่ตนไม่สามารถเข้าใจเจตนาอื่น ๆ ของหลีตานได้ เหตุใดถึงต้องการพาหยินโหรวออกไปจากเมืองหลวง? สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
ทันทีที่คืนสติกลับมา ถังหยินพลันรู้สึกตัวว่าหยินโหรวขยับเข้ามาใกล้เขาโดยที่ไม่ทันสังเกต นางเงยหน้าขึ้น จ้องมองเขาอย่างไม่กะพริบตา ถังหยินตกใจในตอนแรกแต่แล้วก็ยิ้มออกมาในที่สุด
“คิดอะไรอยู่?” หยินโหรวถามอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกว่าหลีตานคนนี้ดูเหมือนจะมีบุคลิกที่ดี…” ถังหยินพูดความจริง
“หึ!” หยินโหรวพองแก้มของนางและพูดด้วยความโกรธ “คนอย่างนั้นมีอะไรดี?! เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจข้าเลยสักนิด! ”
ในเวลานี้ถังหยินยังสามารถบอกได้ว่า ความเกลียดชังของหยินโหรวที่มีต่อคู่หมั้นของนางหาใช่ของปลอม แต่มาจากก้นบึ้งของหัวใจของนางจริง ๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เสี่ยวมินบอกว่าทั้งสองไม่เคยคุยกันมากกว่าก้านธูปเดียว
“ข้าย่อมไม่ให้เจ้าแต่งกับเขา!” ในสายตาของถังหยิน หลีตานไม่คู่ควร และไม่มีใครในโลกนี้ที่คู่ควรกับนาง แน่นอนว่านอกจากตัวเขาเองแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยินโหรวพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ นางยิ้มและถามว่า “เช่นนั้นเจ้าจะหยุดแผนพิธีอภิเษกสมรสอย่างไร?”
ถังหยินกล่าวว่า “ตอนนี้ข้างยังคิดไม่ออก แต่ถึงแม้ว่าจะต้องใช้กำลังเข้าแลกข้าก็จะทำ”
“จริงรึ?” หยินโหรวถามอย่างไม่แน่ใจ
“มองตาข้าสิ” ถังหยินกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทำไม?” หยินโหรวจ้องมองเข้าไปในดวงตาอันดุดันราวกับพยัคฆ์ของถังหยิน แต่กลับไม่เห็นสิ่งใดเลย
“เมื่อข้าพูดความจริง ดวงตาข้าจะเป็นประกาย” เมื่อหยินโหรวและเสี่ยวมินคิดว่าเขาคงแค่ล้อเล่น แสงสีเขียวแปลก ๆ ก็กะพริบไปทั่วทั้งดวงตาของถังหยิน แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งคู่สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน
ดวงตาของมนุษย์จะกะพริบเป็นแสงสีเขียวได้อย่างไร? หญิงสาวทั้งคู่ต่างมึนงงไปในบัดดล และยังอยู่ในอาการช็อกเป็นเวลานาน ถังหยินหัวเราะออกมาและพูดกับหยินโหรว “ข้าไม่ได้โกหก!”
องค์หญิงมองไปยังถังหยินและพยักหน้าอย่างเหม่อลอย
“อย่างที่ข้าให้คำมั่น จะไม่มีผู้ใดพรากเจ้าไปจากข้า ต่อให้ต้องเป็นศัตรูกับโลกใบนี้ ข้าก็หาได้สนไม่!” ถังหยินหยุดล้อเล่นและกลับมาพูดจริงจัง คำพูดเหล่านี้เป็นสัญญาที่เขาทำกับหยินโหรวจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ถังหยิน?” หัวใจของนางพลันเต้นระรัว หยินโหรงเรียกชื่อของเขาอย่างแผ่วเบา ก่อนที่ร่างกายจะค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น
แต่ทว่าในเวลานี้ มือไม้และดวงตาของเสี่ยวมินนั้นรวดเร็วอย่างมาก นางขวางหยินโหรวกับถังหยินแทบจะทันทีก่อนจะมองออกไปข้างนอก ประตูตำหนักในยามนี้ไม่ได้ปิดสนิท ยังคงมีสาวใช้หลายคนรออยู่ข้างนอก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน แต่สายตายังคงสามารถมองเห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจน
หยินโหรวฟื้นคืนสติพลันตระหนักว่า นางเกือบสูญเสียท่าทีสงบต่อหน้าผู้อื่น นางกัดริมฝีปากก่อนจะก้มศีรษะลงแล้วกระซิบว่า “ข้า… จะรอเจ้าอยู่ที่นี่”
“ข้าจะกลับมาอย่างแน่นอน!” ถังหยินให้สัญญา
เสี่ยวมินรู้สึกว่าถังหยินอยู่ที่นี่นานมากแล้ว หากเขายังคงอยู่ต่อไป ผู้อื่นจะเริ่มสงสัยเอาได้ นางเอ่ยด้วยความยากลำบากใจ “องค์หญิงเพคะ ถังหยินต้องไปแล้ว เขาไม่อาจอยู่ที่นี่นานกว่านี้ได้”
“จริงด้วย!” หลังจากได้ยินเช่นนั้น การแสดงออกของหยินโหรวก็มืดมนทันที
ถังหยินก็ไม่ต้องการที่จะจากไปเช่นกัน แต่เขาไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับทั้งสองไปมากกว่านี้ จึงจำใจพยักหน้าและกล่าวว่า “ฝ่าบาท แล้วข้าจะกลับมาอีกครั้ง”
“เมื่อใด?”
“ก่อนจะกลับแคว้น ตราบใดที่เสี่ยวมินยอมพาข้ามาหาท่าน” ถังหยินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของหยินโหรวก็สดใสขึ้นมาทันที นางจึงหันไปมององครักษ์ของนาง “ได้หรือไม่?”
“ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ!” เสี่ยวมินรีบพยักหน้าเห็นด้วย เพราะกลัวว่าหนุ่มสาวจะพูดต่อไปอย่างไม่จบไม่สิ้น จากนั้นนางก็กล่าวต่อว่า “องคหญิงเพคะ ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัวสักครู่…”
“ระวังตัวด้วย!” หยินโหรวเตือนเบา ๆ แล้วพูดกับถังหยินว่า “ไว้ใจข้าได้เลย ข้าจะพูดกับท่านพี่ ให้เขายกตำแหน่งราชาแคว้นเฟิงให้กับเจ้า”
ถังหยินยิ้มและพยักหน้า จ้องมองใบหน้าที่สวยงามของนาง ในที่สุดเขาก็จากไปพร้อมกับเสี่ยวมิน
ตอนที่เขากับเสี่ยวมินเข้ามาในวังนั้นเป็นช่วงเช้า ทว่ายามที่พวกเขาออกมากลับย่ำเข้าเที่ยงวันไปแล้ว นี่ไม่ใช่เพราะถังหยินใช้เวลานานไป แต่เป็นเพราะการเดินทางเข้าออกตำหนักนั้นใช้เวลานานเกินไปต่างหาก
หลังจากส่งถังหยินออกจากประตูวัง เสี่ยวมินก็ยืนนิ่งและพูดกับถังหยินว่า “ข้าส่งเจ้าแค่นี้ที่เหลือหาทางกลับเอง ได้หรือไม่?”
ถังหยินเกือบจะหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อได้ยิน เสี่ยวมินเห็นเขาเป็นอะไร? เด็กอายุสามขวบ? นี่อาจเป็นเพราะเขาเห็นความตั้งใจและความสัมพันธ์ของหยินโหรวด้วย อารมณ์ในยามนี้จึงดีมาก เขาหัวเราะและพูดว่า “ถึงข้าจะไม่ได้รู้รอบโลก แต่เรื่องเดินขึ้นลงเขาข้าว่าไม่มีปัญหา…”
เดิมทีเสี่ยวมินอยากจะหัวเราะเยาะถังหยิน แต่ก็รู้ทันทีว่านางไม่สามารถพูดคำเหล่านั้นต่อหน้าทุกคนได้ นางพยักหน้าและโบกมือ “ถึงเจ้าจะหลง ข้าก็ส่งเจ้าได้แค่นี้แหละ ลาก่อน”
“ลาก่อน!” ถังหยินจับมือเสี่ยวมินแล้วกระโดดขึ้นหลังม้า มุ่งตรงไปยังโรงเตี้ยมที่เขาพักอยู่
หลังออกมาจากพระราชวังได้ไม่ไกลนัก สายตาของถังหยินพลันเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ริมถนนตรงหน้า และยังมีชายมากกว่ายี่สิบคนแต่งกายแปลกกว่าคนทั่วไป ยืนอยู่ด้านหน้าและด้านหลังรถม้า ถังหยินไม่รู้วิธีใช้ตาทิพย์ แต่เขาเกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณ รู้สึกได้ทันทีว่าผู้รับใช้เหล่านี้ล้วนเป็นผู้ใช้พลังปราณระดับสูง
เมืองหลวงไม่ใช่ถิ่นของถังหยิน และเขาไม่ต้องการสร้างปัญหาใด ๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายขวางทาง เขาจึงอ้อมม้าไปอีกทาง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะไม่มารบกวนเขา
ขณะที่ถังหยินกำลังควบม้าผ่านไป ชายคนหนึ่งพลันก้าวออกมาข้างหน้าและยื่นมือขวางม้าไว้ ขณะเดียวกันเขาก็เอ่ยขึ้นว่า “โปรดหยุดสักครู่!”