ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ตอนที่ 1013
ราชันเร้นลับ 1,013 : ต่างคนต่างเติบโต
ในอดีต อาคารหมายเลข 36 ถนนซุตแลนด์จะมีฐานเป็นซีเมนต์ หน้าต่างสองบานในแต่ละชั้นจะเป็นทรงหัวมนซึ่งถูกปิดมิดชิด มีกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมในยุคสมัยที่ห้าช่วงก่อนปีหนึ่งพันสามร้อย แสงจากธรรมชาติส่องผ่านเข้าไปได้น้อย
แต่หลังจากสร้างใหม่ ชั้นล่างมีเฉลียงขนาดเล็กรอบทางเข้า ซ้ายขวาเป็นมุขหน้าต่างสองบานสูงจากชั้นหนึ่งถึงชั้นสอง กรอบหน้าต่างและต้นเสาหินคั่นกลางที่ถูกตกแต่งอย่างประณีต คอยค้ำจุนคานหินแนวนอนที่มั่นคงแข็งแรง ถัดขึ้นไปจากมุขหน้าต่างเป็นกำแพงอิฐสูงถึงชั้นสาม
นี่คือสถาปัตยกรรมอาคารสามชั้นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีหลัง
ขณะจิตใจเริ่มเหม่อลอย เลียวนาร์ดรู้สึกราวกับตนมาผิดที่
มันได้สติหลังจากผ่านไปสิบวินาที ในสภาพถือไม้ค้ำเลี่ยมเงิน เลียวนาร์ดก้าวเข้าสู่อาคารหมายเลข 36 ถนนซุตแลนด์ เดินขึ้นบันไดวนจนกระทั่งเห็นประตูสีดำและป้ายแนวตั้ง
“บริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬ”
อา… คล้ายกับมันได้รับความรู้สึกเก่าๆ กลับคืน เลียวนาร์ดเร่งความเร็ว ผลักประตูที่เปิดค้างไว้
ขณะกำลังอ่าน ‘ทิงเก็นซื่อตรง’ เมื่อสตรีผมสีน้ำตาลได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่ว เธอรีบขยับหนังสือพิมพ์ในมือจนเผยให้เห็นหน้าผากขาวเนียน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน และใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดู
“…ทิวาสวัสดิ์ โรแซน” เลียวนาร์ดทักทายด้วยความลังเลเล็กน้อย
โรแซนเผยสีหน้าตกตะลึงในตอนต้น ก่อนจะทำหน้าซึมและกล่าวเสียงเย็นชา
“ทิวาสวัสดิ์… ขอแสดงความยินดีที่ได้แก้แค้นให้หัวหน้ากับไคลน์”
เลียวนาร์ดอ้าปาก แต่ไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไร ไม่แม้แต่จะถอดหมวก ทั้งที่มันไม่ชอบใส่หมวก
มันฝืนยิ้ม พยักหน้าเล็กๆ และเดินผ่านโรแซน เข้าไปในประตูหลังฉากกั้น
ขณะจะเดินผ่านเข้าเขตสำนักงาน มันได้ยินเสียงโรแซนกล่าวแผ่วเบามาจากด้านหลัง
“ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข…”
เลียวนาร์ดลดความเร็วลง ผงกศีรษะหนักแน่น
มาถึงเขตด้านใน เพียงไม่นานมันก็ได้พบกับฟรายที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องหัวหน้า
ผู้เก็บซากศพยังคงมีผิวสีซีดเนื่องจากไม่ได้ตากแดดเป็นเวลานาน ผมสีดำ ตาสีฟ้า จมูกโด่งตั้งตรง ริมฝีปากบาง บรรยากาศเยือกเย็นและมืดมน
เลียวนาร์ดประสานสายตากับอีกฝ่ายสองวินาทีเต็ม ตามด้วยถอนหายใจ ยิ้มกว้างและพูด
“ไม่ได้เจอกันนาน”
“ทิวาสวัสดิ์ ไม่เจอกันนาน” ฟรายชี้ไปทางห้องทำงานของหัวหน้า “ผมได้รับโทรเลขและทราบความต้องการของคุณแล้ว จะมีเหยี่ยวราตรีสองคนออกไปทำภารกิจร่วมกับคุณ… แต่ก่อนอื่น คุณต้องกรอกเอกสารสำหรับเบิกสมบัติปิดผนึก”
เลียวนาร์ดยิ้มเล็กๆ เจือความประหลาดใจ
“คุณเป็นหัวหน้าแล้วหรือ? ไม่เงียบเหมือนเหมือนก่อนแล้วสินะ”
อันที่จริง เลียวนาร์ดย่อยโอสถนักปลอบวิญญาณเสร็จแล้ว สามารถเลื่อนเป็นลำดับ 5 จอมอาคมวิญญาณได้ทันที แต่เพื่อโอกาสในการขโมยหยดเลือดสุริยันเจิดจรัส มันจงใจรายงานเท็จและไล่ปลอบวิญญาณรอบๆ เบ็คลันด์จนหมด ในที่สุดก็มีข้ออ้างมาเยือนทิงเก็น
“ใช่” ฟรายพยักหน้า “อันที่จริง ผมก็ยังไม่ชอบพูดเหมือนเดิม แต่มันจำเป็นในฐานะหัวหน้า”
เลียวนาร์ดพยักหน้า
“คุณได้เป็นหัวหน้าตอนไหน? ผมไม่ได้ยินข่าวเลย…”
“เมื่อไม่นานมานี้เอง” ฟรายตอบห้วนในตอนต้น “หลังจากคุณออกไป ผมได้เลื่อนเป็นนักขุดสุสาน และประสบความสำเร็จในการเลื่อนเป็นผู้สื่อวิญญาณเมื่อเดือนก่อน… ประจวบเหมาะกับการที่หัวหน้าคนก่อนย้ายออกไปพอดี”
“เร็วมาก…” ยังไม่ทันจะกล่าวจบประโยค มันกำหมัดและทุบหัวตัวเองเบาๆ “ผมลืมไปได้ยังไงว่าไคลน์เคยแบ่งปันเรื่องนั้นกับทุกคนแล้ว”
มันลดมือลง หันไปยิ้มให้ฟราย
“ถ้าอย่างนั้น อนาคตของคุณค่อนข้างสดใสทีเดียว อาจไปถึงระดับอาวุโส”
ฟรายชำเลืองเล็กน้อย ถอนสายตากลับและตอบ
“ผมคิดว่าจะไม่เลื่อนลำดับอีกแล้ว”
“เพราะอะไร?” เลียวนาร์ดเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว หยุดลงข้างๆ ฟรายด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ฟรายแหงนมองเพดาน ตอบเสียงต่ำและเชื่องช้า
“ผมอยากอยู่ที่นี่… ปกป้องที่นี่… ตลอดไป”
เลียวนาร์ดแน่นิ่งไปพักใหญ่ ไม่มีการตอบสนองใดๆ
เมื่อมองไปรอบตัว มันพบว่าแม้ที่นี่จะถูกปรับปรุงครั้งใหญ่ แต่ลึกๆ แล้วยังมีบางสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง
หลังจากเงียบไปนาน ฟรายกล่าวต่อ
“ผมจะส่งคนไปกับคุณสองคน”
กล่าวจบ มันเดินไปยังห้องใต้ดิน เลียวนาร์ดตามหลังไปในสภาพเหม่อลอย
ในห้องสำนักงานด้านล่าง เมื่อประตูเปิดออก สิ่งที่เลียวนาร์ดเห็นคือเหยี่ยวราตรีหลายคนกำลังจับกลุ่มเล่นไพ่ – พิชิตจอมมาร
เมื่อตระหนักถึงการมาเยือนของหัวหน้า ทุกคนวางไพ่ลงและลุกขึ้นยืน
เลียวนาร์ดกวาดสายตาไปรอบๆ และพบใบหน้าที่คุ้นเคยสองคน หนึ่งคือรอยัล เจ้าของเส้นผมสีดำขลับ และอีกหนึ่งคือซิก้า ผมสีขาวดวงตาสีดำ
ขณะเดียวกัน มันได้พบกับคนที่ไม่รู้จักอีกจำนวนหนึ่ง พบเงินและไพ่วางอยู่บนโต๊ะ มีทั้งเหรียญเพนนีและซูล
เพียงพริบตา มันดำดิ่งสู่ห้วงภวังค์ การมองเห็นพร่ามัวในทันที
…
น่านน้ำของหมู่เกาะรอสต์ ภายในท่าเรือเล็กๆ ที่มีหมู่บ้านชาวประมง บนอนาคตกาล ภายในห้องโดยสารชั้นล่าง
แฟรงค์·ลีม้วนแขนเสื้อขึ้น ยืนกอดอกและตรวจสอบเห็ดตรงหน้าด้วยความระมัดระวัง
เห็ดเบื้องหน้า เมื่อนับรวมกับหมวกเห็ดจะมีความสูง 1.8 เมตร บนผิวสีขาวมีจุดสีแดงหลายจุด ลักษณะคล้ายดวงตา จมูก และปาก
นอกจากนั้น ลำต้นของมันยังมีสปอร์ยื่นออกมา รวมถึงเส้นใยสีขาวที่แข็งแรงพอๆ กับหนวดรยางค์
แฟรงค์จ้องเห็ดยักษ์หัวจรดเท้า จากนั้นก็มองไปรอบๆ ตามผนังที่เต็มไปด้วยเห็ดน้อยใหญ่มากมาย ตามด้วยการกล่าวกับ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ด้านข้าง
“ไม่เลว การทดลองมีความคืบหน้าอีกครั้ง เห็ดต้นนี้มีความปรารถนาที่จะขยายพันธุ์อย่างแรงกล้า และนั่นยิ่งทำให้มันหิว เมื่อหิวก็จะหาเลือดเนื้อของสัตว์ประหลาดกิน… แต่เมื่อถูกนำไปย่างหรือต้มจนสุก พฤติกรรมเหล่านี้ก็จะหยุดลง ไม่หลงเหลือความน่ากลัว… หืม… รสชาติเป็นยังไงบ้าง? เมื่อกี้นายลองชิมแล้วใช่ไหม? ผลผลิตของมันจะมีรสชาติแบบสุ่ม ประกอบด้วยเนื้อ ปลา และข้าวสาลี ในบางครั้งก็เป็นเห็ดที่เต็มไปด้วยนมสด เห็ดหนึ่งต้นเทียบเท่าอาหารเช้าหนึ่งมื้อ… ไม่ต้องดูที่ไหนไกล ลูกเรือของเรือลำนี้เลิกดื่มเหล้ากันหมดแล้ว เพราะมีเห็ดให้เด็ดเต็มไปหมด… ฉันกำลังคิดว่า ในหลายๆ ครั้ง การต้องไปเยือนถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกลความเจริญ ลำพังการพกเห็ดแห้งยังไม่พอ แต่ต้องหาสัตว์ประหลาดเพื่อจัดการด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีอาหารให้เห็ดเจริญเติบโต ฟังดูยุ่งยากชะมัด… คงจะดีกว่านี้ถ้าพัฒนาเห็ดสามารถเติบโตบนร่างกายของเรา เพราะนั่นจะเป็นการขจัดปัญหาหลายๆ เรื่องในคราวเดียว นายก็คิดแบบนั้นใช่ไหม?”
‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ผอมกว่าสมัยที่อยู่ในบายัมมาก ดวงตาก็หมองคล้ำ ขาดชีวิตชีวา
ได้ยินคำพูดแฟรงค์ คล้ายกับมันนึกถึงเรื่องราวในอดีต ร่างกายพลันสั่นเทาพร้อมกับนั่งยองลง อ้าปากกว้างและส่งเสียงอาเจียน
“นายยังไหวไหม? ฉันรู้ว่านายทำงานหนักกว่าใคร และรู้สึกขอบคุณจากก้นบึ้ง” แฟรงค์กล่าวกับช่างฝีมือด้วยความจริงใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะนาย เห็ดของฉันคงไม่มีแนวโน้มในการขยายพันธุ์มากขนาดนี้ แถมยังมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษท่ามกลางแสงจันทร์ สามารถชำระล้างร่างกายตัวเองได้ ขจัดสารพิษตกค้างที่สั่งสมหลังจากกินซากศพสัตว์ประหลาด… แต่ปัญหาเดียวก็คือ ในความมืดมิดย่อมไม่มีแสงจันทร์ นั่นคือสิ่งที่ยังต้องปรับปรุงต่อไป”
ชาฟฟ์มิได้กล่าวคำใด หลังจากอาเจียนเสร็จ มันรีบลุกขึ้นยืนและหันหลัง เตรียมวิ่งออกไปนอกห้อง แต่กลับถูกเส้นใยสีขาวหนาๆ แผ่ออกมาพันร่างและดึงกลับ
“อ…เอาสมบัติวิเศษของฉันคืนมา! ปล่อยให้ฉันตายไปพร้อมกับเห็ดพวกนี้!” มันแหกปากอย่างบ้าคลั่ง น้ำเสียงหรี่ลงเรื่อยๆ เมื่อปากถูกปิดสนิท
ในเวลาเดียวกัน ที่ใดสักแห่งด้านนอกหมู่บ้านชาวประมง เถาวัลย์สีเขียวเข้มหัวตัวอย่างรวดเร็ว คล้ายกับเป็นการเติบโตแบบย้อนกลับ
‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาเดินออกมาจากม่านเถาวัลย์ ดวงตาสีม่วงเข้มเจือแสงสีเงินสว่าง
เสียงเพรียกที่ดังมาจาก ‘ปราชญ์เร้นลับ’ ยังคงกังวานในหัว แต่หญิงสาวกลับไม่พบว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสยดสยองอีกต่อไป สามารถอดทนได้ดีกว่าเมื่อก่อน และในการมองเห็นปัจจุบัน ร่างมายาจำนวนมากที่ยากจะอธิบายกำลังลอยวนเวียน ซ้อนทับราวกับม่านแผ่นหนา มอบความรู้สึกคล้ายกับถูกจ้องมองจากที่ใดสักแห่ง
เมื่อเทียบกับอดีต ตัวเธอในตอนนี้สามารถมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังม่านทึบได้ชัดเจน และยังสามารถมองเห็นหลากสีสันบนดวงจันทร์เหนือท้องฟ้า ไม่ว่าจะสีแดงเลือด สีเงิน สีน้ำตาลเข้ม สีน้ำเงินสว่าง ดูคล้ายกับดวงตาที่จ้องมองลงมายังโลก
แคทลียาพึมพำเล็กน้อยก่อนจะถอนสายตากลับ ไม่กล้ามองนาน
อาศัยการวิเคราะห์และจำแนกโลหิตของอสรพิษแห่งชะตา แคทลียาเสร็จสิ้นพิธีกรรมและได้รับเศษเสี้ยวความเป็นเทพ กลายเป็น ‘ปราชญ์พิศวง’ ลำดับ 4 แห่งเส้นทางผู้ส่องความลับ
อย่างไรก็ตาม เธอยังไม่ลืมในสิ่งที่ราชินีเงื่อนงำเตือน:
จากยี่สิบสองเส้นทางทั้งหมด ลำดับ 4 ของเส้นทางผู้ส่องความลับต้องเผชิญความเสี่ยงมากกว่าใคร เพราะมักจะได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควร ได้ยินในสิ่งที่ไม่ควร และสัมผัสในสิ่งที่ไม่ควร
ดังนั้น หากปราชญ์พิศวงอยากมีอายุยืน ต้องรู้จักระงับความอยากรู้อยากเห็น ต้องควบคุมพฤติกรรมอย่างเคร่งครัด
หลังจากนำแว่นที่ห้อยบนเสื้อมาสวมดั้งจมูก แคทลียาพบว่า ภาพเหนือธรรมชาติที่ไม่ควรมีอยู่บนโลกความจริง มิได้เลือนหายไปจากการมองเห็น
เธอส่ายหน้าเล็กน้อย เกิดเป็นความพอใจกึ่งรำพัน ยอมรับชะตากรรมว่าแว่นตาอันนี้ไม่สามารถปิดกั้นเนตรส่องความลับได้อีกต่อไป
เธอหลับตาลงและลืมขึ้นใหม่ ดวงตาของหญิงสาวกลับไปเป็นสีเข้มตามปรกติ ปราศจากแสงสีม่วงเข้มและเงินสว่าง
ฟู่ว… แคทลียาถอนหายใจโล่งอก เดินกลับไปทางอนาคตกาลอย่างไม่รีบร้อน ประหนึ่งแค่ออกมาเดินเล่นกินลมชมวิว
หญิงสาวมิได้คิดจะประกาศตัวว่าตนกลายเป็นครึ่งเทพ และไม่รีบร้อนที่จะเลื่อนตำแหน่งไปเป็นราชาคนที่ห้าแห่งท้องทะเล เพราะสำหรับเธอ นี่เป็นหนึ่งในไพ่ตายแสนสำคัญบนโลกที่เต็มไปด้วยอันตราย หากไม่จำเป็นก็ไม่ควรรีบเผย
…
ย่านทิศใต้ของสะพานเบ็คลันด์ ถนนกุหลาบ
ขณะรถม้าของเอ็มลินเลี้ยวเข้ามาในถนน มันเห็นร่างอันพร่ามัวปรากฏขึ้นบนที่นั่งฝั่งตรงข้าม เป็นชายผมกระเซิง สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีดำ ไม่ใช่ใครนอกจากวิญญาณอาฆาตหนุ่ม
“ไม่ได้พบกันนาน มิสเตอร์มาริค” เอ็มลินเผยรอยยิ้มสงบนิ่ง
มาริคพยักหน้ารับ
“ผมมาเพื่อแจ้งว่า ทางเราพร้อมแล้ว สามารถปรึกษาแผนได้ทันที”
………………………..