ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ตอนที่ 935
ราชันเร้นลับ 935 : พบหน้า
แอนเดอร์สันที่กำลังเพลิดเพลินไปกับขนมปังมันชีส มองหน้าเดนิส ผงกศีรษะครุ่นคิด
“ไม่รู้ทำไม แต่ฉันไม่อยากออกจากไบลัมตะวันตก… ฮะฮะ ในฐานะนักล่าสมบัติ อุตส่าห์ได้อยู่ที่นี่ทั้งที จะกลับไปมือเปล่าได้ยังไง? ภายในผืนป่าอันกว้างใหญ่ ในวัดร้าง ยังหลงเหลือทองคำ อัญมณี ของเก่า และบางชิ้นอาจเป็นสมบัติวิเศษ รอให้เราเข้าไปช่วยเหลือออกมา!”
เดนิสเชิดค้างขึ้นพร้อมกับกระดก ‘กวาดาร์’ ที่เหลือในแก้ว
นี่คือเครื่องดื่มจากผลไม้ชนิดพิเศษของไบลัมตะวันตก มีสีส้ม รสเปรี้ยวอมหวาน มีฤทธิ์บรรเทาความร้อนและดับกระหาย มีคาเฟอีนอยู่จำนวนหนึ่ง สามารถฟื้นฟูความอ่อนเพลียและช่วยให้กระปรี้กระเปร่า
วางแก้วลง เดนิสเช็ดปากพร้อมกับกล่าว
“ฉันรู้สึกอย่างบอกไม่ถูกว่านายกำลังวางแผนบางอย่างไว้”
“ฉันเองก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น” แอนเดอร์สันยิ้มโดยไม่มองหน้า
มันกินอาหารเช้ากับกาแฟ
ไบลัมตะวันออกเต็มไปด้วยแหล่งผลิตกาแฟคุณภาพสูง มีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งกว่ากาแฟเฟเนพ็อต กาแฟที่ราบสูงของทวีปใต้ และกาแฟเฟอร์โม่จากที่ราบสูงดวงดาวใกล้กับหุบเขาเพิร์ธ
โดยไม่รอให้เดนิสพูด แอนเดอร์สันยิ้มและกล่าว
“แล้วนายไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องที่ดีบ้างหรือ? ฉันคอยคุ้มกันให้ฟรี ส่วนนายก็ทำหน้าที่ล่าม ทุกคนได้ผลประโยชน์”
เมื่อพิจารณาว่าตนเป็นเพียงลำดับ 7 ที่กำลังจะเผชิญหน้ากับกองกำลังหลายฝ่าย เดนิสรู้สึกว่าคำพูดของแอนเดอร์สันฟังขึ้น
มันกระแอมแห้ง
“แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ฉันจะบอกให้นายอยู่ห่างๆ”
“ถ้านายพูดว่า ‘ได้โปรดเถอะครับ’ ฉันก็ไม่ว่าอะไร” แอนเดอร์สันตอบผ่อนคลาย
เดนิสสวมเสื้อคลุม เดินไปที่ประตูโรงแรม เตรียมเริ่มลงมือสืบสวน
ระหว่างทาง มันโพล่งขึ้น
“นายเคยมีประสบการณ์แบบนี้บ้างไหม? ฝันว่าตัวเองถูกเทวทูตโอบกอดด้วยปีกทีละชั้น… ไม่สิ ไม่ใช่แค่ความฝัน กระทั่งภาพหลอนแบบเดียวกันก็เคยเห็น”
แอนเดอร์สันชำเลืองถุงมือที่เดนิสสวม ครุ่นคิดสักพักก่อนจะยิ้ม
“นายเป็นสาวกของตัวตนลึกลับที่ไหนรึเปล่า? หรือเคยไปสัมผัสกับวัตถุโบราณส่งเดชไหม?”
เดนิสชะงักเล็กน้อย ฝืนยิ้มพลางกล่าว
“ถ้ามันง่ายแบบนั้น ฉันคงหาสาเหตุด้วยตัวเองได้นานแล้ว!”
ขณะกล่าว มันเดินผ่านชายสามคนที่เดินเข้ามาจากทางเข้าโรงแรม
แอนเดอร์สันกวาดตาไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณ ยืนยันว่ารอบตัวไม่มีปัญหา จากนั้นก็ชำเลืองไปทางชายทั้งสามด้วยท่าทีผ่อนคลาย พบว่ามีหนึ่งคนเป็นนายจ้าง และอีกสองคนเป็นคนรับใช้ นายจ้างค่อนข้างสูง ผิวสีน้ำตาลใบหน้าอ่อนโยน น่าจะเป็นลูกครึ่งไบลัมและโลเอ็น แต่งกายด้วยหมวกผ้าไหมตามแบบฉบับชาวทวีปเหนือ ชุดสูทสีดำและไม้ค้ำเลี่ยมทอง
คนรับใช้ทั้งสองล้วนเป็นชนพื้นเมือง คนหนึ่งคล้ายกับมาจากแปลงเกษตรกรรม พวกมันช่วยเจ้านายถือไม้ค้ำและกระเป๋าเดินทางหนัง คนหนึ่งเป็นลูกผสม ใบหน้าอวบกลม เสื้อผ้าค่อนข้างหลวม พิจารณาจากดาบที่เหน็บรอบเอวน่าจะเป็นผู้คุ้มกัน
แอนเดอร์สันถอนสายตากลับอย่างไม่แยแส เดินถามเดนิสออกไปที่ถนน
มันชี้ไปยังโลงศพหลากหลายรูปแบบด้วยความสนใจ
“อยากลองใช้บริการไหม? ดูน่าสนใจทีเดียว การได้ลงไปนอนในนั้นจะทำให้ตระหนักว่าความตายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และบางที เรายังสามารถเปิดฝาโลงขึ้นมายืนหยัดได้อีกครั้ง”
เดนิสชำเลืองไปทางระบบขนส่งพิสดาร ส่ายหน้าและกล่าวโดยไม่ลังเล
“ในฐานะโจรสลัดที่นับถือเทพวายุสลาตัน ฉันมีข้อห้ามหลายเรื่อง หนึ่งนั้นในคือการอยู่ให้ไกลจากโลงศพ”
“แต่ฉันไม่มีข้อห้ามแบบนั้น” แอนเดอร์สันสุ่มหยิบ ‘เดลิกซี่’ ออกจากกระเป๋าเสื้อและโยนไปทางเด็กส่งหนังสือพิมพ์เพื่อซื้อสองสามฉบับ
ต้องยอมรับว่า หากเป็นในด้านเด็กส่งหนังสือพิมพ์ ทวีปใต้นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าทวีปเหนือ เนื่องจากค่าแรงถูกกว่า แถมยังมีเด็กจำนวนมากที่ต้องการหางานทำเพื่อจุนเจือครอบครัว
เดนิสเดินไปยังสุดเส้นถนน มองหารถม้าสำหรับชาวต่างชาติพลางหยิบหนังสือพิมพ์ที่แอนเดอร์สันซื้อมากวาดตาอ่าน
ทันใดนั้นเอง มันเหลือบไปเห็นข่าวหนึ่ง
“…โจรสลัดคนดัง ลูเธอร์ไวล์ ผู้เรียกตัวเองว่าพลเรือเอกขุมนรก ถูกสังหารโดยนักผจญภัยเสียสติ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ บนเรือทิวลิปดำ กองเรือทั้งหมดถูกยึดครองโดยมิเรลลา ผู้อ้างตัวว่าเป็นอัครทูตแห่งมรณา”
“นี่มัน…” เดนิสอ้าปากเล็กน้อย แต่ก็ไม่ค้างนาน
ในที่สุดมันก็เข้าใจว่าทำไมเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถึงเตือนให้ระวังเกี่ยวกับนิกายวิญญาณ!
ชายเสียสติรายนี้ลงมือสังหารลูเธอร์ไวล์ นายพลโจรสลัดที่แข็งแกร่งที่สุด!
สิบวินาทีถัดมา เดนิสยื่นหนังสือพิมพ์ให้แอนเดอร์สันด้านข้างด้วยสีหน้าเหม่อลอย
“ลองอ่านดู”
แอนเดอร์สันรับหนังสือพิมพ์ด้วยรอยยิ้ม รีบกวาดตาอ่าน
หลังจากเงียบงันสักพัก มันผิวปากและหัวเราะในลำคอ
“หมอนั่นควรได้รับฉายาใหม่… มือสังหารนายพลโจรสลัด!”
เดนิสไม่กล้าพยักหน้า ถอนสายตากลับพลางรำพัน
“ในตอนที่พบกันครั้งแรก ฉันคิดว่าหมอนั่นน่ากลัวมาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะระดับนี้”
มันหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ตนพยายามโน้มน้าวให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์เข้าร่วมกลุ่มโจรสลัดฝันทองคำ
ในทางกลับกัน หลังจากเดินผ่านคนทั้งสองเข้าไปในโรงแรมและเช่าห้องพักหรู ไคลน์ก้มมอง ‘นักล่า’ ทั้งสองที่กำลังเดินไปบนถนนอย่างไม่ระมัดระวังตัว
ลูบกระดุมข้อมือแผ่วเบาหนึ่งครั้ง มันคลี่กระดาษจดหมายและเขียน
“…อันดับแรก ฉันสงสัยว่าตัวตนที่สิงร่างอินซ์·แซงวิลล์จะเป็นวิญญาณมารของเส้นทางนักล่า คุณสามารถเริ่มสืบสวนได้จากทิศทางนี้…”
“…พร้อมกับจดหมาย ผมจะแนบตะกอนพลังของ ‘นักปลอบวิญญาณ’ ไปด้วย เขาคือเหยื่อผู้โชคร้ายที่ถูกกลืนวิญญาณ ผมปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระโดยสัญญาว่าจะส่งตะกอนพลังคืนโบสถ์รัตติกาล…”
…
ไบลัมตะวันออก ขณะเลียวนาร์ดเตรียมเข้าร่วมการประชุมในตอนเช้า มันเห็นผู้ส่งสารระดับเทวทูตเจ้าของสี่เศียรหัวทองตาแดงปรากฏขึ้นตรงหน้า
มันรับจดหมายด้วยความเคยชิน แกะซอง ก่อนจะตกตะลึงเมื่อได้พบกับวัตถุที่คล้ายกับค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
นี่มัน… เลียวนาร์ดเข้าใจอย่างคลุมเครือว่าสิ่งนี้คืออะไร จึงรีบคลี่กระดาษอ่าน
ราวยี่สิบวินาทีถัดมา มันถอนหายใจออกแผ่วเบา พึมพำกับตัวเอง
อย่างที่คิด ตะกอนพลัง…
ไคลน์ยังคงเป็นมิตรกับเหยี่ยวราตรีและโบสถ์รัตติกาล…
ตัวมันที่ค่อนข้างโล่งใจ นำหนอนแมลงโปร่งแสงที่ตายแล้วสองตัวยัดใส่ซองจดหมายเดียวกัน จากนั้นก็อัญเชิญผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ส่งมันให้เธอพร้อมกับเหรียญทอง
จัดการเสร็จ เลียวนาร์ดปลดกระดุมเสื้อเม็ดบน เดินออกจากห้อง ลงไปยังชั้นใต้ดิน
ระหว่างทาง มันได้พบกับดาลีย์·ซิโมเน่
ดาลีย์ยังคงแต่งกายเป็นผู้สื่อวิญญาณตามเดิม ถามพลางจ้องหน้าอีกฝ่าย
“มีเบาะแสใหม่หรือยัง?”
“…วิญญาณมารต้องสงสัยว่าจะอยู่บนเส้นทางนักล่า” เลียวนาร์ดตัดสินใจไม่ปิดบัง
ดาลีย์พยักหน้ารับ ครุ่นคิดก่อนจะพูด
“ถ้าอย่างนั้นต้องหลงเหลือร่องรอยการยั่วยุให้เห็น นั่นจะกลายเป็นเบาะแสให้เรา… แน่นอน หนึ่งในนั้นคงมีเบาะแสที่ผิดๆ ปะปนอยู่”
…
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ประตูห้องกัปตันโทสะสีครามถูกเคาะ
“เข้ามา” อัลเจอร์วางอุปกรณ์เดินเรือทองเหลืองในมือลง กล่าวเสียงทุ้ม
ลูกเรือเปิดประตูและมองกลับหลัง ก่อนจะถูกพวกพ้องจำนวนมากรบเร้าจนต้องเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทีลังเล ปิดท้ายด้วยการใช้หมัดขวาทุบอกซ้าย
“วายุสลาตันจงเจริญ!”
รอจนกระทั่งอัลเจอร์ให้สัญญาณ มันฝืนยิ้มและกล่าว
“กัปตัน เมื่อไม่นานมานี้ โจรสลัดจำนวนมากรวมถึงลูกเรือของเรือการค้าต่างเล่าตรงกันว่า พวกมันค้นพบสิ่งของมีค่าภายในท่าเรือแบนชี มีแม้กระทั่งทองคำ… ช่วงนี้ดูเหมือนพวกเราจะยังไม่มีภารกิจใหญ่ ทุกคนจึงคิดเห็นตรงกันว่า ควรแวะไปที่ท่าเรือแบนชีสักครั้ง แม้มันจะถูกขุดค้นไปบ้างแล้ว แต่ก็น่าจะยังมีอีกหลายสิ่งหลงเหลือ…”
อัลเจอร์ยังคงทำหน้านิ่ง ครุ่นคิดหลายวินาทีก่อนจะพูด
“ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกคุณ เอาแบบนี้เป็นไง เราจะแล่นเรือไปยังทิศทางของท่าแบนชี แต่ยังไม่เจาะจงว่าที่นั่นคือจุดหมาย ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทาง พวกเราจะหยุดพักที่นั่นหนึ่งวัน”
“รับทราบครับ กัปตัน!” ลูกเรือคนดังกล่าวใช้กำปั้นขวาทุบอกซ้ายอย่างกระตือรือร้น “ขอพายุจงสถิตกับท่าน”
“ขอพายุจงสถิตกับท่าน” อัลเจอร์มองแผ่นหลังของลูกน้อยที่เดินจากไปและปิดประตู
จากนั้น มันเทแลงติร้อนแรงใส่แก้วราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ใบหน้าปราศจากความสุขหรือโกรธ เพียงค่อยๆ จิบเหล้าอย่างผ่อนคลาย
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ในความคาดหมายของอัลเจอร์ เพราะข่าวคราวการค้นพบวัตถุมีค่าในซากปรักหักพังของท่าเรือแบนชี เป็นสิ่งที่มันแอบเผยแพร่ในสภาพปลอมตัว
ในฐานะกัปตันเรือของโบสถ์วายุสลาตัน มันถูกลูกเรือจับตามองอยู่เสมอ หากเป็นฝ่ายออกปากต้องการไปยังท่าเรือแบนชีด้วยตัวเอง นั่นจะถูกมองว่าน่าสงสัย อัลเจอร์จึงหาทางทำให้ลูกเรือเป็นฝ่ายรบเร้าก่อน!
ด้วยเหตุนี้ หากค้นพบความผิดปรกติบางอย่างบนท่าเรือแบนชี ก็จะไม่มีใครสงสัยตัวมันที่เป็นกัปตัน
และสำหรับลูกเรือ โดยเฉพาะลูกเรือที่เพิ่งผลาญเงินไปกับบายัม ข่าวลือแบบใดเย้ายวนใจมากที่สุด น่าตื่นเต้นมากที่สุด อัลเจอร์ย่อมทราบดี
นอกจากนั้น โทสะสีครามยังจอดแช่อยู่ที่บายัมมานานแล้ว หากไม่ออกเรือเสียบ้างอาจตกเป็นเป้าสงสัย
สำหรับการติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ มันมอบให้เป็นหน้าที่ของ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียา เนื่องจากเธออาจกำลังถูก ‘สืบสวน’ โดยคนของชุมนุมแสงเหนือ แคทลียาและอนาคตกาลจึงเอาแต่เตร็ดเตร่อยู่ในน่านน้ำหมู่เกาะรอสต์มาได้ระยะหนึ่งแล้ว กล่าวกันว่าที่นี่คือฐานสำคัญของนิกายมอสส์
หลังจากดื่มเหล้าเสร็จ อัลเจอร์วางแก้ว มองออกไปนอกหน้าต่างฝั่งทะเล พึมพำเสียงต่ำ
“แบนชี…”
…
เมื่อพิจารณาว่าใกล้จะปลายมิถุนายนแล้ว วิล·อัสตินอาจคลอดได้ทุกเมื่อ หลังจากไคลน์เตรียมการเบื้องต้นเสร็จ มันส่งตัวเองเข้ามิติหมอกและนำเครื่องรับโทรเลขไร้สายกลับมายังโลกความจริง ตักเตือนตัวเองว่าห้ามถามเกินสองคำถาม
ห้องมืดลงและมีบรรยากาศเย็นเยียบทันที เครื่องรับโทรเลขไร้สายส่งเสียงกุกกักด้วยตัวเอง