ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ตอนที่ 649
Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 649 : อารามสีดำ
ราชันเร้นลับ 649 : อารามสีดำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ความฝันที่ทุกคนมีร่วมกัน? ไคลน์ทวนซ้ำคำพูดแคทลียา พลเรือเอกดวงดาว ภายในใจเริ่มตระหนักถึงสถานการณ์เบื้องต้นในปัจจุบัน
ค่ำคืนบนท้องทะเลแห่งนี้จะเชื่อมความฝันของทุกสิ่งมีชีวิตเข้าด้วยกัน!
และหากมีสิ่งมีชีวิตใดมิได้หลับใหลในช่วงเวลาดังกล่าว วิญญาณจะไม่ถูกปกป้องอยู่ในดินแดนความฝัน ส่งผลให้ถูกลอบโจมตีจากศัตรูลึกลับไร้ที่มา
ส่วนเรื่องที่ว่า เหตุใดการโจมตีในลักษณะดังกล่าวถึงทำให้ร่างกายหายไป แทนที่จะตายและกลายเป็นศพให้เห็น ไคลน์ผู้ยังไม่มีประสบการณ์โดยตรง ย่อมมิอาจเดาสุ่มได้ถูกต้อง
ขณะความคิดกำลังว้าวุ่น ไคลน์ถอนสายตาออกจากแคทลียา และจ้องไปยังทิศทางของเมืองอันงดงามฝั่งตรงข้ามหน้าผา ภายในใจเริ่มผุดคำถาม
หากโลกนี้เชื่อมต่อกับความฝันของทุกสิ่งมีชีวิตจริง… เมืองหรูหราฝั่งตรงข้ามเกิดจากจินตนาการหรือความฝันของใครกัน?
มันเพ่งมองต่อไปราวสองสามวินาที ก่อนจะซักถาม
“นั่นคือเมืองอะไร”
เมืองที่งดงามและหรูหราใกล้เคียงตำนานปรัมปราแห่งนี้จะชื่อว่าอะไรกันแน่
พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา มองตรงไปด้านหน้าพร้อมกับกล่าวเสียงล่องลอย
“ฉันไม่ทราบ… ถึงจะได้เห็นทุกครั้งที่ได้เข้ามาในความฝัน แต่ฉันก็ไม่เคยมีโอกาสเข้าไปใกล้… ท่านเคยกล่าวไว้ว่า สิ่งนี้คล้ายกับบรมมหาราชวังสนธยาของฟุซัค… ท่านน่าจะมีคำตอบในใจอยู่แล้ว แต่ไม่เคยบอกกับฉัน”
ท่าน? ราชินีเงื่อนงำ? บรมมหาราชวังสนธยาคือสถานที่พำนักของเทพสงคราม… ไคลน์มองไปรอบตัวพลางกล่าวต่อหลังจากใคร่ครวญ
“ผมจะไปสำรวจแถวนี้สักหน่อย”
มันเชื่อว่า ‘อนาคตกาล’ คงยังไม่ออกจากทะเลแห่งนี้เร็วนัก น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสค่ำคืนลึกลับอีกหลายหน เพื่อปกป้องตัวเองจากภัยคุกคามที่ไม่ทราบต้นตอ ตนต้องเร่งสำรวจและเก็บข้อมูลให้มากที่สุด
แน่นอน การสำรวจในจุดที่ไม่มีข้อมูล ยิ่งมีเพื่อนร่วมทางมากเท่าไรก็ยิ่งดี
แคทลียาตอบด้วยเสียงล่องลอยในท่านั่งชันเข่าเช่นเดิม
“ฉันไม่สน”
“…”
คำตอบเช่นนี้มิใช่สิ่งที่พลเรือเอกซึ่งมีวุฒิภาวะสูงพึ่งกระทำ อย่างน้อยถึงจะปฏิเสธ ก็ควรสุขุมและอ่อนโยนสักหน่อย ดูคล้ายกับมาดามเฮอร์มิทเป็นเพียงเด็กผู้หญิงเอาแต่ใจ… ไคลน์ชะงักเล็กน้อยเนื่องจากไม่แน่ใจว่า ตนได้ยินคำตอบของเธอผิดไปหรือไม่ พลเรือเอกดวงดาวในปัจจุบันค่อนข้างแตกต่างจากมาดามเฮอร์มิทที่มันรู้จัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อไคลน์ตระหนักว่า ขณะทำหน้าที่อาสาสมัคร เกอร์มัน·สแปร์โรว์เคยต้องข่มความรู้สึกสะอิดสะเอียนต่อสิ่งสกปรกเอาไว้เป็นบางเวลา มันผุดสมมติฐานใหม่ขึ้นมาหนึ่งข้อ
บางที ‘เฮอร์มิท’ แคทลียา คงมิอาจครองสติได้สมบูรณ์ในความฝัน เธอทราบเพียงว่าตัวเองกำลังฝัน แต่มิอาจควบคุมร่างกายได้ตามใจนึกคิด!
หรือก็คือ พลเรือเอกดวงดาวเผลอแสดงนิสัยและความรู้สึกในส่วนลึกที่คอยข่มไว้เป็นเวลานาน ออกมาให้ไคลน์เห็นโดยไม่รู้ตัว
เข้าใจแล้ว… สาเหตุที่เธอพูดว่า ตนไม่เคยไปถึงเมืองฝั่งตรงข้ามเลยสักครั้ง เป็นเพราะเธอมิอาจควบคุมร่างกายในความฝันแห่งนี้… ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนตั้งคำถาม
“พวกเราอาจได้พบสิ่งที่น่าสนใจก็ได้”
“ไม่ไป” แคทลียามอบคำตอบโดยปราศจากความลังเล แต่ก็ไม่ถึงขั้นส่ายหน้า “ฉันจะรอที่นี่! ไม่ทำอะไรทั้งนั้น!”
เป็นอย่างที่คิด เธอตื่นไม่สมบูรณ์… ไคลน์ประเมินจากน้ำเสียงและอากัปกิริยาของอีกฝ่าย
โดยไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำ ชายหนุ่มกระโดดลงจากก้อนหินใหญ่
กึก!
เมื่อฝ่าเท้าสัมผัสพื้น ไคลน์มองกลับไปด้านหลัง
‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียา ยังคงนั่งในท่ากอดเข่าโดยไม่มีใครในละแวกใกล้เคียง
สายลมแผ่วเบาจากภูเขาพัดผ่าน เงาดำสะบัดพลิ้วอย่างอ่อนโยน แต่แคทลียายังไม่ขยับเขยื้อนร่างกายแม้แต่น้อย คล้ายกับกำลังนั่งรอบางสิ่งอย่างดื้อรั้น
คงมีแต่ ‘นักจิตบำบัด’ เท่านั้นที่สามารถตีความอาการในปัจจุบันของเธอได้ เรื่องนี้แตกต่างจากวิวรณ์ที่ได้รับจากการทำนาย… ไคลน์ยกมุมปากพลางกวาดตาไปรอบตัว ภายในใจกำลังพิจารณาว่าควรสำรวจทิศทางใดก่อน
มันพบว่า ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวา เกือบทุกทิศล้วนรายล้อมด้วยอารามสีดำสนิท รอบขอบหน้าผามีกำแพงสูงปิดกั้นมิดชิด ไม่ว่าจะเดินไปทางใดก็ต้องผ่านอารามสีดำ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องกระโดดลงไปในก้นเหวของหน้าผา
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ไคลน์ตัดสินใจเดินตรงไปยังประตูสีดำของอารามลึกลับ
บานประตูสูงใหญ่กว่าสิบเมตร คล้ายกับไม่ได้สร้างมาเพื่อมนุษย์ ไคลน์ยืนจ้องนานสองสามวินาทีก่อนจะสูดลมหายใจยาวและเหยียดแขนออกไปผลัก
เกิดเสียงเสียดสีดังขึ้น บานประตูมีน้ำหนักมากกว่าที่มันคิดไว้ กล้ามเนื้อบนท่อนแขนชายหนุ่มเริ่มปูดโปน ใบหน้าแดงก่ำ จนแล้วจนรอด มันผลักเปิดเข้าไปไม่สำเร็จ ทำได้เพียงขยับเขยื้อนบานประตูเล็กน้อย
โชคยังดี ที่นี่คือดินแดนความฝัน ขอเพียงเชื่อว่าทำได้ เราสามารถเพิ่มพละกำลังได้โดยไม่ต้องใช้พลัง ‘ยุบพองหิวโหย’ ออกมาจริง ๆ … ไคลน์พ่นลมหายใจพร้อมกับเปลี่ยนถุงมือข้างซ้ายให้กลายเป็นสีซีด
เมื่อถุงมือกลายเป็นสีเขียว ชายหนุ่มได้รับพลัง ‘ซอมบี้’ มาครอบครองทันที มวลท่อนแขนท่อนขามีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ครืด!
เสียงเสียดสีดังหนักแน่น บานประตูบรรจงเปิดออกทีละนิดจนเผยให้เห็นทัศนียภาพด้านใน
ยอดหอคอยปลายแหลมสองต้น ถูกเชื่อมติดกับตัวอาคารสีดำด้วยสะพาน ทั้งหมดโอบล้อมจัตุรัสหินสีเทาอ่อนในจุดกึ่งกลาง
พื้นจัตุรัสมีลักษณะเป็นหลุมเป็นบ่อ บางจุดมีลูกศรขนาดยักษ์ปักอยู่ บางจุดมีคราบไหม้สีดำ คล้ายกับเคยผ่านการรบอันดุเดือดเมื่อในอดีต
ไคลน์เดินผ่านประตูเข้าไปจนถึงเขตจัตุรัส และค่อนข้างผิดคาด มันได้พบกับแฟรงค์·ลี นีน่า อ็อตโตลอฟ และพรรคพวกคนอื่นที่นี่
นี่ก็เป็นความฝันของพวกเขา? ไม่ใช่… หรือกำลังจะบอกว่า แต่ละคนต่างมีความฝันในแบบของตัวเอง และจะปรากฏตัวบนดินแดนแห่งนี้แบบสุ่ม? ไคลน์คาดเดาเลื่อนลอยโดยไม่มีหลักฐาน
แฟรงค์·ลีอยู่ใกล้ไคลน์มากที่สุด มันกำลังตักก้อนกรวดด้วยพลั่วยาวในมือ ใกล้กันมีขนมปังขาว ขนมปังปิ้ง ปลาทอด และอาหารประเภทอื่นที่กระจัดกระจายบนพื้น
กำลังจะปลูกบางสิ่งโดยใช้สิ่งเหล่านี้แทนปุ๋ย? แม้แต่ในฝันก็ยังห่วงแต่เรื่องเพาะปลูก… ไคลน์เดินเข้าไปใกล้และเอ่ยปากถาม
“กำลังทำอะไร”
แฟรงค์ยังคงไม่หยุดมือ เพียงเผยรอยยิ้ม
“ปลูกอะไรเล็กน้อย พวกเขาจำเป็นต้องนอนในดินสักพักก่อนจะเติบโตและขยายพันธุ์”
“ใช้ทำอะไรได้บ้าง” ไคลน์ซักถาม ทั้งกังวลและสงสัย
แฟรงค์ฉีกยิ้มกว้าง
“พวกเขาคือแบคทีเรียพันธุ์ผสม ช่วยให้วัวตัวผู้มีน้ำนม หากอาศัยเจ้านี่ พวกเราจะผลิตน้ำนมได้ในปริมาณที่สูงกว่าเดิม ผู้คนมากมายจะได้ดื่มนมคุณภาพดี”
เจ้าวัวที่น่าสงสาร… ใบหน้าไคลน์พลันกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ
“แล้วสำเร็จไหม”
“ผลลัพธ์เป็นไปตามที่คิดไว้ แต่เกรงว่า พวกมันคงขยายพันธุ์ไม่ได้อีกแล้ว” แฟรงค์ขมวดคิ้ว
ขอให้ยมทูตเมตตาพวกมัน… ไคลน์สวดวิงวอนพร้อมกับเดินผ่านแฟรงค์·ลี มุ่งหน้าไปยังทางเข้าอาคารสีดำฝั่งตรงข้ามกับจัตุรัส
ระหว่างทาง มันเดินผ่านนีน่าและต้นหนอ็อตโตลอฟ ที่กำลังดื่มเหล้าข้างซากต้นเสาหิน
“เธอเคยคิดจะออกจากกลุ่มโจรสลัดในตอนที่อายุมากขึ้นไหม? มองหาผู้ชายมาเป็นสามีและลงหลักปักฐานกับเขา ฉันไม่เชื่อว่าจะมีใครอยากใช้ชีวิตกลางทะเลไปตลอด” อ็อตโตลอฟซักถามพลางถอดหมวก เผยให้เห็นผมหงอกแซม
พิจารณาจากดวงตาและน้ำเสียงของอีกฝ่าย ไคลน์สามารถเดาความนัยแฝงได้ว่า : หากเธอต้องการ ฉันเองก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ
มิสเตอร์ต้นหน ด้วยอายุปูนนี้ คุณสามารถเป็นพ่อของนีน่าได้ด้วยซ้ำ น่าจะห่วงสุขภาพตัวเองก่อนนะ… ไคลน์ที่เดินผ่านและบังเอิญได้ยิน อดไม่ได้ที่จะรำพัน
นีน่ากระดกเครื่องดื่มพลางมองไปยังทิศทางหนึ่ง
“ไม่ นั่นไม่ใช่ชีวิตที่ฉันต้องการ…ก่อนจะเข้าร่วมกับพวกคุณ ฉันเคยลองลงหลักปักฐานที่ชายฝั่งตะวันออกของฟุซัคโดยไม่คิดจะหวนกลับมาเป็นโจรสลัดอีก แต่สุดท้ายก็ทนความเบื่อหน่ายไม่ไหว ทุกวันมีแต่งานตัดฟืนและยกของ แถมตอนกลางคืนก็ต้องอยู่แต่ในบ้าน ถูกห้ามมิให้ออกไปผับหรือล่าสัตว์ ชีวิตบัดซบเช่นนั้นดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าจะหยุดลง! และเหนือสิ่งอื่นใด ฉันต้องทนฟังเสียงนินทาอันน่ารังเกียจ ต้องทนใช้ชีวิตอยู่กับพวกน่าขยะแขยง ต้องคอยหวาดกลัวตำรวจทั้งที่อยากชกพวกมันให้หน้าแหก! การอยู่บนเรือดีกว่าเป็นไหน ๆ ถึงช่วงเวลาส่วนใหญ่จะน่าเบื่อ แต่ยังได้ท่องเที่ยวไปหลายที่ ได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น…หึหึ ถึงการฝึกเจ้าพวกนั้นให้เป็นโจรสลัดที่พอใช้ได้จะค่อนข้างน่าเบื่อไปสักนิด แต่ฉันก็บอกกับทุกคนเสมอว่า หากใครฝึกได้ดีที่สุดในแต่ละเดือน จะมีโอกาสค้างคืนที่ห้องของฉัน หลังจากนั้น ฉันจะเฝ้ามองพวกเขาเผยสีหน้าตื่นเต้นขณะค่อย ๆ ถูกทรมาน แน่นอน การค้างคืนกับการมีเพศสัมพันธ์นั้นไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของฉันในตอนนั้น”
สมกับเป็นโจรสลัดหญิง… ทุกคนย่อมมีความปรารถนาแตกต่างกัน… ไคลน์แสดงความเห็นอย่างเป็นกลาง ไม่ตีตราว่าความเชื่อของนีน่านั้นผิด
เราจะไม่ก้าวก่ายเส้นทางที่เธอเลือก แต่ถ้าได้เห็นพฤติกรรมต่ำทรามอย่างการฆ่าคนบริสุทธิ์หรือเผาบ้านปล้น ครั้งหน้าที่ได้พบกัน เราจะนำหัวของเธอไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินก้อนโต…
ทันใดนั้น มันหันไปยังมุมห้องตามจิตใต้สำนึก หากมองผิวเผิน เงามืดในจุดดังกล่าวจะไม่มีสิ่งผิดปรกติใด แต่ไคลน์กลับสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดา
‘ผู้ไร้เลือด’ ฮีธ·ดอยล์? กระทั่งในความฝันก็ยังเอาแต่ซ่อนตัวในมุมมืด? จากความรู้ด้านจิตวิทยาอันน้อยนิดของเรา นี่คือพฤติกรรมที่บ่งบอกว่า เขากำลังรู้สึกไม่ปลอดภัย… ไคลน์ครุ่นคิดพลางออกแรงผลักประตูสูงเกือบสิบเมตรบานใหม่
ท่ามกลางเสียงเสียดสี ดวงตาของมันพลันชะงัก
ด้านหลังประตูทางเข้าคือโถงใหญ่ที่มีแนวต้นเสาหินเรียงรายสองข้างทาง
ภายในโถงปราศจากเทียนไข ส่งผลให้บรรยากาศมืดสนิท แต่เมื่อประตูทางเข้าถูกเปิดออก แสงจากด้านนอกจึงส่องเข้าไป
บนกำแพงและหลังคาโดม ไคลน์พบจิตรกรรมฝาผนังหลากสีสัน โดยมากมักเป็นสีทอง ทั้งหมดเชื่อมติดกันโดยไม่เว้นช่องว่าง มอบความรู้สึกยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์จนเกินพรรณนา
ปึก! ปึก! ปึก!
คนผู้หนึ่งที่กำลังหันหลังให้ไคลน์ ใช้ขวานในมือสับใส่ไม้ท่อนใหญ่ จุดประสงค์ของการกระทำยังไม่แน่ชัด
บุคคลดังกล่าวสวมเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีดำ ไม่เหมือนกับโจรสลัดคนใดบนเรือ
นอกจากพวกเรา ทะเลแห่งนี้ยังมีคนอื่น? หรือจะเป็นเจ้าของดวงตาลึกลับที่แอบมองเราบนดาดฟ้าเรือ? ไคลน์พลันชะงักด้วยสีหน้าสับสน ก่อนจะบรรจงย่างกรายเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างเชื่องช้าและระมัดระวัง จนกระทั่งมองเห็นอย่างชัดเจน
อีกฝ่ายเป็นบุรุษหน้าตาดี ผมสีทองสั้นหวีแสกด้วยอัตราสามต่อเจ็ด ดวงตาสีเขียวขึงขังจริงจัง
“คุณกำลังทำอะไร แล้วที่นี่คือที่ไหน” ไคลน์ถามหลังจากใคร่ครวญ
อาศัยสัญชาตญาณ มันเชื่อว่าบุรุษผู้นี้ไม่ใช่เจ้าของดวงตาลึกลับบนเรือ
บุรุษผมทองยกมือขึ้นจับติ่งหู มอบคำตอบโดยไม่หันหน้ามอง
“ถามไปทำไม? เรือของฉันจมไปแล้ว ตอนนี้ต้องรีบสร้างเรือบดขึ้นมาใหม่ ไม่ว่างคุณกับนายหรอกนะ”
“…” ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนถามต่อ
“แล้วคุณเป็นใคร”
“ฉันเป็นใคร? ฉันคือแอนเดอร์สันผู้โชคร้าย นับตั้งแต่ได้เห็นจิตรกรรมฝาผนังนั่น ชีวิตของฉันก็ถูกสาปด้วยความซวยมาตลอด” บุรุษผมทองชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่ง
ไคลน์มองตามและพบกับภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ภาพดังกล่าวเป็นทะเลเพลิงที่ตรงกลางแหวกออกจากกันจนดูคล้ายทางเดิน
บนทางเดินมีผู้คนจำนวนมากต่อแถวเรียงราย บ้างกำลังก้มศีรษะต่ำด้วยสีหน้าเปี่ยมศรัทธา บ้างกำลังคุกเข่าสวดวิงวอน จุดหมายปลายทางร่วมกันคือส่วนลึกของทะเลเพลิง
ผู้นำคณะแสวงบุญเป็นชายรูปร่างผอมสูง ผมสีเงินยาว ใบหน้าอ่อนโยน ดวงตาปิดสนิท บนแผ่นหลังมีปีกซ้อนกันหลายชั้น
นี่มัน… รูม่านตาไคลน์พลันหดลีบ
มันรู้จักผู้นำของคณะจาริกแสวงบุญในภาพ!
‘เทวทูตโชคชะตา’ จากคำบอกเล่าของเดอะซัน!
ผู้กลืนหาง โอโรโบรอส!
……………………