ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ตอนที่ 1020 : ยุทธวิธีของแม่มด
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ตอนที่ 1020 : ยุทธวิธีของแม่มด
ราชันเร้นลับ 1,020 : ยุทธวิธีของแม่มด
ท่ามกลางความคิดที่แล่นผ่าน ไคลน์สลับตำแหน่งตัวเองกับบุรุษรับใช้ส่วนตัว เอ็นยูน ที่อยู่ในห้องข้างๆ
ขณะเดียวกัน ด้านล่างเถาองุ่นที่อยู่ห่างออกจากอาคารหลักประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร ตะขาบตัวหนึ่งที่กำลังคลานอย่างเชื่องช้า ตัวแข็งทื่อกะทันหันก่อนจะคลายออก
เพียงพริบตา ตะขาบตัวดังกล่าวหายไป สิ่งที่ปรากฏขึ้นแทนคือดอน·ดันเตสในชุดนอนลายตารางหมากรุกสีน้ำเงินสลับขาว
ไคลน์เปลี่ยนตำแหน่งกับหุ่นเชิดอีกครั้ง!
มันตัดสินใจใช้วิธีนี้แอบสะกดรอยตามโจนาส·โคลเกอร์อย่างลับๆ ค้นหาว่าอีกฝ่ายกำลังจะไปไหนและมีเป้าหมายอะไร
วิธีนี้จะช่วยให้ ‘เคลื่อนที่’ ได้เพียงครั้งละหนึ่งร้อยห้าสิบเมตรเท่านั้น แถมยังต้องเสียเวลาราวสองสามวินาทีระหว่างการใช้งานแต่ละครั้ง – เป็นระยะเวลาที่ต้องใช้ในการเข้าควบคุมหุ่นเชิดเบื้องต้น แต่เมื่อเทียบกับกระโจนเพลิงและ ‘ท่องเที่ยว’ พลังชนิดนี้จะช่วยให้เคลื่อนไหวได้เงียบเชียบกว่า ยากที่จะถูกโจนาส·โคลเกอร์ตรวจพบ
ต้องไม่ลืมว่าอีกฝ่ายเป็นถึงครึ่งเทพ แม้จะไม่ใช่ชำนาญที่มีสัมผัสวิญญาณเฉียบแหลม แต่ก็ไม่ควรประมาทด้วยประการทั้งปวง!
ในทำนองเดียวกัน สาเหตุที่ไคลน์ไม่ใช้งานยุบพองหิวโหยเพื่อซ่อนตัวในเงามืด นั่นเพราะถึงจะปกปิดตัวตนได้มิดชิด แต่ความเร็วค่อนข้างช้า ไม่สามารถไล่ตามสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพได้ทัน
ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด ระหว่างทางจากคฤหาสน์เพลงกุหลาบและฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำทัสซอค ไม่ว่าจะเป็นหนูในโขดหิน งูพิษ แมงมุม ปลาในแม่น้ำ พวกมันล้วนชะงักไปสักพักก่อนจะแน่นิ่ง
ทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นหุ่นเชิดทีละหนึ่ง ไคลน์อาศัยพวกมันในการเคลื่อนที่อย่างไร้สุ้มเสียง เพียงไม่นานก็มาถึงฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำทัสซอค รักษาระยะห่างกับโจนาส·โคลเกอร์ราวหนึ่งกิโลเมตร
สำหรับจอมเวทพิสดาร แม้หุ่นเชิดจะอยู่นอกเหนือการควบคุม แต่สถานะหุ่นเชิดจะยังไม่หายไปในทันทีและกลายเป็นศพ ต่อให้ไม่มีจิตใต้สำนึกของจอมเวทพิสดารเป็นตัวทำปฏิกิริยา แต่กระบวนการเสื่อมสภาพจะดำเนินไปค่อนข้างช้า ใช้เวลาเกือบสิบนาทีกว่าจะสมบูรณ์ ดังนั้น ไคลน์ไม่ต้องกังวลว่าเอ็นยูนที่นอนอยู่ในคฤหาสน์จะตาย ตราบใดที่สะกดรอยตามและกลับไปให้ทันภายในสิบนาที หุ่นเชิดก็จะกลับมาอยู่ในสภาพปรกติ
ไคลน์ไล่ตามโจนาส·โคลเกอร์อย่างเงียบเชียบ เลียบแม่น้ำทัสซอคผ่านป่าทึบ ปืนไปยังยอดเขาริมแม่น้ำ
ทันใดนั้น โจนาส·โคลเกอร์ที่ไม่สวมเสื้อกั๊กหรือเสื้อนอก หยุดฝีเท้ากะทันหัน ตรวจสอบสถานการณ์โดยรอบอย่างละเอียดและค่อยๆ ขยายวง ราวกับกำลังสร้างอาณาเขต
ได้เห็นภาพดังกล่าว ไคลน์ไม่กล้าอยู่ต่อ รีบสลับตำแหน่งกับหุ่นเชิดเพื่อถอยหลังกลับ จนกระทั่งอยู่ห่างจากรองผอ. MI9 เป็นระยะทางสามกิโลเมตร
ระหว่างนั้น มันยกเลิกการควบคุมหุ่นเชิดอย่างต่อเนื่อง ไม่กังวลว่าศพแมลงจะทำให้อีกฝ่ายสงสัย
ภายในป่าชานเมืองแถบนี้ การตายของแมลงเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมาก!
‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์ สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง เช่นนั้นแล้ว ครึ่งเทพของเส้นทางเดียวกันอย่างโจนาส·โคลเกอร์เองก็คงมีความสามารถในการสร้างอาณาเขต… อาจเป็นอาณาเขตที่จะทำให้ผู้สะกดรอยไม่สามารถซ่อนตัว ถูกบังคับให้ต้องเปิดเผยตัวตน? มีโอกาสเป็นไปได้! ไคลน์หยิบเหรียญทองออกจากกระเป๋าชุดนอน ควงเล่นระหว่างนิ้ว
ทันใดนั้น มันออมแรงและดีดเหรียญทองขึ้นไปในอากาศอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ปล่อยให้ตกลงบนฝ่ามือ
ไม่จำเป็นต้องก้มหน้ามอง ไคลน์สามารถเห็นนิมิตภายในหัว
เหรียญออกหัว!
หมายความว่า อาณาเขตข้างหน้ามีความผิดปรกติ แถมยังอันตรายอย่างมาก!
สมแล้วที่เป็นครึ่งเทพ ความสามารถในทำนองนี้ช่างน่าอิจฉา… แต่คิดจริงๆ หรือว่าของแบบนี้จะหลบหนีจากการสะกดรอยจากเราได้? ไคลน์ ‘หึ’ ในลำคอก่อนจะถอยหลังกลับไปอีกหลายสิบเมตร มองหาจุดอับสายตาและแปลงโฉมเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์
ทันทีหลังจากนั้น มันเลื่อนมือขึ้นมาประสานใต้ปาก พึมพำเสียงต่ำ
“ข้ารับใช้แห่งท้องทะเลและโลกวิญญาณ ผู้พิทักษ์แห่งหมู่เกาะรอสต์ ผู้ปกครองมวลหมู่สัตว์ทะเล เจ้าแห่งสึนามิและลมพายุ คาเวทูว่าผู้ยิ่งใหญ่”
สิ้นเสียงสวดวิงวอน ไคลน์ถอยหลังสี่ก้าวทันที ส่งตัวเองเข้าสู่มิติเหนือสายหมอก นั่งลงบนเก้าอี้ของเดอะฟูลและกวักมือเสกคทาเทพสมุทรที่เลี่ยมด้วยอัญมณีสีน้ำเงิน
จากนั้น มันอาศัยคทาเทพสมุทรในการสำรวจจุดแสงของผู้วิงวอน เฝ้ามองพื้นที่รอบๆ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ในมุมสูง
มันขยายภาพออกทันที เพื่อให้เห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบทั้งหมด อาศัยบริเวณดังกล่าวเป็นจุดกึ่งกลาง แผ่ขยายรัศมีการมองเห็นออกไปไกลถึงห้าไมล์ทะเล – เป็นขอบเขตสูงสุดที่คทาเทพสมุทรสามารถยื่นมือช่วยเหลือสาวก
ด้วยวิธีนี้ ในจุดที่เป็นพื้นที่เป้าหมายของโจนาส·โคลเกอร์ ไม่มีสิ่งใดสามารถหลบสายตาของไคลน์
…
เขตท่าเรือ ภายในโกดังสินค้า
“ความรัก…” ทริสซี่หัวเราะ จากนั้นร่างของเธอก็จางลงราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับทะเลสาบยามค่ำคืน
เพียงพริบตา ทริสซี่ที่ถูกห่อด้วยใยแมงมุมหนาของ ‘แม่มดยุพนิรันดร์’ คาร์เทอริน่า·เปลเล่ พลันแปรสภาพกลายเป็นกระจกมายา
กระจกบานดังกล่าวสูงกว่ามนุษย์ ผิวกระจกมีคลื่นน้ำกระเพื่อม คล้ายกับเป็นประตูที่นำพาไปยังโลกอีกใบหนึ่ง
ทันใดนั้น มันหยุดสะท้อนภาพเบื้องหน้า แต่เป็นภาพเค้าโครงของห้องหนึ่ง
ห้องดังกล่าวทั้งสลัวและมืดมน เตียงนอนและเครื่องเรือนถูกหั่นเป็นชิ้นๆ กระจัดกระจายนับไม่ถ้วน มีเพียงใจกลางห้องที่ยังสะอาดสะอ้าน ไม่มีแม้แต่ฝุ่น
ทริสซี่กำลังยืนในตำแหน่งดังกล่าว สวมเดรสยาวสีดำหม่นหมอง เส้นผมถูกปล่อยตามธรรมชาติและโยกเอนแผ่วเบาตามแรงลม ใบหน้าขาวเป็นพิเศษ คล้ายกับผีผู้หญิงในนิทานปรัมปรา
เธอมิได้อยู่ที่นั่นตั้งแต่แรก แต่อาศัยพลังของกระจกมายา ฉายภาพตัวเองมาจากจุดห่างไกลอย่างสมจริง!
ดังนั้น ในตอนที่ถูกควบคุมและไล่ล่า เธอไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
ได้เห็นฉากดังกล่าว คาร์เทอริน่า·เปลเล่ที่สวมผ้าคลุมสีขาวเรียบๆ ปราศจากความลังเล แผดเสียงกรีดร้องออกมาทันที
คลื่นเสียงที่มองไม่เห็นแผ่ออกไปรอบทิศ เส้นผมลอยขึ้นฟ้าทุกทิศทางและจับกลุ่มเป็นเส้นใหญ่ แถมยังถูกฉาบด้วยสีขาวซีด
กระจกเงามายาสั่นสะเทือนหนักหน่วง คล้ายกับพร้อมพังทลายทุกเมื่อ
และภายในห้องรก เศษเตียงนอนและเครื่องเรือนพลันกลายเป็นสีขาวเทา สูญเสียความมันวาวและแปรสภาพกลายเป็นก้อนหิน
เบื้องหน้าทริสซี่ พื้นสีน้ำตาลอมเหลืองเองก็แปรสภาพกลายเป็นหินสีเทาขาว ถาโถมเข้าใส่มนุษย์คนเดียวภายในห้องอย่างรวดเร็วประหนึ่งกระแสน้ำโหมกระหน่ำ
ทริสซี่ไม่พยายามต่อต้าน เพียงหันหลังกลับและโบกมือ ส่งตัวเองไปยังหน้าต่างที่เปิดอยู่
ใยแมงมุมล่องหนที่เป็นของทริสซี่ก่อตัวขึ้นกลางอากาศ ทุกเส้นเปลี่ยนเป็นสีเข้มและพุ่งตรงเข้าหากระแสคลื่นสีเทาขาว
ขณะเดียวกัน รอยร้าวเริ่มปรากฏบนผิวกระจกมายาบานใหญ่ ก่อนจะส่งเสียงมายาออกมาพร้อมกับแตกเป็นเสี่ยงๆ
ทว่า ก่อนที่กระจกมายาจะเลือนหายไปอย่างสมบูรณ์ ภายในห้องที่ถูกสาปให้เป็นหิน วัตถุสีเทาเขาก่อตัวกันเป็นร่างหนึ่งด้วยความพิสดาร
ร่างดังกล่าวสวมเสื้อคลุมสีขาว ทั้งเรียบง่ายและศักดิ์สิทธิ์ มีผมสีดำสนิทเป็นมันเงา เป็นความงามที่มีเสน่ห์ของเด็กสาวและผู้ใหญ่ในเวลาเดียวกัน ดวงตากึ่งลุ่มลึกกึ่งสดใสไร้เดียงสา ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘แม่มดยุพนิรันดร์’ คาร์เทอริน่า·เปลเล่ที่อยู่ในโกดังเมื่อครู่!
เมื่อเศษกระจกมายาเลือนหายไปโดยสมบูรณ์ ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดก็ไม่เห็นสถานการณ์ภายในห้อง ‘อีกฟาก’ อีกต่อไป
มันถอนสายตากลับ ต้องไปทางเชอร์มาเน่ที่อยู่ไม่ห่างด้วยสายตาซับซ้อนเล็กๆ แต่เพียงไม่นานก็กลับเป็นปรกติ
“ทริสซี่อดทนจนน่ายกย่อง… เพื่อจะจัดการกับฉัน เธอถึงกับลงทุนใช้เวลาหลายเดือนในการบ่มเพาะแม่มดคนใหม่…” ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดหัวเราะพลางส่ายหน้า “ยัยนั่นต้องการให้เธอล้วงข้อมูลอะไรจากฉัน?”
ปัจจุบัน เนื่องจากภายในโลกดังขาดการเชื่อมต่อกับทริสซี่ ใยแมงมุมล่องหนรอบตัวเชอร์มาเน่จึงเริ่มอ่อนแรงลง มิอาจพันธนาการเธอได้อีก
สตรีเลอโฉมตอบด้วยดวงตาเหม่อลอย
“เธอขอให้ฉันช่วยสืบว่า ใครคือคนที่คุณจงรักภักดีอย่างแท้จริง”
โดยไม่รอให้ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดตอบ ดวงตาของเธอแฝงความสับสนที่ยากจะอธิบาย ก่อนจะถามออกไปด้วยความลังเล
“สัญญาที่คุณเคยรับปากฉัน… มีเรื่องใดบ้างที่จริง?”
ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดผงะ จากนั้นก็หัวเราะ
“เธอน่าจะเป็นแม่มดที่โง่เขลาและไร้เดียงสาที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็น…”
สีหน้าเชอร์มาเน่แข็งทื่อโดยสมบูรณ์ ดวงตาที่เริ่มมีประกาย กลับไปเหม่อลอยอีกครั้ง
…
ด้านนอกโกดัง ซิลและฟอร์สที่ซ่อนตัวในเงามืด สำรวจพื้นที่เป้าหมายอย่างเงียบเชียบ
พวกเธอไล่ตามไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดมาที่นี่!
ความอดทนของพวกเธอผลิดอกออกผลอย่างที่คิด สามารถตรวจพบว่าหัวหน้าราชองครักษ์แอบออกจากคฤหาสน์ในยามราตรี รีบร้อนไปยังเขตท่าเรือใกล้กับสะพานเบ็คลันด์
อาศัยพลังเจ้าพนักงานของซิล พวกเธอไล่ตามห่างๆ และยืนยันได้ว่าไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดเข้าไปในโกดังหลังดังกล่าว
นอกจากนั้น พวกเธอยังสังเกตเห็นสิ่งหนึ่ง นั่นคือสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยสู้ดีนักของเป้าหมาย คล้ายกับกำลังบาดเจ็บ
“อันที่จริง เรามีโอกาสลงมือระหว่างทางก่อนจะถึงที่นี่…” ฟอร์สมองโกดังพลางกระซิบ
ซิลตอบโดยไม่มองหน้า
“แต่เธอเป็นคนบอกเองว่า เรื่องราวอาจไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น เราต้องอดทนรอไปก่อน”
“นั่นอาจเป็นสัมผัสวิญญาณของโหราจารย์… หรือไม่ก็สันดานชอบผัดวันประกันพรุ่ง” ฟอร์สตอบในทำนองจิกกัดตัวเอง
พวกเธอไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม ยังคงเงียบและอดทนรอต่อไป
ทันใดนั้น บนพื้นที่มีรอยแตกด้านหน้าทั้งสองคน เปลวไฟสีดำลุกโชนขึ้น
เปลวไฟกระจัดกระจายอย่างรวดเร็วและเรียงตัวเป็นถ้อยคำภาษาโลเอ็น:
“นี่คือโอกาสที่พวกเธอรอคอย”
รูม่านตาของทั้งซิลและฟอร์สเบิกกว้างพร้อมกัน พวกเธอหันมองหน้ากันและตอบสนองไม่ถูกไปสักพัก จนกระทั่งฟอร์สเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
“เอายังไงกันดี?”
…………………………………