ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ตอนที่ 746
Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 746 : ในคืนเดียวกัน
ราชันเร้นลับ 746 : ในคืนเดียวกัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากได้ยินคำพูดของแฮงแมน ไคลน์อดไม่ได้ที่จะนึกถึง ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซีอีกครั้ง รวมไปถึงวิญญาณมารในซากอาคารใต้ดิน
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มไม่ได้แบ่งปันผลการสำรวจให้สมาชิกทราบ ประการแรก เรื่องนั้นไม่มีความจำเป็น และประการที่สอง ข้อมูลดังกล่าวเกี่ยวข้องกับชารอน
สำหรับสมาชิกคนอื่น ทุกคนได้ทราบข่าวคราวความพินาศของท่าเรือแบนชีไปแล้วในสัปดาห์ก่อน ข้อมูลของแฮงแมนจึงไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครตอบสนอง
เมื่อเห็นทุกคนเงียบ อัลเจอร์ชำเลือง ‘เดอะเวิร์ล’ ก่อนจะดึงสายตากลับ กล่าวอย่างใจเย็น
“ของผมจบแค่นี้”
‘เฮอร์มิท’ แคทลียารีบหันไปมอง ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์ส
“คุณผู้หญิง คุณรู้อะไรเกี่ยวกับมิสเตอร์ประตูบ้าง? ฉันยินดีจ่ายค่าตอบแทนอย่างเหมาะสม”
ฟอร์สที่ไม่อยากเปิดเผยปัญหาของตัวเองสักเท่าไร เริ่มหลังลังเลเมื่อได้ยินประโยคหลัง นั่นเป็นคำขอร้องที่ยากปฏิเสธ
ค่าตอบแทน… เราไม่รู้ว่ามาดามเฮอร์มิทจะจ่ายหนักแค่ไหน… และเราก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับมิสเตอร์ประตูมากนัก… บางส่วนมาจากคำบอกเล่าของมิสเตอร์ฟูล… ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สมองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว
“มิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ดิฉันเล่าได้ไหมคะ?”
เนื่องจากคนทั้งสองมีโอกาสได้พบกันในทุกคืนจันทร์เต็มดวง ไคลน์จึงทราบว่าสภาวะทางการเงินของมิสเมจิกเชี่ยนไม่สู้ดีนัก จึงยิ้มและพยักหน้า
“เชิญ”
ฟอร์สถอนหายใจโล่งอก หันไปทาง ‘เฮอร์มิท’ แคทลียา
“ห้าร้อยปอนด์ ฉันจะขอให้มิสเตอร์ฟูลช่วยสร้างการสนทนาส่วนตัว”
แคทลียาไม่ต่อรอง ไตร่ตรองสักพักและกล่าว
“ไม่จำเป็น คุณเล่าได้เลย”
เธออยากให้สมาชิกคนอื่นได้ยินคำบอกเล่าจากมิสเมจิกเชี่ยน เพราะอาจมีใครสักคนฉุกคิดถึงเบาะแสของมิสเตอร์ประตูได้เพิ่มเติม
ฟอร์สพยักหน้า เรียบเรียงคำพูดสักพัก
“ครั้งหนึ่งฉันเคยได้รับสมบัติวิเศษที่ช่วยให้ผู้คนเดินทางผ่านโลกวิญญาณ แต่หลังจากการใช้งานไปหนึ่งครั้ง เมื่อใดก็ตามที่พระจันทร์เต็มดวงหรือกลายเป็นจันทราโลหิต ฉันจะได้ยินเสียงเพรียกแปลกประหลาดซึ่งทำให้เกิดความเจ็บปวดแสนสาหัสจนแทบจะคลุ้มคลั่ง… จากคำบอกเล่าของมิสเตอร์ฟูล เสียงเพรียกเหล่านั้นเป็นของมิสเตอร์ประตู”
หญิงสาวเว้นวรรค กล่าวเสริม
“เขาคงกำลังขอความช่วยเหลือ”
ความจริงแล้ว ฟอร์สแอบทุกข์ทรมานอย่างลับๆ มาตลอด… แต่เธอไม่เคยแสดงออกในยามปรกติ ทำตัวสนุกสนานกับชีวิต… ‘จัสติส’ ออเดรย์เกิดความเห็นอกเห็นใจโดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกัน พลังผู้ชมของเธอไม่พบความผิดปรกติในคำพูดอีกฝ่าย
สมบัติวิเศษที่ช่วยให้สามารถท่องโลกวิญญาณ… เสียงเพรียกในยามพระจันทร์เต็มดวง… คาดว่าน่าจะเป็นการร้องขอความช่วยเหลือ… ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาทบทวนใจความสำคัญของเมจิกเชี่ยน พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ขอบคุณสำหรับคำอธิบาย”
จากนั้น สายตาของเธอกวาดไปทางสมาชิกคนอื่นๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครตอบสนองเพิ่มเติม
ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระดำเนินต่อไปจนกระทั่งจบลงอย่างราบรื่น
หลังจากเฝ้ามองสมาชิกจากไปทีละคน และช่วยให้บางคนบรรลุการแลกเปลี่ยนสินค้า ไคลน์ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง นั่งบนเก้าอี้เอนหลังด้วยสีหน้าผ่อนคลาย แน่นิ่งไปพักใหญ่
จากนั้น ชายหนุ่มเดินไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ นำกระดาษและปากกาออกมาวาง เขียนถึงชารอน บอกอีกฝ่ายว่าสร้อยคอนำโชคถูกขายออกไปแล้ว เหลือเพียงขวดพิษชีวภาพและตะกอนพลังของ ‘คนบ้า’
พับกระดาษเสร็จ หลังจากเขียนข้อมูลถึงมาดามมาเรีย บ้านเลขที่ 126 ถนนการ์ด เขตฮิลสตัน ไคลน์เปิดกล่องบุหรี่เหล็ก ปล่อยให้ ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลปรากฏตัวด้านข้างอย่างเงียบงัน
วิญญาณอาฆาตตนนี้ทำตัวราวกับคนรับใช้ หยิบจดหมายจากบนโต๊ะอย่างสุภาพ หายตัวไปจากห้อง
ณ ตู้ไปรษณีย์ที่ห่างออกไปไม่กี่ช่วงตึก จดหมายฉบับหนึ่งโผล่ขึ้นจากอากาศอันว่างเปล่า ตกลงไปยังก้นตู้
…
แคว้นเชสเตอร์ตะวันออก ภายในปราสาทตระกูลฮอลล์
ออเดรย์จ้องกระจกเงาด้วยสายตาเหม่อลอย สิ่งที่กำลังก้องกังวานในใจคือเนื้อหาของ ‘หนังสือแห่งความลับ’
ความรู้จำนวนมากถูกอัดแน่นอยู่ในหนังสือมายา หากออเดรย์ต้องการ เพียงแค่เธอนึกถึง หนังสือจะปรากฏตัวขึ้นและเปิดไปยังหน้าที่สอดคล้องกัน
ไคลน์ได้ระดมพลังบางส่วนของมิติหมอก ควบแน่นกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากพลัง ‘เรียกความทรงจำ’ ของ ‘นักทำนาย’ และพลังในการ ‘โอนถ่ายข้อมูล’ ของพิธีกรรม หนังสือมายาเล่มนี้มีอายุการใช้งานราวสองสัปดาห์
ในช่วงเวลาดังกล่าว ออเดรย์สามารถอ่าน ‘หนังสือแห่งความลับ’ จนจบได้ไม่ยาก และถ้าในภายหลังเกิดหลงลืมส่วนใดไป เธอก็แค่สวดวิงวอนถึงเดอะฟูล
“ดูเหมือนว่า มิสเตอร์ฟูลจะฟื้นตัวได้เร็วมาก…” ออเดรย์ครุ่นคิดด้วยสีหน้ายินดี ดวงตาเริ่มคืนความสดใส
หญิงสาวลุกขึ้น เดินตรงไปที่ประตู ยิ้มให้กับสุนัขโกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่ซึ่งนั่งอยู่นอกห้องด้วยท่าทางเบื่อหน่าย
“ซูซี่ ในท่านี้ เธอยังเป็นกุลสตรีไม่มากพอ”
ซูซี่เหลียวซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง ฟุดฟิดจมูกเล็กน้อยก่อนจะพูด
“นี่เป็นท่าพื้นฐานของสุนัขล่าเนื้อ”
แต่เธอเป็นสุนัขล่าเนื้อตกเกรดนะ… ออเดรย์รำพันติดตลก พูดพลางยิ้ม
“ฉันนึกว่าเธอจะตอบว่า ออเดรย์ ฉันเป็นแค่สุนัข~ เสียอีก”
ซูซี่ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“คำพูดที่จำเจเกินไป จะทำให้ผู้อื่นคาดเดาอุปนิสัยและพฤติกรรมทางจิตวิทยาของเราได้ง่าย… ออเดรย์ เรื่องพวกนี้ถูกเขียนไว้ในหนังสือจิตวิทยาของเธอ”
ออเดรย์หมดคำจะกล่าวไปชั่วขณะ แต่ทันใดนั้น เธอเห็นบิดาของตน เอิร์ลฮอลล์ พร้อมกับบุรุษรับใช้และคนรับใช้ เดินขึ้นมายังบันไดปราสาท
ทั้งที่มีแสงแดดส่องเข้ามาจากด้านนอก แต่บรรยากาศของที่นี่ยังค่อนข้างมืดมน ต้องติดตั้งเชิงเทียนเพื่อคอยให้ความสว่างตามขั้นบันได
“ปราสาทหลังนี้เก่าเกินไปแล้ว… สงสัยต้องมีการบูรณะครั้งใหญ่” เอิร์ลฮอลล์บ่นกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง
ออเดรย์พยักหน้ารับอย่างสงวนกิริยา
“ใช่ค่ะ ท่านเอิร์ลที่รัก นั่นคือเหตุผลที่หนูไม่ชอบปราสาทหลังนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับค่อยๆ พังลงทีละนิด”
“แต่ในความเป็นจริง พ่อใช้เงินปีละหนึ่งหมื่นสามพันปอนด์เพื่อซ่อมแซมที่นี่” เอิร์ลฮอลล์เล่าพลางยิ้ม
ออเดรย์ชำเลืองซูซี่ ก่อนจะหันไปยิ้มให้พ่อ
“คุณพ่อ มาหาหนูคราวนี้มีอะไรหรือ”
เอิร์ลฮอลล์ชี้ไปที่กระดาษในมือคนรับใช้และพูด
“โทรเลขจากเบ็คลันด์ มีคนต้องการขายหุ้นบริษัทจักรยานจำนวนสิบเปอร์เซ็นต์ ลูกสนใจไหม? พ่อคิดว่าอุตสาหกรรมนี้มีอนาคตสดใสมาก มูลค่ายังห่างไกลจากจุดที่สูงที่สุด”
“จักรยาน?” ออเดรย์ไม่คุ้นเคยกับคำนี้ หรี่ตาลงด้วยสีหน้าสับสน
เอิร์ลฮอลล์ยิ้มและมองหน้าบุตรสาว
“มีสองล้อ เป็นยานพาหนะสำหรับให้คนนั่ง หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ รถม้าของสามัญชน… ในโลเอ็นและกรุงเบ็คลันด์ ประชากรส่วนใหญ่ไม่ใช่ขุนนาง ไม่ใช่นักธุรกิจ แต่เป็นสามัญชนที่ไปทำงานด้วยตัวเอง ส่วนกลุ่มประชากรอันดับสองคือแรงงานชำนาญการที่มีรายได้ค่อนข้างสูง นี่คือกลุ่มเป้าหมายหลักของจักรยาน พวกเขามีจำนวนมากและมีกำลังซื้อเพียงพอ ต่อให้มีคนจากกลุ่มนี้สนใจจักรยานเพียงหนึ่งในสิบ แต่ก็มากพอจะทำให้ธุรกิจจักรยานเติบโตอย่างก้าวกระโดด… อา… นอกจากนั้น พวกเขายังถือสิทธิบัตรอย่างถูกต้อง”
ออเดรย์เชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของบิดา หลังจากพยายามทำความเข้าใจกับรายละเอียดที่เอิร์ลฮอลล์ป้อนให้ หญิงสาวพยักหน้า
“หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์มีมูลค่าเท่าไรหรือคะ”
“จากการตรวจสอบเบื้องต้น บริษัทเบ็คลันด์จักรยานมีมูลค่าในปัจจุบันอยู่ที่ห้าหมื่นปอนด์เท่านั้น เนื่องจากกระบวนการทางโฆษณาและการขายยังต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะเข้าถึงคนหมู่มาก ดังนั้น ทางเราไม่สามารถประเมินตรงๆ ว่าหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์จะมีมูลค่าเพียงห้าพันปอนด์ พ่อแนะนำให้ลูกเสนอราคาครั้งแรกแปดพันปอนด์ก่อน และราคาสูงสุดไม่ควรเกินหนึ่งหมื่นห้าพันปอนด์ เดี๋ยวพอจะส่งคนไปช่วยลูกจัดการเรื่องนี้” เอิร์ลฮอลล์กล่าวรวบรัด
ประมาณหนึ่งหมื่นปอนด์สินะ… แต่เดือนนี้เราใช้เงินสดไปเกือบหมดแล้ว… ออเดรย์กล่าวด้วยท่าทีเขินอาย
“พ่อ… ช่วงนี้หนูยังไม่มีเงินก้อนใหญ่ และกว่าหุ้นหรือค่าเช่าที่ดินจะครบรอบปันผล ก็ยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก”
เอิร์ลฮอลล์ยิ้ม
“ไม่เห็นต้องลำบากขนาดนั้น แค่ลูกนำหุ้นของบริษัทเบ็คลันด์ยุทโธปกรณ์หรือไม่ก็หุ้นของบริษัทพริสต์พาณิชย์นาวีไปจำนำกับธนาคาร นำเงินสดในถือในมือ รอจนกระทั่งจัดการธุรกิจเสร็จ ค่อยนำหุ้นของบริษัทจักรยานไปจำนำระยะยาวกับธนาคาร และใช้เงินก้อนใหม่ไปชำระหนี้ก้อนเก่า… ด้วยเหตุนี้ ลูกต้องยอมจ่ายดอกเบี้ยแพงๆ หนึ่งถึงสองสัปดาห์แรกเพื่อให้ธุรกิจลุล่วง จากนั้นก็ใช้แค่เงินปันผลของบริษัทจักรยานเพื่อจ่ายค่าดอกเบี้ยเงินกู้ในระยะยาว รอคอยอย่างอดทนจนกระทั่งถึงวันที่ธุรกิจจักรยานผลิบาน นี่คือการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ”
แม้ว่าออเดรย์จะไม่ได้ศึกษาด้านธุรกิจและการเงินในเชิงลึก แต่ในฐานะที่มีบิดาเป็นนายธนาคารใหญ่ ย่อมพอจะคุ้นเคยกับคำศัพท์ทางการเงินไม่มากก็น้อย หลังจากไตร่ตรองสักพัก เธอเริ่มมองเห็นภาพรวม
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง หนูต้องจ่ายเงินสองถึงสามร้อยปอนด์เพื่อให้ได้ครอบครองหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทจักรยาน?”
“อาจจะน้อยกว่านั้น” เอิร์ลฮอลล์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ออเดรย์เข้าใจความหมายของบิดา ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารบาวาร์ด และผู้ถือหุ้นอันดับสี่ของธนาคารเบ็คลันด์ อีกฝ่ายมีลู่ทางที่จะช่วยให้บุตรสาวได้รับเงินกู้ระยะสั้นด้วยดอกเบี้ยสมเหตุสมผล
“ขอบคุณค่ะ ท่านเอิร์ลที่รัก” ออเดรย์ยิ้ม ยกชายกระโปรงคำนับ
…
ท่ามกลางแสงจันทร์ยามค่ำคืนและน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ อัลเจอร์·วิลสันยืนบนหัวเรือ มองไปทางเกาะปาซูที่กำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ที่นี่คือสำนักงานใหญ่ของโบสถ์วายุสลาตัน ดินแดนซึ่งได้รับการอวยพรจากเทพแท้จริงโดยตรง!
ในฐานะสมาชิกระดับกลางของโบสถ์ อัลเจอร์จำได้ว่าตนเคยมาเยือนที่นี่เพียงสามหน ครั้งแรกเกิดขึ้นหลังจากเลื่อนลำดับเป็น ‘นักเดินเรือ’ และได้รับภารกิจให้ไปตามหา ‘โทสะสีคราม’ ครั้งที่สองเป็นการเข้ามารายงานความคืบหน้าเมื่อปีที่แล้ว และครั้งที่สามคือคราวนี้ ย้อนกลับไปสมัยเด็ก ในฐานะลูกผสมที่มีผมสีน้ำเงินเข้ม อัลเจอร์ถูกสำนักงานใหญ่คัดเลือกให้เข้ามาร้องประสานเสียงในวิหารหลัก แต่เนื่องจากขาดพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง จึงถูกส่งตัวกลับอย่างรวดเร็ว ต้องไปอาศัยอยู่ในวิหารเล็กๆ บนเกาะที่เคยเกิดมาในฐานะทาส และยังมีนักบวชที่ชอบใช้ความรุนแรงกับผู้ใต้บังคับบัญชา
เมื่อใดก็ตามที่มันหวนนึกถึงประสบการณ์ดังกล่าว ร่างกายพลันสั่นเทาอย่างมิอาจหักห้าม เกิดปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไต่เต้าไปอยู่ในตำแหน่งสูง
ท่ามกลางสายลม โทสะสีครามแล่นฉิวเข้าเทียบท่า
…
ภายในกรุงเบ็คลันด์ที่ย่างเข้าสู่เวลากลางคืน เอ็มลิน·ไวท์ในชุดสูทสุภาพและหมวกผ้าไหม กำลังยืนซ่อนตัวอยู่ด้านนอกคฤหาสน์ของบารอนผีดูดเลือด รุส·บาโธรี
มันเชื่อว่าอีกฝ่ายใกล้จะเริ่มปฏิบัติการ ‘ดึงเบ็ดกลับ’ และสำหรับผีดูดเลือด ค่ำคืนพระจันทร์สีแดงฉานเช่นนี้นับว่าเหมาะแก่การ ‘ล่า’
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ดวงตาเอ็มลินพลันลุกวาวเมื่อเห็นร่างของใครบางคนกระโดดลงจากหน้าต่างด้านหลังคฤหาสน์ ร่อนลงพื้นโดยปราศจากสุ้มเสียง
……………………………………………………..