ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 506
บทที่ 506
บทที่ 506
วันนี้มีคนมามากกว่าตอนที่ซ่งเทียนถูกประหารชีวิตเสียอีก แม้แต่เหลียงซิงก็ไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในความมืดและเปิดเผยตัวเองต่อสาธารณะ เขานั่งอยู่ตรงกลางเวที ด้านหลังของเวทีเต็มไปด้วยขุนนางฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น รวมถึงองครักษ์ส่วนตัวของเหลียงซิงด้วย ขณะที่ด้านล่างเวทีคือเหล่าทหารของกองทัพเฟิง
อันที่จริง ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าข่าวลือนั้นเป็นความจริง อู่หยูและจี้หยาง ฮ่าวชุนถูกล้อมกรอบอย่างแท้จริง แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อยู่ดี พวกเขาทำได้เพียงสวดภาวนาโดยหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
ชิวเจิ้น ฉางกวง หยวนยู่ อู่เหมยและคนอื่น ๆ ลอบเข้ามาในกลุ่มของสามัญชน สายตามองเหลียงซิงที่นั่งอยู่บนแท่นสูงจากระยะไกล อู่เหมยแสดงความเกลียดชังออกมาอย่างชัดเจน นางหันไปกระซิบกับฉางกวง หยวนยู่ “แม่ทัพหยวน ท่านมั่นใจว่าจะฆ่าโจรเฒ่าเหลียงซิงได้ ใช่หรือไม่?”
ฉางกวง หยวนยู่ไม่ตอบ แต่กลับมีประกายแสงแปลก ๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาแทน เขาใช้ตาทิพย์เพื่อตรวจสอบว่ามีใครคอยคุ้มกันเหลียงซิงไหม หลังจากมองผ่านพวกเขาแล้วเขาก็หันไปหาอู่เหมยและพูดแผ่วเบาว่า “สองคนที่อยู่ด้านหลังเหลียงซิงมีกระบี่ห้อยไว้ ระดับพลังดูไม่ธรรมดาเอาเสียเลย”
มีไม่กี่คนที่ฉางกวง หยวนยู่จะเรียกว่าไม่ธรรมดา อู่เหมยตกใจมาก แต่หลังจากมองไป นางกลับรู้สึกว่าทั้งสองคนไม่ต่างจากคนธรรมดา ก่อนที่นางจะพูดอะไรอู่กวงก็ชิงกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าจะเป็นพวกของสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วย”
เหลียงซิงจ้างวานพวกนั้นอย่างนั้นหรือ? เหตุใดไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน อู่เหมยแสดงอาการงงงวย นางมองไปที่ฉางกวง หยวนยู่และอู่กวง ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้าตั้งใจงั้นหรือ! นี่เป็นข้ออ้างที่ไม่ต้องการช่วยพ่อของข้าใช่หรือไม่!”
ฉางกวง หยวนยู่ไม่ยอมพูดอะไร หากเขาไม่ต้องการเคลื่อนไหวก็ไม่มีใครบังคับให้เขาทำเช่นนั้นได้ และแน่นอนว่าข้ออ้างที่น่ารังเกียจเช่นนี้ก็ไม่ใช้เหมือนกัน ทว่าเขาขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบาย ไม่แม้กระทั่งมองไปที่อู่เหมย ส่วนอู่กวงนั้นอ่อนโยนกว่าของหยวนยู่มาก เขารีบพูดว่า “เข้าใจผิดแล้วขอรับ เราจะคิดหาทางช่วยเหลือท่านอู่อย่างแน่นอน”
“เจ้าต้องช่วยข้านะ!” อู่เหมยเห็นว่าฉางกวง หยวนยู่ยังมีท่าทีหยิ่งยโส ดังนั้นนางจึงตั้งความหวังกับอู่กวงอย่างมาก อู่กวงเป็นคนซื่อสัตย์และเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ
ดวงตาของอู่เหมยเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ขณะที่มองอู่กวงอย่างไม่กะพริบตา แม้ว่านางจะจ้องมองมาที่เขาตามปกติ แต่ความรู้สึกที่นางมอบให้กับคนอื่นก็คือแววตาทรงเสน่ห์ซึ่งทำให้หัวใจเต้นแรง อู่กวงผู้สงบนิ่งอดไม่ได้ที่จะอึ้ง และไม่สามารถพูดอะไรได้เป็นเวลานาน
ชิวเจิ้นถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ เขากระแอมไอเสียงดังทำให้อู่กวงกวงสั่นสะท้าน ในที่สุดเขาก็ได้สติ ใบหน้าของชายหนุ่มแดงระเรื่อและรีบพูดว่า “ข้าผู้นี้จะทำให้ดีที่สุด” ขณะที่เขาพูดเขาถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
อู่เหมยเป็นคู่หมั้นของถังหยิน ในฐานะนายพลกองหากเขามีเจตนาร้ายต่อคู่หมั้นของนายท่านจะเกิดอะไรขึ้น? อู่กวงเตือนตัวเองอย่างลับ ๆ ว่าในอนาคตเขาต้องอยู่ห่างจากอู่เหมยแล้ว
จากนั้นซงหยวนก็ดึงชิวเจิ้นไปด้านข้างและกระซิบ “ท่านชิว พวกเราจะออกไปช่วยพวกอู่หยูจริง ๆ หรือ?” ชิวเจิ้นไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่หากเขาไม่ช่วย อู่เหมยอาจจะเกลียดเขาไปตลอดชีวิต นางเป็นว่าที่ราชินีในอนาคตของถังหยิน ถ้าจะช่วยพวกเขาต้องทำด้วยเหตุผลอะไร? ไม่ว่ายังไงเหลียงซิงก็ได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นราชาแล้ว เมื่อฝ่ายของเขาใช้กำลัง พวกเขาย่อมเสียเปรียบกว่า
“รอก่อน ค่อยเป็นค่อยไป!” ชิวเจิ้นพึมพำกับตัวเอง ” ถ้ามันไม่ดีจริง เราจะลงมือกับเหลียงซิงอย่างแน่นอน”
ซงหยวนพยักหน้ารับ “ไม่ว่ายังไงก็ตามท่านชิวต้องจำสิ่งหนึ่งไว้ เหลียงซิงจะตายไม่ได้ เพราะเราคงจะอธิบายกับนายท่านไม่ได้” ชิวเจิ้นตกใจในตอนแรก แต่หลังจากคิดถึงเรื่องนี้เขาก็เข้าใจความหมายของคำพูดของซงหยวนทันที ไม่ว่าความผิดที่เหลียงซิงกระทำจะยิ่งใหญ่เพียงใดเขาก็ยังคงเป็นพ่อของเหลียงฉี เขาก็เป็นหนึ่งในแม่ทัพคนโปรดของถังหยิน ถ้าหากฆ่าเหลียงซิงไป เหลียงฉีจะไม่สามารถอยู่ในกองทัพเทียนหยวนต่อไปได้และนี่จะเป็นการทำลายแขนข้างหนึ่งของถังหยินอย่างไม่ต้องสงสัย
น่ารำคาญยิ่ง! ชิวเจิ้นตอนนี้รู้สึกเสียใจ เขารู้สึกว่าเขาไม่ควรเอาอกเอาใจเหลียงซิงมากเกินไป ไม่อย่างนั้นเรื่องวันนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
ในขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่ในใจ จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงวุ่นวายจากด้านนอกลาน ชิวเจิ้นชะโงกหน้าและมองเห็นทหารกองทัพเฟิงนับพันเดินเข้ามาโดยมีเชลยสองคนอยู่ตรงกลาง นั่นคืออู่หยูและจี้หยาง ฮ่าวชุน ที่นั่งอยู่ข้างใน
หนึ่งในนั้นคือท่านเสนาบดีฝ่ายขวาที่ยิ่งใหญ่ ส่วนอีกคนเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ดูแลกองกำลังทหารของทั้งแคว้น โดยปกติ ตำแหน่งของพวกเขาอยู่สูงเทียมฟ้าล้อมรอบด้านหน้าและด้านหลังโดยศัตรูนับหมื่น แต่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นนักโทษภายใต้ร่มธงของคนอื่น ผมของพวกเขายุ่งเหยิงและใบหน้าของพวกเขาถูกปกปิดในชุดนักโทษสีขาว
เมื่อเห็นว่าอู่หยูถูกทรมานอย่างสาหัสในคุก อู่เหมยก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของนางได้อีกต่อไปและเริ่มร้องไห้เสียงดัง นางตะโกนเรียกฉางกวง หยวนยู่ อู่กวง จ้านหูและคนอื่น ๆ ทางซ้ายขวา “รีบไปช่วยพ่อของข้า ไปช่วยพ่อของข้าได้ไหม?”
เสียงครวญครางของนางดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยรอบในทันที พวกเขาทั้งหมดมองอย่างอยากรู้อยากเห็น แต่โชคดีที่อู่เหมยและคนอื่น ๆ ถูกล้อมรอบไปด้วยทหารยามของเทียนหยวน ซึ่งแต่งกายด้วยชุดลำลองพรางตัวเอาไว้
เมื่อเห็นว่าอู่เหมยสูญเสียการควบคุม อัยเจียและอัยฉิงก็เดินเข้าไปกอดอู่เหมยที่ร้องไห้ ในเวลาเดียวกันก็พูดด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “อู่เหมยนี่ไม่ใช่เวลาที่จะเศร้า ถ้าเราเผลอดึงดูดความสนใจของเหลียงซิง เราจะช่วยท่านเสนาบดีอู่ในภายหลังได้ยาก”
หลังจากได้ยินเช่นนั้นอู่เหมยก็หยุดร้องไห้และมองไปที่อู่หยูที่อยู่ในรถม้า หัวใจของนางรู้สึกราวกับว่าถูกบีบจนแน่น
กองทัพเฟิงพารถขนนักโทษฝ่าฝูงชนไปจนถึงหน้าแท่นประหารชีวิต จากนั้นก็มีคนเปิดประตูและลากอู่หยูกับจี้หยาง ฮ่าวชุนออกมา
จากนั้นขุนนางที่แต่งกายด้วยชุดคลุมทางการอย่างเป็นทางการ เดินไปข้างหน้าหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาและอ่านออกเสียงร่ายยาวการก่ออาชญากรรมของอู่หยูและจี้หยางฮ่าวชุน “ผู้กระทำผิด อู่หยูและจี้หยาง ฮ่าวชุนสมรู้ร่วมคิดกับซ่งเทียนในการชิงบัลลังก์ ทรยศแคว้น…”
ถ้าฟังเผิน ๆ การที่สองคนนี้ต้องโดนประหารยังถือว่าโทษเบาไปด้วยซ้ำ แต่คนทั่วไปไม่ได้เชื่อในคำพูดดังกล่าว ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงโห่มาจากด้านล่างลาน
ขุนนางผู้นั้นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและอ่านกระดาษต่อไป ทว่าในขณะนั้น เขาได้ยินเสียงใครบางคนจากฝูงชนตะโกนว่า “มันเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด! พ่อของข้าไม่เคยสมรู้ร่วมคิดกับซ่งเทียนและยิ่งไปกว่านั้น เขาภักดีต่อเฟิง เหลียงซิงต่างหากที่เป็นคนทรยศ!”
ในขณะที่คำพูดออกจากปากของนาง ฝูงชนทั้งหมดก็ลุกฮือ ทุกคนหันหน้าไปมองและเห็นว่าคนที่ตะโกนคืออิสตรีที่สวยราวกับเทพธิดา เมื่อเห็นนางเหลียงซิงซึ่งนั่งอยู่บนแท่นสูงก็ตัวสั่น!
ใช่แล้ว ผู้ที่ตะโกนคืออู่เหมย เมื่อนางเห็นว่าพ่อของนางถูกพาไปที่ลานประหารแล้ว แต่ชิวเจิ้นและคนอื่น ๆ ยังไม่ขยับ มันดูเหมือนพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะช่วยจริง ๆ นางก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาโดยไม่สนใจและในขณะเดียวกันก็แยกตัวออกจากฝูงชน นางวิ่งตรงไปยังแท่นประหารชีวิตทันที
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของอู่เหมยทำให้ทุกคนตกใจ อู่เหม่ยยังไม่ได้เอ่ยพูด ประชาชนด้านหน้าก็เปิดทางให้ทันที อู่เหมยวิ่งเข้าไปได้โดยไม่มีใครขัดขวาง นางเงยหน้าขึ้นและมองบิดาที่ถูกกดลงกับพื้น จากนั้นก็จ้องไปที่เหลียงซิงด้วยความโกรธ มือชี้หน้าเขาและกรีดร้อง “แกต่างหากล่ะที่สมรู้ร่วมติดกับซ่งเทียน!”
เมื่อเห็นว่าอู่เหมยออกมาด้วยตัวเอง เหลียงซิงที่ตื่นตกใจก็สงบลงอย่างรวดเร็วและเริ่มหัวเราะในใจ หากเขาต้องการจับตัวอู่เหมยย่อมสำเร็จได้อย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อนึกถึงเรื่องนั้น ริมฝีปากของเหลียงซิงก็โค้งขึ้น แต่เขาก็ระงับรอยยิ้มที่กำลังจะปรากฏในทันที เขาปั้นหน้านิ่งและตะโกนว่า “เป็นแค่บุตรสาวของคนทรยศ แต่กล้าพูดเรื่องไร้สาระต่อหน้าข้าซะ จับตัวนางเอาไว้!”
ตามคำสั่งของเหลียงซิง ทหารเฟิงที่อยู่ด้านล่างเวทีปรี่เข้าไปด้านหน้าและล้อมอู่เหมยเอาไว้ อู่เหมยไม่ใช่ผู้หญิงที่ไร้พลัง เมื่อเห็นทหารล้อมรอบ นางก็ใช้ดาบพลังปราณของตัวเองทันที
พอเห็นว่าการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายกำลังจะเริ่มขึ้น ประชาชนโดยรอบต่างพากันถอยหนีด้วยความตกใจ ชิวเจิ้นที่อยู่ตรงกลางขมวดคิ้ว เขามองไปที่ฉางกวง หยวนยู่และขอให้อีกฝ่ายส่งสัญญาณให้ที่เหลือเตรียมพร้อมดำเนินการ ไม่ว่าพวกเขาจะช่วยอู่หยูได้หรือไม่ก็ตาม แต่อู่เหมยไม่อาจตายได้
อู่เหมยใช้ดาบพลังปราณของนางชี้ไปที่กองทัพเฟิงโดยรอบและตะโกนเสียงดังว่า “ใครก็ตามที่ไม่กลัวตายก็เข้ามา!”
แม้ว่าทหารเฟิงจะล้อมนางไว้ แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าที่จะต่อสู้กับอู่เหมย เมื่อเห็นทหารที่อยู่รอบ ๆ ต่างหวาดกลัว เหลียงซิงโกรธจนร่างสั่นสะท้าน เขาหันหน้าไปทางทหารทั้งซ้ายและขวา ก่อนจะพูดว่า “ฆ่านางเสีย!”
“ขอรับ องค์ราชา!” พวกเขาทั้งหมดกระชับอาวุธแล้วเดินเข้าหาอู่เหมย สายตาของพวกเขามองไปยังอู่เหมย สักพักหนึ่งในนั้นก็พูดว่า “ท่านอู่เหมย ยอมจำนนแต่โดยดี มิฉะนั้นอย่าหาว่าพวกข้าโหดร้าย!”
คุณคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้