ราชันเทพเก้าสุริยัน Nine Sun God King - ตอนที่ 760 ตำหนักเจ็ดเซียนดาบ
ตอนที่ 760 ตำหนักเจ็ดเซียนดาบ
ฉินหยุนไม่ทราบสถานการณ์แน่ชัดของงานชุมนุมยุทธ์ดาบ เขาเพียง
รู้สึก ว่ามันไม่มีอะไรให้เขาต้องใส่ใจมากมาย อย่างไรแล้ว มันก็
เปรียบดังงานรวมตัวแสดงแสนยานุภาพของกองกำลังชั้นนำ เขาที่
เป็นอาจารย์ยุทธ์ตัวจ้อย จึงไม่คิดอยากหน้ามืดตามัวเข้าร่วมหาความ
สนุก
ด้วยความคิดเช่นนี้ ถือว่าฉินหยุนประเมินตนเองต่ำเกินไป เพราะเจี้ยน
สือเทียนและคณะต่างคาดหวังว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้น ในงานประลอง
ยุทธ์ครั้งก่อนหน้า ฉินหยุนเพียงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับต้น
กระนั้น เขากลับพลิกสถานการณ์ช่วยเหลือทั้งตำหนักเซียนดาบจาก
ความสูญเสียครั้งใหญ่มาได้
แม้ว่าฉินหยุนเดินทางไปยังเกาะแห่งดาบ กระนั้นเขาก็ไม่คิดแสดง
ตัวตนแต่อย่างใด เพราะตัวเขาได้ล้าหลังผู้อื่นไปมาก ทั้งยังกังวลว่า
จะกลายเป็นที่ขบขัน
“เสี่ยวหยุน งานชุมนุมยุทธ์ดาบย่อมต้องมีการประลองยุทธ์ขันแข่ง
เหตุใดเจ้าไม่ไปรับชมเสียหน่อยเล่า?” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะกล่าวคำ
“ย่อมไม่ ตัวข้าตอนนี้อยู่ห่างไกลจากขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำมากนัก!
งานชุมนุมยุทธ์ดาบเป็นการรวมตัวของอัจฉริยะจากหลายแคว้น ทั้ง
ส่วนใหญ่ยังอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ ตัวข้าเสนอหน้าออกไปก็มีแต่
จะถูกหยามเหยียด” ฉินหยุนกล่าว
“เจ้าครอบครองร่างเซียนอสูร นั่นมากพอให้มีหน้ามีตาแล้ว!” หลิง
หยุนเอ๋อตอบคำกลับมา
“หากเป็นยอดยุทธ์ชั้นสวะทั่วไป นั่นคงไม่มีปัญหา กระนั้นที่มา
รวมตัวกันมีแต่อัจฉริยะ! พวกเขาทุกคนมีอำนาจใหญ่หนุนหลังกัน
ทั้งสิ้น” ฉินหยุนถอนหายใจ “หากข้าสามารถใช้งานอาวุธ เช่นนั้นจึง
ค่อยไม่หวาดเกรงใด!”
หากฉินหยุนใช้งานอาวุธ ชัยชนะย่อมตกแก่เขาอย่างนอนมา
หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะกลับมา “ก็แค่การท้าทายที่ดูยากขึ้นมาบ้าง!”
ฉินหยุนคิดไปครู่จึงค่อยตอบ “ก็ได้ หากถึงเวลาข้าจะลองดู! ดูเหมือน
พี่หยางเองก็มาเข้าร่วมงานนี้เช่นกัน!”
ฉินหยุนเดินทางลำพัง จึงต้องเดินทางแต่ตอนกลางคืน และไม่นาน
นัก เขาจึงมาถึงเกาะแห่งดาบ ระหว่างทาง เขายังได้พบเจอหลายผู้คน
ที่มุ่งหน้ามาสถานที่เดียวกัน
ฉินหยุนเงยหน้ามองขึ้นท้องฟ้าจากเบื้องล่าง ภายในต้องลอบตระหนก
ตื่นเต้น ด้านบนคือเกาะใหญ่ยักษ์ลอยฟ้าสองแห่ง หนึ่งคือเกาะแห่ง
ดาบดั้งเดิม เวลานี้กลับกลายเป็นเล็กลงมา และเกาะแห่งดาบที่สอง
ซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปหนึ่งหมื่นเมตร เวลานี้มันคือเกาะที่ใหญ่ยิ่งกว่าเกาะ
เดิม ทั้งเกาะราวกับถูกสร้างขึ้นจากเหล็กสีดำที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
“กำลังโดยรวมของตระกูลเจี้ยนนี้น่าสะพรึงกลัวนัก! อาจารย์จารึก
เต๋าน้อยคนที่จะสามารถสร้างเกาะลอยฟ้าชวนสะพรึงระดับนี้ได้!”
ฉินหยุนบินขึ้นไปด้วยอาการตระหนกตกใจ
เกาะแห่งดาบเดิมอยู่เบื้องล่าง ทว่าไม่ได้ถูกทิ้งร้าง ยังคงเป็นเมืองที่มี
การใช้งาน สำหรับเกาะแห่งดาบด้านบน มันใช้เพื่อสำหรับทั้งตระกูล
เจี้ยน และเวลานี้เปิ ดประตูอ้ารับต่อบุคคลภายนอกเนื่องจากงานชุมนุม
ยุทธ์ดาบ ฉินหยุนที่ขึ้นมาแล้ว เขาได้ยืนตรงหน้าประตูใหญ่ สัมผัส
ได้ถึงม่านพลังอันแข็งแกร่งเลิศล้ำของเกาะแห่งดาบนี้
“เหมือนว่าเราจะใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวงเข้าไปได้!” ฉิน
หยุนคิดกับตนเอง
เพื่อเข้าสู่เกาะแห่งดาบ หนึ่งคือจำเป็นต้องอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ
และจ่ายเงินมากถึงห้าแสนเหรียญม่วง! ฉินหยุนต่อแถวรอเข้าประตู
หลังได้ยืนยันระดับการฝึกฝนและจ่ายเหรียญม่วงเรียบร้อย เขาจึงเข้า
มาได้อย่างราบลื่น
“เย่ว์เหม่ย เย่ว์เหม่ย เร่งรีบออกมาพบพี่ชายผู้นี้ ข้าอยู่ที่ประตูหน้า!”
ฉินหยุนนำเปลือกหอยสื่อสารออกมาส่งถ้อยคำออกไป
เปลือกหอยสื่อสารนี้เซี่ยวเสวียนฉินมอบไว้ให้แก่เขา ในตอนนั้น
เขาไม่ได้คิดเข้าไปยังเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ ดังนั้นเซี่ยวเสวียน
ฉินจึงมอบไว้ให้ เพื่อที่เขาจะได้กลับไปรวมตัวกับเย่ว์เหม่ยและผู้อื่น
ที่เมือง
เพียงไม่นาน น้ำเสียงตื่นเต้นยินดีของเซี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงส่งมาผ่าน
เปลือกหอยสื่อสาร
“พี่ชาย รอที่นั่นอย่าได้ไปไหน ข้ากำลังไปแล้ว!”
ฉินหยุนที่เข้าประตูมาแล้ว จึงเดินเล่นรับชมวนรอบ พลางมองที่
ศูนย์กลางของเกาะ ที่ตรงกลางของเกาะแห่งดาบใหม่นี้ มันมีวงล้อม
ที่ตรงกลาง มองเพียงครั้งเดียวย่อมทราบ ว่านั่นคือแกนกลางของ
ตำหนักเซียนดาบ หลายผู้คนต่างเดินเข้าไปและได้พบเห็นเจ็ดดาบ
จากระยะไกล พวกเขาล้วนต้องอึ้งทึ่ง
“ในแดนวิญญาณอ้างว้างมีเจ็ดตระกูลเจี้ยน แต่ละตระกูลต่างครอบ
ครองดาบเซียนทรงอำนาจ เวลานี้ พวกเขาได้จำลองขยายขนาดดาบ
เซียนเพื่อใช้งานตั้งเป็นค่ายอาคม ช่างยอดเยี่ยมนัก!”
“หากเทียบตระกูลเจี้ยนและตระกูลหลง สงสัยนักว่าผู้ใดจึงแข็งแกร่ง
ที่สุด!”
“ได้ยินมาว่าตระกูลหลงมีสิบมังกร และพวกมันล้วนเป็นตัวตนอัน
เหนือล้ำ!”
“คิดว่าอย่างไรตระกูลเจี้ยนก็แข็งแกร่งกว่า เพราะพวกเขาล้วนเป็นผู้
ฝึกตนดาบ! หลังได้ฝึกฝนดาบต้นกำเนิด พวกเขาสามารถสังหาร
ผู้อื่นที่มีระดับเหนือกว่าได้ง่ายดายนัก!”
“นั่นมันก็แล้วแต่สถานการณ์ ส่วนใหญ่จะเป็นในสถานการณ์ที่ผู้อื่น
ไม่อาจใช้งานอาวุธ ทว่าหากอีกฝ่ายใช้งานอาวุธ ความได้เปรียบของ
ผู้ฝึกตนดาบก็หาได้มากล้ำเพียงนั้น!”
กลุ่มคนพูดคุยกัน ว่าหากตระกูลหลงและตระกูลเจี้ยนเปิ ดศึกต่อกัน
ผู้ใดกันที่จะมีชัยเหนือกว่า
ไม่นานนัก ฉินหยุนจึงได้เห็นหญิงสาวสวมใส่ชุดสีน้ำเงินไว้ผมหาง
ม้าคู่ ครึ่งใบหน้าของนางถูกปิดบังเอาไว้ ทั้งยังกระโดดและโบกมือ
ให้แก่เขา เป็นเซี่ยวเย่ว์เหม่ย
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยพอมาถึง นางหุบยิ้มพร้อมดึงมือฉินหยุนเข้าหาตัว เวลา
นี้นางหัวเราะดังพร้อมกล่าว “พี่ชาย ข้าทราบอยู่แล้วว่าท่านต้อง
กลับมา! ฮ่าฮ่าฮ่า ราชันอย่างไรก็ต้องหวนคืน!”
ภายใต้ผ้าคลุมหน้า ฉินหยุนลูบที่ใบหน้างดงามของเซี่ยวเย่ว์เหม่ย
พร้อมกล่าว “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องหารือกับเจ้า!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยดึงฉินหยุนเดินไปบนถนนเส้นใหญ่ นางกล่าวคำเบา
“พี่ชาย ตั้งแต่ท่านไม่อยู่ เจี้ยนหนันหู่ผู้นั้นมีแต่อหังการอวดดียิ่งขึ้น
เห็นได้ชัดว่าเสือออกจากป่ า ลิงไพร่ต่างขึ้นเป็นราชัน! ท่านต้องไป
สั่งสอนบทเรียนแก่เจ้านั่น!”
“เย่ว์เหม่ย ข้าเพียงเพิ่งถึงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูงสุด!” ฉิน
หยุนถอนหายใจ
“ย่อมไม่เป็นไร ต่อให้ลิงไพร่เช่นเจี้ยนหนันหู่เป็นราชันยุทธ์ พี่ชายก็
สามารถเอาชนะมันได้!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยแค่นเสียงขึ้นจมูก
ฉินหยุนตามเซี่ยวเย่ว์เหม่ยเดินไปยังหอคอยสูง มองเพียงครั้งเดียว
ย่อมทราบ ว่านั่นคือตำหนักจารึกเทวะ เซี่ยวเย่ว์เหม่ยได้รับเหรียญ
ตราอาจารย์จารึกลึกล้ำ ดังนั้นที่ใดนางไป ย่อมสามารถเข้าใช้งาน
ตำหนักจารึกเทวะโดยไม่มีค่าใช้จ่าย กล่าวได้ว่ามันเป็นเหรียญตราที่
มีค่าแก่นางอย่างมากล้ำ มันทำให้นางสามารถใช้งานห้องชุดสุดหรู
ในตำหนักจารึกเทวะของทุกเมืองได้
“เย่ว์เหม่ย เจี้ยนหนันหู่รังแกเจ้าหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ลิงโง่เช่นนั้นหรือรังแกข้าได้? มันไม่อาจ!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว
พร้อมสีหน้าเดียดฉันท์
“อย่างนั้นแล้วเหตุใดเจ้าไม่เข้าร่วมงานแข่งขันและจัดการเขาเสียเล่า?”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว
หากเจี้ยนหนันหู่ได้ทราบ ว่าเซี่ยวเย่ว์เหม่ยเรียกหาตนเองเป็นลิง เมื่อ
นั้นเขาคงโกรธจนถึงขั้นคิดโจมตีอย่างไม่สนอื่นใด
“ข้าครอบครองความลับไว้มากมายนัก ดังนั้นจึงไม่อยากเปิดเผยออก
ไป และข้าเองก็ไม่ใช่ถนัดเรื่องต่อสู้ด้วย!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยยิ้มตอบกลับ
มา “พี่ชาย ท่านไปลงทะเบียน จัดการเจี้ยนหนันหู่ผู้นั้น พร้อมบอก
แก่มันว่าท่านคือฉินหยุน!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยได้เห็นฉินหยุนเผยท่าทีเฉยชา นางจึงหัวเราะกล่าว
เกลี้ยกล่อม “พี่ชาย ท่านปลอมตัวเป็นคนอื่นยังได้! อย่างเช่นให้ข้าใช้
ความสามารถเทวะ แปรเปลี่ยนท่านเป็นหญิงสาว จากนั้นค่อยใช้ร่าง
หญิงสาวนั้นเอาชนะเจี้ยนหนันหู่ให้มันถูกหยามเหยียดอย่างแรง!”
“เจ้านี่นะ อย่าได้คิดเอาแต่แปรเปลี่ยนข้าเป็นหญิงแล้ว!” ฉินหยุน
หยิกที่แก้มเซี่ยวเย่ว์เหม่ยพลางยิ้มต่อว่า
“พี่ชาย เหตุใดท่านไม่มองว่ามันน่าสนุก? ถึงตอนนั้น แม้กระทั่งพี่
หยางก็ไม่มีทางทราบว่าเป็นท่าน! อย่าได้กังวลไป ข้าจะแปรเปลี่ยน
ท่านให้เป็นท่านป้าผู้ชราภาพ เช่นนี้ท่านจะได้ไม่ถูกชายอื่นจ้องมอง
ด้วยความกลัดมัน!” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะสุขสำราญใจ
ฉินหยุนแทบไม่ทราบว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ต่อสถานการณ์นี้ดี
ที่ทำได้ ก็มีแต่ดึงแก้มนางเพื่อเป็นการสอนสั่ง
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำแล้ว ด้วยพรสวรรค์ของ
นาง มันคงเป็นเรื่องแปลกหากผ่านไปหลายปีแล้วยังไม่อาจเลื่อน
ระดับพลัง
ตำหนักจารึกเทวะแห่งนี้ค่อนข้างอึกทึก ฉินหยุนติดตามเซี่ยวเย่ว์
เหม่ยไปพบคนรู้จัก อีกฝ่ายเป็นชายร่างอ้วน มู่เฟิงพบเห็นเซี่ยวเย่ว์
เหม่ยเช่นกัน แม้ร่างอีกฝ่ายอ้วน กระนั้นก็ไม่ใช่ชายผู้ปล่อยตัว ยาม
ได้เห็นเซี่ยวเย่ว์เหม่ยนำชายผู้หนึ่งมา เขาย่อมเกิดความสงสัย ดังนั้น
จึงเร่งรีบตามนางไป มู่เฟิงทราบ ว่าเซี่ยวเย่ว์เหม่ยครอบครองเหรียญ
ตราอาจารย์จารึกลึกล้ำ ก่อนหน้า เขากระทั่งร่วมมือกับเซี่ยวเย่ว์เหม่ย
เล่นละครปาหี่หลอกลวงผู้คนไปฉากหนึ่ง
“เหล่ามู่ ท่านกำลังลักลอบหาอะไร!” ฉินหยุนทราบว่ามู่เฟิงลอบ
ตามมา
“เจ้าหนู ถึงกับเป็นเจ้า!” มู่เฟิงยินดีเป็นล้นพ้น
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยมาถึงห้องชุดของนาง ประตูเปิดออก นำฉินหยุนและมู่
เฟิงเข้าสู่ภายใน จากนั้นนางจึงหันมองภายนอก เพื่อเป็นการยืนยันว่า
ไม่มีผู้ใดติดตามมาอีก จากนั้นประตูจึงค่อยปิดลง
“เหล่ามู่ ท่านมีธุระอะไรกับข้า?” เซี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวถาม
“ฉินหยุนเป็นสหายข้า เขาได้เผชิญอันตรายและหลบหนีมีชีวิตรอด
มาได้ ดังนั้นข้าย่อมต้องการพบปะ!” มู่เฟิงกล่าว “ข้านึกว่าเขาตายไป
แล้ว กระทั่งต้องเสียน้ำตาให้!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยเบะปากกล่าวคำ “ผู้ใดกันเชื่อคำโป้ปดของท่าน!”
มู่เฟิงมองที่ฉินหยุนพร้อมกล่าวคำ “ฉินหยุน เจ้าคงได้เก็บเกี่ยวจาก
เขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬครั้งใหญ่เลยกระมัง! กระทั่งเทือกเขา
นิราศจันทรายังเป็นแดนสมบัติ ข้าแทบไม่กล้าคิดว่าเขตแดนอ้างว้าง
จันทราทมิฬจะเป็นเช่นไร!”
ฉินหยุนยิ้มขื่นตอบกลับไป “เหล่ามู่ หากข้าเก็บเกี่ยวได้ครั้งยิ่งใหญ่
เช่นนั้นข้าคงก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำไปแล้ว!”
มู่เฟิงจึงกล่าวตอบด้วยใบหน้านึกเดียดฉันท์ต่อคำกล่าวอีกฝ่าย “ฉิน
หยุน แม้เจ้ายังไม่ถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ แต่เพียงเจ้าปรากฏตัว ก็ทำ
เอาผู้คนขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำกลัวจนตัวสั่นได้แล้ว อย่าได้ถ่อมตน
ไป ผู้ใดบ้างไม่ทราบกำลังเจ้า?”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยพยักหน้ารับ “พี่ชาย ท่านต้องเข้าร่วมงานชุมนุมยุทธ์
ดาบ และสั่งสอนบทเรียนแก่ลูกลิงเจี้ยนหนันหู่นั่น!”
ฉินหยุนยิ้มส่ายศีรษะ “เย่ว์เหม่ย กล่าวตามตรง เจ้ามีข้อเบาะแว้งใด
กับเจี้ยนหนันหู่? ข้าจะช่วยเจ้าไกล่เกลี่ย ไม่ใช่การต่อสู้!”
มู่เฟิงหัวเราะดัง “ล่าสุด เด็กน้อยผู้นี้แสร้งทำตัวเป็นคนตระกูลเจี้ยน
คดโกงผู้คนไปมาก และถูกเจี้ยนหนันหู่จับได้! โชคดีที่ข้าอยู่ตรงนั้น
และร่วมมือกับนางได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้น นางคงถูกเปิดโปงไปแล้ว!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยจ้องมองมู่เฟิงค้อนกลับ
มู่เฟิงกล่าว “ฉินหยุน งานชุมนุมยุทธ์ดาบไม่ใช่เพียงแต่งานประลอง
ยุทธ์ธรรมดา แต่ยังมีการแข่งขันจารึก! การแข่งขันประลองยุทธ์แบ่ง
ออกเป็นหลายระดับ มีทั้งยอดยุทธ์ ราชันยุทธ์ และจักรพรรดิยุทธ์!
แน่นอนว่าเจ้าสามารถเข้าร่วมในการแข่งขันระดับยอดยุทธ์ได้!”
“การแข่งขันแรกที่เริ่มคือการแข่งขันจารึก ครั้งนี้ตระกูลเจี้ยนได้นำ
ของดีออกมาเผยในช่วงโค้งสุดท้ายพอดี!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงถามขึ้น “มันคืออะไร? ตอนนี้ ผู้คนภายนอกต่างคาด
เดากันจนหาความจริงไม่เจอ!”
มู่เฟิงตอบกลับมา “ข้าย่อมมีแหล่งข่าวเชื่อถือได้ กล่าวกันว่าเป็น
อักขระตะวันชั้นเลิศ!”
อักขระตะวันชั้นเลิศ!
หางตาฉินหยุนกระตุกแรง อักขระนี้เป็นสิ่งที่เขาคิดอยากได้รับมา
โดยตลอด แม้โมโมสามารถมองเห็นเส้นมืดและซ่อมแซมอักขระที่
เสียหาย กระนั้นนางกลับไม่อาจคัดลอกอักขระตะวัน บรรทมเซียน
ตะวันจันทราย่อมมีอักขระตะวัน ทว่าโมโมไม่อาจเอื้อมมือได้ถึง
นั่นก็เพราะโมโมยังไม่แข็งแกร่งพอ!
“หากเป็นเพียงอักขระตะวันชั้นเลิศหนึ่งชุด นั่นก็ไร้ค่า!” ฉินหยุน
ส่ายศีรษะ
“ย่อมไม่ใช่หนึ่งชุด กล่าวกันว่ามีถึงหลายชุด!” มู่เฟิงกล่าว “ตัวข้าได้
ลงทะเบียนเข้าร่วมแข่งขันไปแล้วเช่นกัน! แน่นอนว่าความหวังชนะ
ค่อนข้างห่างไกล ตระกูลเจี้ยนและขั้วอำนาจใหญ่ทั้งหลาย ต่างก็ส่ง
อาจารย์จารึกเต๋าเข้าร่วม!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวอย่างไม่ยินดี “แม้มีคนชนะ อักขระตะวันก็ยังอยู่
ในมือตระกูลเจี้ยนอยู่ดี!”
“ข้าจะไปลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันจารึก!” ฉินหยุนพลันกล่าว
“พี่ชาย ดีกว่าหากเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ด้วย แข่งขันจารึกยังมี
หวังอันใด? ท่านไม่มีทางเอาชนะอาจารย์จารึกเต๋าเหล่านั้นได้!”
เซี่ยวเย่ว์เหม่ยเข้ามาเขย่าแขนฉินหยุน
“ข้าจะเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ด้วย เท่านี้ก็พอใจแล้วใช่หรือไม่?”
ฉินหยุนหัวเราะรับ
“ฉินหยุน หากเจ้าคิดเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ ดีที่สุดคืออย่าได้คว้า
อันดับหนึ่งมาครอง!” มู่เฟิงกล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจัง
“เพราะอะไร?” ฉินหยุนและเซี่ยวเย่ว์เหม่ยถามเป็นเสียงเดียวกัน
“เพราะอันดับหนึ่ง ย่อมต้องเป็นการประลองระหว่างดาบและมังกร!
มันหมายความถึงการขันแข่งระหว่างตระกูลหลงและตระกูลเจี้ยน
หากเจ้าได้รับอันดับหนึ่ง ข้าเกรงว่า… ข้าเกรงว่าทั้งตระกูลหลงและ
ตระกูลเจี้ยนจะตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้า!” มู่เฟิงกล่าวความคิดของ
ตนออกมา