ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ตอนที่ 607
Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 607 : พบความผิดปรกติ
ราชันเร้นลับ 607 : พบความผิดปรกติ
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม้หน้าต่างห้องน้ำจะสูง แต่แสงแดดก็ยังส่องเข้ามาไม่มากพอ ทำได้เพียงขจัดความดำมืดออกไปบางส่วน บรรยากาศด้านในจึงยังสลัวมัวเมา
ไคลน์ถือลูกเต๋าความน่าจะเป็นด้วยมือขวา บรรจงเลื่อนมันเข้าหาดวงตาดำล้วนทีละนิด
ทันใดนั้น ลูกเต๋าสีขาวนมสดพลันสั่นระริก
ชายหนุ่มสะบัดข้อมือ โยนมันไปยังอีกฝั่งของเคาน์เตอร์อ่างล้างมือหรูหรา
ลูกเต๋าพิสดารหมุนตัวเองสักพัก ในที่สุดก็ทอยออกมาเป็นสี่แต้ม
ไคลน์เผยรอยยิ้มมุมปาก หยิบลูกเต๋าความน่าจะเป็นขึ้นมาอีกครั้ง ซักถามอย่างนุ่มนวลพลางเอนตัวเข้าไปใกล้
“แกไม่อยากฟังคอนเสิร์ตใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ตอบฉันมา… หกแต้มหมายถึงยอมร่วมมือ ส่วนที่เหลือคือปฏิเสธ”
กล่าวจบ ชายหนุ่มโยนลูกเต๋าความน่าจะเป็นขึ้นไปบนอากาศ สายตาจ้องมองผลลัพธ์
ลูกเต๋าสีขาวนมสดตกลงบนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า กลิ้งกุกกัก ตามด้วยการเผยสัญลักษณ์หกแต้มสีแดง!
“ดีมาก” ไคลน์หัวเราะในลำคอพลางชมเชย
หลังจากโยนดวงตาดำล้วนกลับเข้าไปในมิติสายหมอก ชายหนุ่มเปิดประตูห้องน้ำ เดินกลับไปทางห้องนั่งเล่น
ท่ามกลางสายตาคาดหวังและเฝ้ารอจากนักปรุงยาอ้วน·ดัควีลล์และนกฮูกแฮร์รี่ ไคลน์ชะงักฝีเท้า โยนลูกเต๋าความน่าจะเป็นไปทางอีกฝ่าย
“ไม่!”
“อย่า!”
ดัควีลล์และนกฮูกแหกปากโหวกเหวกพร้อมกัน ด้วยกังวลว่าผลการทอยจะออกมาต่ำกว่าสามแต้ม รายหลังรีบกระพือปีกบินตามสัญชาตญาณ ถอยออกห่างจากนักปรุงยาอ้วนที่อาจถูกฟ้าผ่า
เสียงกระทบดังคมชัด ลูกเต๋าสีขาวนมสดหมุนกลิ้งไปบนโต๊ะกาแฟสักพัก ก่อนจะเผยผลลัพธ์ออกมาเป็นสองแต้ม
ขณะใบหน้าดัควีลล์เริ่มซีดเผือด ลูกเต๋าทอยตัวเองอย่างเกียจคร้านอีกรอบ หงายด้านสี่แต้มขึ้นมาแสดง
“ถัดจากนี้อีกสิบสองชั่วโมง มันจะทำตัวค่อนข้างเรียบร้อย” ไคลน์นั่งลงด้วยมาดสุขุม ก้มหน้าจัดการกับอาหารเที่ยงที่เริ่มเย็นชืด
วิธีของเขาได้ผล…?
ดัควีลล์มองต่ำ จ้องลูกเต๋าบนโต๊ะกาแฟ
จากนั้นสักพัก มันอดใจไม่ได้ที่จะลองเหยียดแขนไปพลิกลูกเต๋าเป็นหน้าหกแต้ม
เพียงปล่อยฝ่ามือออก ลูกเต๋าทอยตัวเองทันทีโดยปราศจากแรงลม กลับยังไปสี่แต้มตามเดิม
เจ๋ง…!
เกอร์มัน·สแปร์โรว์ใช้วิธีใดกันแน่… หรือความเชื่อของชนพื้นเมืองจะได้ผล ถ่ายอุจจาระออกมาแล้วเอาลูกเต๋าจุ่มลงไป? อุแหวะ…
ดัควีลล์ยอมรับผลลัพธ์แต่โดยดี ไม่ครุ่นคิดหาเหตุผลเพิ่มเติม ด้วยเกรงว่าตนอาจพ่นอ้วกเรี่ยราดห้องนั่งเล่น
เงยหน้าขึ้นมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังปาดเนยลงบนขนมปังอย่างสบายใจ ดัควีลล์เริ่มตระหนักว่า การยอมจ่ายหนึ่งพันปอนด์เพื่อใช้บริการบอดี้การ์ดระดับนี้นับว่าคุ้มค่าทุกเพนนี!
ด้วยฝีมือระดับพลเรือโจรสลัดของเขา หากมหาเศรษฐีคนใดประสบชะตากรรมคล้ายคลึงเรา พวกมันคงไม่ลังเลที่จะจ้างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตัวเอง… โชคยังดี เราต้องจ่ายเพียงสามร้อยปอนด์ ส่วนที่เหลือจะออกโดยอาจารย์…
เมื่อไม่ต้องกังวลว่าลูกเต๋าระยำจะเปลี่ยนหน้าไปอีกสิบสองชั่วโมง ดัควีลล์ถอนหายใจผ่อนคลาย อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้น ยืดเส้นยืดสาย
มันเดินไปทางหน้าต่างภายในห้อง เลือนมือเปิดหน้าต่างที่ปิดอยู่ เผยให้เห็นเมฆบางเบา ท้องฟ้าสูงโปร่ง และท้องทะเลกว้างใหญ่ด้านนอกลำเรือ
ผืนน้ำสีน้ำเงินเข้มโยกคลอนอย่างอ่อนโยน สะท้อนแสงแดดเจิดจ้าจนเกิดประกายวิบวับ ประหนึ่งใครบางคนนำทองคำไปโปรยจนทั่ว ฉากตรงหน้าปลุกดัควีลล์ให้ตื่นจากภวังค์ซบเซา คล้ายกับหัวใจได้รับความร่าเริงกลับคืน
แตกต่างจากอากาศในกรุงเบ็คลันด์ที่จะเริ่มอุ่นเมื่อย่างเข้าปลายกุมภาพันธ์ บรรยากาศรอบหมู่เกาะรอสต์มิได้เย็นจัดจนไม่เป็นอันทำอะไร แต่กลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ได้เห็นทัศนียภาพทางทะเลท่ามกลางอากาศอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ…
ไคลน์ถือขนมปังคุณภาพดีเดินมายืนด้านหลังดัควีลล์ รู้สึกคล้ายกับตัวเองเป็นสัตว์ที่เพิ่งตื่นจากการจำศีล
ชายหนุ่มมิได้ท่องบทกวีที่แล่นเข้ามาในหัว ส่วนหนึ่งเพราะสิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับบุคลิกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือ มันไม่อยากได้ยินดัควีลล์สรรเสริญความปรีชาสามารถของจักรพรรดิโรซายล์
…
ตกเย็น ลูกเต๋าไม่เปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวัน แต่อากาศภายนอกเรือเริ่มผันผวน เมฆดำก่อตัวพร้อมพายุ ฝนฟ้าคะนองเริ่มตั้งเค้า
นี่คืออันตรายที่พบได้บ่อยในทะเล ไม่เว้นแม้แต่การล่องเรือไปบนเส้นทางที่บรรพชนสำรวจแล้วว่าปลอดภัย เหตุการณ์ในทำนองเดียวกันสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ และมิได้น่ากลัวมากนักในสายตาชาวเรือ
ไคลน์มองไปยังคลื่นทะเลสองฝั่งที่มีขนาดมหึมาราวกับสูงเสียดฟ้า พลันเกิดความรู้สึกว่าเรือลำนี้กำลังแล่นเข้าไปในหุบเขาสีฟ้าครามที่พร้อมพังครืนตลอดเวลา
ความรู้สึกถูกข่มขวัญทำให้ตัวมันที่เป็นผู้วิเศษลำดับกลาง เกิดอยากจะสวดวิงวอนต่อองค์เทพขึ้นมาจับใจ ภาวนาให้เรือโดยสารของตนผ่านพ้นพายุได้อย่างปลอดภัย
เข้าใจแล้วว่าทำไมบรรดาลูกเรือ โจรสลัด และพ่อค้าที่ดำรงชีวิตในทะเลเป็นเวลานานจึงหวาดกลัวต่อเทพวายุสลาตันโดยมิอาจขัดขืน บ้างมาก บ้างน้อย แตกต่างกันไป…
ไคลน์แอบถอนหายใจ
แม้จะไม่เชื่อว่าพายุลูกนี้สามารถจมเรือโดยสารพลังเครื่องจักรไอน้ำลงได้ แต่มันก็ไม่คิดประมาท พึมพำคำสวดวิงวอนไปยังเทพสมุทร คาเวทูว่า หนึ่งในตัวตนของตัวเอง
ไคลน์กังวลว่า ขณะพายุกำลังโหมกระหน่ำ ลูกเต๋าความน่าจะเป็นอาจเกิดคลั่งขึ้นมา เปลี่ยนตัวเองกลายเป็นหนึ่งแต้มและจมเรือลงก้มทะเล ดังนั้น ความรอบคอบคือสิ่งจำเป็น
ชายหนุ่มไม่เคลือบแคลงคำอธิบายของอสรพิษแห่งชะตา วิล·อัสติน ที่บอกว่าลูกเต๋าความน่าจะเป็นจะเชื่องนานเวลาสิบสองชั่วโมงหลังจากถูกข่มขู่ครั้งแรก แต่นั่นคือในกรณีทั่วไป
ในเมื่อลูกเต๋าความน่าจะเป็นคือสมบัติปิดผนึกที่มีสัญญาณชีพ ก็ควรประเมินพฤติกรรมของมันให้เหมือนกับมนุษย์ มิใช่สิ่งของที่จะทำตามกฎและกลไกเพียงอย่างเดียว ต้องคอยระวังการฉวยโอกาสจากอีกฝ่าย…
มองไปยังดัควีลล์และนกฮูกที่เผยสีหน้ากระวนกระวายเนื่องจากพายุ ไคลน์กล่าวเสียงเรียบ
“ฉันจะเข้าไปพัก พวกนายคอยจับตามองลูกเต๋าไว้ ผลัดเวรกันให้ดี ห้ามประมาทเด็ดขาด”
“ตกลง” เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินเข้าห้องนอนใหญ่ ดัควีลล์ตรงไปทางโต๊ะกาแฟ ทิ้งตัวนั่งลง ซักถามนกฮูกแฮร์รี่พลางจ้องลูกเต๋าสีขาว “กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่”
แฮร์รี่บินไปรอบห้อง ส่งเสียงพึมพำ
“ทำไมข้าถึงไม่เกิดมาเป็นนกทะเล”
ภายในห้องนอนใหญ่ ไคลน์ส่งตัวเองเข้าสู่มิติหมอก โบกมือเสกคทาเทพสมุทรจากกองขยะ
ชายหนุ่มใช้มือหยิบคทาสั้นที่มีอัญมณีสีน้ำเงินเลี่ยมตรงหัว ตอบสนองต่อคำวิงวอนของตัวเองอย่างรวดเร็ว
ไคลน์มิได้สิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปกับการเสกให้พายุหายไป เนื่องจากเรือของตนยังแล่นไม่พ้นจากน่านน้ำหมู่เกาะรอสต์ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่โฉ่งฉ่างเช่นนี้อาจดึงดูดความสนใจจาก ‘เจ้าสมุทร’ แยนน์·ค็อตแมน หรือไม่ก็นักบวชของโบสถ์วายุสลาตันที่โดยสารอยู่บนเรือ
ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลก็คือ มันต้องการถนอมพลังวิญญาณไว้คอยระวังลูกเต๋าความน่าจะเป็น
ไคลน์ลงมือไม่ซับซ้อน เพียงใช้คำอวยพรบางประการกับเรือ ทำให้มันสามารถแล่นท่ามกลางพายุได้โดยไม่พลิกคว่ำ
สำหรับผู้วิเศษลำดับ 5 และหกที่ยังอยู่ห่างจากครึ่งเทพ หากต้องการส่งอิทธิพลต่อผู้คนในขอบเขตกว้างเท่ากับเรือโดยสาร ก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นเวลานาน และทำกระทำผ่านพิธีกรรมซับซ้อน ต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณเกือบทั้งหมดในคราวเดียว สรุปโดยสั้นคือ ไม่ใช่ครึ่งเทพก็สามารถทำได้ แต่จะยากและวุ่นวายเป็นอย่างมาก
ในทางกลับกัน หากเป็นพลังอำนาจของเทพสมุทร สิ่งนี้นับว่าง่ายดายประหนึ่งพลิกฝ่ามือ
“ก็ครึ่งเทพมีเศษเสี้ยวพลังของเทพนี่นะ…” ไคลน์ถอนหายใจยาว โยนคทาเทพสมุทรกลับไปยังกองขยะ หายตัวไปจากสายหมอกสีเทาอย่างเงียบงัน
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน เรือแล่นไปตามคลื่นน้ำอย่างสงบนิ่ง มีขึ้นบ้างลงบ้าง คล้ายกับใบไม้ลอยอยู่บนผิวน้ำ โดยไม่ว่า ‘หน้าผา’ สองฝั่งจะน่ากลัวสักเพียงใด แต่เรือก็ยังแล่นฝ่าไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งพายุสงบลง
…
เช้าวันพฤหัสบดี ถนนวิลเลียมส์
ฟอร์ส·วอลล์มาเยือนที่นี่อีกครั้งด้วยรถม้า
เธอมิได้นั่งในร้านกาแฟเหมือนเคย แต่เลือกเดินไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน สำรวจสิ่งก่อสร้างและผู้คนรอบตัวเป็นระยะ บางครั้งบางคราวก็จดบันทึกลักษณ์เด่นของผู้คน เตรียมไว้ใช้ในนิยายของตัวเอง
ชาวต่างชาติเต็มไปหมด… ยังคงมีแต่ฟุซัคและอินทิสเป็นส่วนใหญ่เหมือนเดิม ฮุฮุ ฝั่งหนึ่งตัวใหญ่เหมือนหมี ท่าทางป่าเถื่อน ส่วนอีกฝั่งเหมือนกับนกยูงผยองพองขน…
ฟอร์สพึมพำในลำคอ
จนกระทั่ง หญิงสาวเดินมาถึง ณ กึ่งกลางถนนวิลเลียมส์ ที่นี่มีห้องสวดมนต์ร้างแห่งหนึ่ง ภายนอกปกคลุมด้วยซากเถาวัลย์แห้ง ก้อนหินสีเทากระจัดกระจายเต็มพื้น
ฟอร์สคิดว่าตนควรทำงานให้คุ้มกับค่าจ้างของเดอะเวิร์ล จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ สำรวจความผิดปรกติภายนอกเป็นอันดับแรก
หลังจากเดินวนครบหนึ่งรอบ หญิงสาวยังไม่พบความผิดปรกติ
ถัดมา เธอย่างกรายเข้าไปข้างใน คอยระวังมิให้ตัวเองเหยียบลงบนสิ่งปฏิกูลและเศษขยะอันน่ารังเกียจ สายตารีบกวาดสำรวจทุกซอกมุมอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น หญิงสาวสะดุดเข้ากับบางสิ่งจนต้องขมวดคิ้ว
พื้นดินตรงมุมหนึ่งของห้องเกิดการยุบตัวเล็กน้อย คล้ายกับใครบางคนพยายามขุดดินด้วยมือ กระทั่งรอยนิ้วก็ยังเหลือทิ้งไว้อย่างเด่นชัด!
นี่คือความไม่ปรกติ… ใช่ไหม…
ฟอร์สเดินกลับออกมาอย่างระมัดระวัง ไม่มีการตรวจสอบเพิ่มเติมโดยไม่จำเป็น
หลังจากเดินไปจนสุดเส้นถนนวิลเลียมส์ หญิงสาวตรงกลับบ้านทันที เรียบเรียงความผิดปรกติและวัตถุดิบสำหรับเขียนนิยายลงบนกระดาษแผ่นใหม่เพื่อให้อ่านง่าย จากนั้นก็ประกอบพิธีกรรมสังเวยถึงมิสเตอร์ฟูล รบกวนให้อีกฝ่ายส่งต่อไปยังเดอะเวิร์ล
ฟอร์สเล่าทุกสิ่งที่เห็นโดยไม่ปิดบัง แม้บางเรื่องอาจดูเหมือนไร้สาระ แต่เธอก็มิได้ด่วนตัดสินเอาเองอย่างโง่เขลา ปล่อยให้เดอะเวิร์ลไปพิจารณาเอาเอง
…
เหนือสายหมอก ภายในวังโบราณ
ไคลน์ก้มหน้าอ่านรายงานจากมิสเมจิกเชี่ยน
มีร่องรอยการขุดดินภายในห้องสวดมนต์ร้างกลางถนนวิลเลียมส์? เรากับมาดามชารอนกลบร่องรอยไปแล้วไม่ใช่หรือ… มีใครบางคนพยายามขุดกลับลงไปใหม่? หรือจะเป็นราฟเตอร์·พาวน์ ลูกหลานตระกูลทูดอร์คนนั้น?
แต่มันเคยเกือบตายเพราะถูกวิญญาณมารสิงร่างมาแล้วครั้งหนึ่ง หากไม่มีผู้ช่วย เกรงว่าคงไม่กล้าลองดีอีกรอบแน่…
“ยังจะเป็นใครไปได้อีก…” ไคลน์ครุ่นคิดเป็นเวลานาน แต่ก็ยังมิอาจระบุตัวผู้ต้องสงสัย
มันก้มหน้าอ่านรายงานส่วนถัดไป
เมื่อยิ่งอ่านรายงานที่ถูกเขียนอย่างประณีต ชายหนุ่มเริ่มพบความผิดปรกติที่เด่นชัด
“บนถนนวิลเลียมส์เต็มไปด้วยชาวต่างชาติ โดยส่วนมากมักเป็นฟุซัคและอินทิส… ฟังดูไม่เหมือนกับถนนวิลเลียมส์ที่เราเคยไปเยือนเมื่อหลายเดือนก่อน… แถวนั้นมีบริษัทของฟุซัคและอินทิสมาเปิดใหม่หรือไง ฟุซัค… อินทิส…”
ไคลน์เคี้ยวคำงึมงำ ทันใดนั้นก็ฉุกคิดบางสิ่งได้อย่างกะทันหัน
นั่นก็คือ ไม่ว่าจะตระกูลไอน์ฮอร์นที่เป็นราชวงศ์ของจักรวรรดิฟุซัค หรือตระกูลเซารอนที่เป็นอดีตราชวงศ์ของสาธารณรัฐอินทิส พวกมันต่างครอบครองเส้นทาง ‘นักล่า’ หรืออีกชื่อหนึ่งคือเส้นทาง ‘นักบวชสีชาด’ เป็นเลือดของสองในสามตระกูลที่วิญญาณมารต้องการนำไปปลดผนึกให้ตัวเอง!
เมื่อรวมเข้ากับลูกหลานตระกูลเมดีซีที่ถูกทำลายไปบนเกาะแบนชี สามตระกูลใหญ่ที่ครอบครองเส้นทาง ‘นักบวชสีชาด’ ล้วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ทั้งหมด!
“หมายความว่า การทำลายท่าเรือแบนชีจนราบเป็นหน้ากลอง ส่งผลให้ตะกอนพลังของตระกูลเมดีซีกลับมารวมตัวกับวิญญาณมารที่น่าจะเป็น ‘เทวทูตสีชาด’ ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ความเข้มข้นของตะกอนพลังในตัวมันเพิ่มสูงขึ้น จนถึงขั้นดึงดูดคนของตระกูลเซารอนและไอน์ฮอร์นให้เข้ามาหา? ไม่สมเหตุสมผล… ถ้าคนของโบสถ์วายุสลาตันไม่พบตะกอนพลังในจุดเกิดเหตุ พวกมันก็ต้องเอะใจบ้าง และพบความผิดปรกติที่เกิดขึ้นบนถนนวิลเลียมส์ คงเป็นเหตุผลอื่น… หรือว่าวิญญาณมารในซากอาคารใต้ดินโบราณ จะให้บอกใครบางคนช่วยดึงดูดคนของตระกูลไอน์ฮอร์นและเซารอนมารวมตัวกัน? แล้วเป็นใคร… มีเพียงไม่กี่คนที่ทราบเรื่องวิญญาณมารตนนั้น… แค่เรา และมาดามชารอน…”
ครุ่นคิดมาถึงจุดนี้ ไคลน์พบความเป็นไปได้อีกหนึ่งทาง
นั่นคือราฟเตอร์·พาวน์ ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลทูดอร์ที่เคยถูกวิญญาณมารครอบงำ
ชายคนนั้นอาจกลายเป็นทาสรับใช้ให้วิญญาณมารโดยไม่รู้ตัว และแอบแพร่กระจายข่าวของมันออกไป!
“ในตอนนั้น วิญญาณมารแสร้งขอความช่วยเหลือจากมาดามชารอนและเรา เพียงเพื่อให้พวกเราตายใจว่ามันไม่มีคนอื่นอีกแล้ว! แต่ในความเป็นจริง ลับหลังมันแอบบังคับให้ทายาทของตัวเองเสี่ยงเผยแพร่ความลับ!”
ไคลน์พลันตะลึง เพิ่งตระหนักว่าตนถูกวิญญาณมารปั่นหัวมาตลอด
……………………