ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1052 : สามต่อหนึ่ง
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1052 : สามต่อหนึ่ง
ราชันเร้นลับ 1,052 : สามต่อหนึ่ง
เปรี้ยง!
สายฟ้าผ่าลงมาจากกลางอากาศ เปลี่ยนพื้นที่อันกว้างขวางภายในดวงจันทร์ยักษ์ให้กลายเป็น ‘ผืนป่า’ สีเงินสว่าง
สายฟ้าแผ่ซ่านไปทุกทิศ ปกคลุมทุกซอกมุมด้วยอำนาจทำลายล้างที่รุนแรง
มังกรสีเทาที่มีหัวเป็นมนุษย์ปรากฏกายอีกครั้ง บนเกล็ดคล้ายหินบนผิวกายยังคงมีอสรพิษไฟฟ้าตัวเล็กแล่นไปมา บางจุดมีรอยปริแตก
‘ล่องหนทางใจ’ ของเฮอร์วิน·แรมบิสย่อมได้รับผลกระทบการโจมตีดังกล่าว เพราะท้ายที่สุด ตัวมันยังคงมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม แค่ขจัดความรู้สึกของการดำรงอยู่ออกไป เป็นการซ่อนตัวอยู่ในจุดบอดของความสนใจ แต่เมื่อได้รับสิ่งเร้าที่แข็งแกร่งจากภายนอก ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกเปิดเผย
ขณะที่มันปรากฏตัว พายุสายฟ้าอ่อนกำลังลงอย่างมาก ร่างกายเกอร์มัน·สแปร์โรว์บนหลังคาพลันพร่ามัวในทันที จากนั้นก็หายตัวมาโผล่ด้านล่างมังกรที่ไม่สมบูรณ์ในแนวเฉียง
ทันทีหลังจากนั้น ผิวถุงมือข้างซ้ายของนักผจญภัยเสียสติแปรเปลี่ยนอนุภาคสีดำละเอียด มอบบรรยากาศลึกลับและมืดมน
ชายหนุ่มเปิดปากทันที พ่นคำชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยความหมายที่สกปรกและเลวทราม:
“เชื่องช้า!”
เฮอร์วิน·แรมบิสย่อมทราบว่าศัตรูพกพายุบพองหิวโหย และยังตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของสมบัติวิเศษชิ้นนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง ในสายตามัน การโจมตีของเกอร์มัน·สแปร์โรว์จึงดูน่ารัก เฮอร์วิน·แรมบิสตอบโต้ด้วยการใช้อุ้งเท้าซ้ายยกกระบอกโลหะสีฟ้าน้ำแข็ง จากนั้นก็ฟาดใส่ศัตรูด้านล่าง
สิ่งนี้คือสมบัติปิดผนึกที่ไม่ทราบที่มา ชื่อของมันคือ ‘ดาวตกเน่าเปื่อย’ เฮอร์วิน·แรมบิสได้รับมาจากตัวตนลึกลับบางตน และทราบเพียงว่า บางส่วนของวัตถุชิ้นนี้มาจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
กระบอกโลหะสีฟ้าน้ำแข็งสามารถยิงกระสุนปืนสีเขียวเข้ม ใครก็ตามที่โดนเข้าไปจะได้รับสารพิษทันที ผลของพิษจะทำให้เกิดการเน่าเปื่อยจากภายใน แม้แต่ร่างวิญญาณก็ไม่รอด และยังส่งผลกับครึ่งเทพ
ผลข้างเคียงเชิงลบของมันคือ ผู้ถือมีโอกาสถูก ‘เฝ้ามอง’ จากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และนั่นจะทำให้ได้รับสารพิษโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ใช่เพราะมีตัวตนลึกลับช่วยผนึกให้ เฮอร์วิน·แรมบิสคงไม่กล้าเก็บไว้ใช้เองแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามจำกัดการใช้งาน เพื่อหลีกเลี่ยงความตายหรือการกลายพันธุ์อันแปลกประหลาด เพราะนั่นคือจุดจบโดยส่วนมากของอดีตผู้ถือดาวตกเน่าเปื่อย
ณ ปัจจุบัน เฮอร์วิน·แรมบิสไม่คิดว่า ‘ถ้อยคำกัดกร่อน’ ในลำดับ 5 จะมีผลใดๆ ต่อตัวมันที่กำลังเผยร่างสัตว์ในตำนานที่ไม่สมบูรณ์ จึงตั้งใจจะใช้ ‘ดาวตกเน่าเปื่อย’ เพื่อปิดฉากศัตรูที่เป็นภัยคุกคามร้ายแรง
ทว่าในครั้งนี้ การเคลื่อนไหวของมันกลับช้าลง ร่างกายทั้งหมดเริ่มเฉื่อยชา
บนหลังคาที่มืดมิดใต้พระจันทร์สีแดงดวงใหญ่ เกอร์มัน·สแปร์โรว์อีกหนึ่งคนซึ่งสวมเสื้อกันลมสีดำและหมวกผ้าไหม ปรากฏตัวขึ้นตอนไหนไม่มีใครทราบ มือขวาถือปืนลูกโม่ประหลาดหกลำกล้อง มือซ้ายเล็งไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านล่างเฮอร์วิน·แรมบิส กำหมัดแน่นและหมุนข้อมือแผ่วเบา
เคาต์แห่งการเสื่อมถอย ‘ขยาย’ !
นี่คืออีกหนึ่งหุ่นเชิดของไคลน์ ครึ่งเทพเส้นทาง ‘นักกฎหมาย’ โจนาส·โคลเกอร์!
และด้วยความช่วยเหลือจากพลัง ‘ขยาย’ พลังพิเศษจากยุบพองหิวโหยจึงถูกยกระดับจนเกือบทัดเทียมผู้วิเศษลำดับ 4 หรือขอบเขตของครึ่งเทพ!
แน่นอน พลัง ‘ขยาย’ ไม่สามารถใช้ได้มากกว่าหนึ่งครั้งต่อหนึ่งเป้า
เนื่องจากอยู่ในร่างสัตว์ในตำนาน พลัง ‘เชื่องช้า’ ที่ผ่านการ ‘ขยาย’ จึงส่งผลกับเฮอร์วิน·แรมบิสได้ไม่นานนัก ด้วยเหตุนี้ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ซึ่งตัวจริงคือ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน รีบคว้าโอกาสอันแสนมีค่าเพื่อเข้าควบคุมด้ายวิญญาณของเฮอร์วิน·แรมบิส
ตามปรกติแล้ว ชายหนุ่มต้องใช้เวลาสามวินาทีในการเข้าควบคุมเบื้องต้น แต่เนื่องจากศัตรูกำลังเปิดเผยร่างสัตว์ในตำนาน ระยะเวลาย่อมต้องจะยืดออกไป อาจกลายเป็นหกหรือเจ็ดวินาที หรือแม้กระทั่งสิบวินาที กว่าจะเข้าควบคุมสำเร็จ เฮอร์วิน·แรมบิสคงหนีรอดจากอิทธิพลของ ‘เชื่องช้า’ นานแล้ว จากนั้นก็โต้กลับหลังจากกลายเป็นปรกติ
ในช่วงเวลาวิกฤติ โจนาส·โคลเกอร์ยกมือซ้ายและชี้ไปทาง ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน บีบนิ้วทั้งห้าอย่างรวดเร็ว
ยังคงเป็น ‘ขยาย’ !
ขยายความสามารถในการเข้าควบคุมด้ายวิญญาณ!
เพียงพริบตา การเข้าควบคุมด้ายวิญญาณของ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนกลายเป็นเรื่องง่าย ราวกับอีกฝ่ายไม่ได้เปิดเผยร่างสัตว์ในตำนาน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ใช้เวลาเพียงสามวินาที มันสามารถควบคุมด้ายวิญญาณเบื้องต้นสำเร็จ
นี่คือพลังที่น่าสะพรึงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ปัญหาก็คือ เฮอร์วิน·แรมบิสในร่างมังกรสามารถหลุดพ้นจากอิทธิพลของ ‘เชื่องช้า’ ได้ภายในไม่ถึงหนึ่งวินาที
มันหลุดพ้นเรียบร้อยแล้ว!
ทันใดนั้น เสียงปืนดังกังวาน กระสุนที่สลักลวดลายประหลาดพุ่งปะทะร่างเฮอร์วิน·แรมบิสซึ่งเพิ่งหลุดพ้นจากสถานะ ‘เชื่องช้า’
ในอีกมุมหนึ่งของสวน เกอร์มัน·สแปร์โรว์อีกหนึ่งคนที่สวมเสื้อกันลมสีดำและหมวกผ้าไหมปรากฏตัว
ร่างของมังกรของเฮอร์วิน·แรมบิสกลับไปแข็งทื่ออีกครั้ง แต่หนนี้ไม่ใช่แค่ความคิดที่เฉื่อยชา แม้กระทั่งปีกมังกรด้านหลังก็ยังนิ่งสนิท สูญเสียธรรมชาติของมันจนลากมังกรร่วงหล่นกระแทกพื้น
กระสุนคุมวิญญาณ!
ไคลน์ใช้หนอนวิญญาณของตัวเองเป็นวัตถุดิบในการสร้าง และกระตุ้นด้วยการระดมพลังบางส่วนของมิติเหนือสายหมอก มีฤทธิ์ทำให้ผู้วิเศษลำดับ 3 เป็นอัมพาตชั่วคราว ราวหนึ่งถึงสองวินาที!
เฮอร์วิน·แรมบิสที่เผยร่างสัตว์ในตำนานไม่สมบูรณ์ คงไม่แข็งแกร่งไปกว่านักบุญลำดับ 3 มากนัก เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกเล่นงาน เพราะแม่แต่ร่างโคลนของอามุนด์ก็ยังถูก ‘กระสุนคุมวิญญาณ’ เล่นงานนานกว่าหนึ่งวินาที
นอกจากนั้น ไคลน์ยังสามารถสั่งให้โจนาส·โคลเกอร์ ‘ขยาย’ พลังของกระสุนได้ด้วย แต่น่าเสียดายที่การยิงเมื่อครู่เกิดขึ้นเร็วเกินไป จึงคว้าโอกาสเอาไว้ไม่ทัน
เมื่อได้เห็นประสิทธิภาพของสามประสาท ไคลน์พลันรู้สึกทึ่งกับพลังของครึ่งเทพเส้นทางนักกฎหมาย และมองว่าเป็นหน่วยสนับสนุนที่ยอดเยี่ยมมาก แต่ในสถานการณ์ปรกติ พลังขยายของเคาต์แห่งการเสื่อมถอยมักถูกใช้เพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเอง ไม่ค่อยมีความร่วมมือกับเส้นทางอื่น แต่สำหรับในกรณีของไคลน์ โจนาส·โคลเกอร์นั้นเป็นหุ่นเชิดที่บังคับด้วยหนอนวิญญาณ เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับร่างต้น สามารถใช้พลังของร่างต้นได้ หรือกล่าวได้ว่า มันคือไคลน์ที่มีพลังสายสนับสนุนในตัวเอง!
ฉวยโอกาสที่เฮอร์วิน·แรมบิสให้ตกอยู่ในภาวะอัมพาต ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนเสร็จสิ้นการเข้าควบคุมด้ายวิญญาณเบื้องต้น
ทันทีที่มังกรไม่สมบูรณ์สิ้นสุดอาการอัมพาต ความคิดก็เริ่มหยุดนิ่งแล้ว จะทำสิ่งใดก็เฉื่อยชาไปเสียหมด
ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลังจากได้รับหุ่นเชิดอันทรงพลัง จอมเวทพิสดารจะกลายเป็นอาชีพที่ทรงพลังอย่างมาก และไคลน์ยังมีสิ่งที่คล้ายกับสูตรโกงอย่าง ‘กระสุนคุมวิญญาณ’ เพราะมีครึ่งเทพเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถสร้างได้ เนื่องจากต้องระดมพลังบางส่วนของมิติหมอกในพิธีกรรม แน่นอนว่า ตัวตนที่แข็งแกร่งเช่นอามุนด์ก็สามารถสร้างยันต์หรือกระสุนที่คล้ายกันได้ เพียงแต่คุณสมบัติจะแตกต่างออกไป
เมื่อเห็นว่าเฮอร์วิน·แรมบิสถูกควบคุมขั้นต้น ไคลน์วางแผนเตรียมขจัดการขัดขืนของศัตรู ไม่ปล่อยให้หลุดจากสภาพปัจจุบัน จนกระทั่งกลายเป็นหุ่นเชิดโดยสมบูรณ์ แต่ทันใดนั้น ศีรษะของมันพลันเจ็บแปลบกะทันหัน ความบ้าคลั่งที่มิอาจควบคุมพลันปะทุขึ้นในใจ
ถัดมา มันเกิดความหดหู่เหนือพรรณนา คล้ายกับชีวิตนี้จะไม่มีความสุขอีกต่อไป เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองต่อตัวเอง รอไม่ไหวแล้วที่จะปลิดชีวิตเพื่อไม่ให้เดือดร้อนผู้อื่น
ในพริบตาต่อมา มันรู้สึกตื่นเต้นอย่างแรงกล้า ดวงตาคล้ายกับมีเลือดคั่ง เกลียดชังทุกสิ่ง ต้องการทำลายทุกสิ่งที่ขวางหูขวางตา
แบบนี้ไม่ดีแน่… ก่อนที่สภาพจิตใจของไคลน์จะเสื่อมถอย มันพบว่าตนถูกเล่นงานโดยอิทธิพลบางอย่างของเฮอร์วิน·แรมบิสมาสักพักแล้ว จนเกิดความผิดปรกติกับ ‘กายปัญญา’
มันพยายามเข้าฌานเพื่อต่อสู้กับสภาพจิตใจที่ผิดปรกติ ทว่า ความคิดที่ดูเหมือนจะเป็นของคนอื่นกลับแล่นเข้ามาในหัว:
“จบสิ้นแล้ว…”
“แม่เย็*! คิดหาทางรอดเร็วเข้า!”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ดูเหมือนกับอาการป่วยทางจิตขั้นรุนแรง”
“โรคติดต่อทางจิต? อาการทางจิตแปลกๆ ที่มิสจัสติสเคยพูดถึง? ไม่ผิดแน่ นี่คือพลังลำดับสูงของเส้นทางผู้ชม!”
“มัวพล่ามอะไรอยู่? นักจิตบำบัดครึ่งเทพอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง แค่เปลี่ยนมันให้เป็นหุ่นเชิด โรคนี้ก็รักษาได้ไม่ยาก”
เมื่อตระหนักว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่สามารถยิงกระสุนนัดที่สอง บนใบหน้าเฮอร์วิน·แรมบิสที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีเทาเผยรอยยิ้มเล็กๆ
แม้ว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์และหุ่นเชิดทั้งสองจะแข็งแกร่งจนเหนือความคาดหมาย ทำให้เฮอร์วิน·แรมบิสต้องตกอยู่ในสภาพเกือบสิ้นหวังในพริบตา แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่ได้ทำอะไรลงไปเลย
ในตอนก่อนที่จะถอนตัวจากทะเลจิตใต้สำนึกรวม เฮอร์วิน·แรมบิสแอบปลูกฝัง ‘บ้าคลั่งระบาด’ ให้อีกฝ่ายอย่างเงียบงัน!
หุ่นเชิดอาจเป็นคนตายโดยพื้นฐาน จึงไม่สามารถควบคุมจิตสำนึกได้ด้วยวิธีปรกตินอกจากใช้ด้ายวิญญาณ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าหุ่นเชิดไม่มี ‘เกาะแห่งจิตใจ’ เกาะแห่งนั้นมีอยู่ แค่เป็นสถานที่เงียบสงบ สิ่งที่เฮอร์วิน·แรมบิสทำคือการฝัง ‘เมล็ดพันธุ์’ แห่งความบ้าคลั่งลงไป
เมล็ดพันธุ์ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อหุ่นเชิดก็จริง แต่สามารถแพร่เชื้อสู่ทะเลจิตใต้สำนึกรวมได้อย่างเงียบเชียบ สร้างอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตรอบๆ ด้วย ‘โรคติดต่อทางจิต’ และเหนือสิ่งอื่นใด ความบ้าคลั่งยังสามารถแพร่กระจายผ่านด้ายวิญญาณได้โดยตรง
นอกจากนั้น เป็นเพราะเชื้อโรคประเภทนี้เกิด ‘ตัวเอง’ จึงมิอาจป้องกันด้วยพรของเทวทูต อย่างมากก็แค่ช่วยบรรเทาความร้ายแรงและทำให้เกิดผลช้าลง
นี่คือพลังลำดับสูงของเส้นทางผู้ชม ‘โรคติดต่อทางจิต’ ของ ‘จอมบงการ’ !
ในสมัยโบราณ บางครั้งบางคนที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าเป็นเวลานาน จะสร้างภาวะซึมเศร้าให้กับคนรอบข้างจำนวนมากพร้อมกัน ใครบางคนจึงเรียกว่า ‘อุปทานหมู่’ ครั้งหนึ่ง กวีบางคนได้แต่งเพลงเอาไว้ว่า
“สตรีเจ็ดคนเต้นระบำประหลาดกลางถนน;”
“บุรุษเก้าคนเกลือกกลิ้งไปมาพร้อมกับขำ;”
“รถม้าคันหนึ่งแล่นผ่านไป ขุนนางตบหน้าพวกมันหัวคะมำ;”
“นอกบ้านบนถนนสีดำ เหล่าเด็กเล็กปล่อยโฮพร้อมกับหลั่งน้ำตา;”
“ผู้คนเปิดศึกทำร้ายกันราวกับคนบ้า เสียสติกันไปทั้งเมือง;”
หากไตร่ตรองเกี่ยวกับเพลงนี้อย่างรอบคอบ คงไม่มีมุมมองอื่นนอกจากการสร้างความหวาดกลัว แต่เฮอร์วิน·แรมบิสทราบดี ฉากที่อธิบายไว้ในเนื้อเพลงเคยเกิดขึ้นจริง เป็นฝีมือการทดลองของครึ่งเทพในเส้นทางผู้ชม
‘โรคติดต่อทางจิต’ !
รอจนกระทั่งร่างต้นของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เสียสติ การควบคุมหุ่นเชิดของมันจะหยุดลงอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อถึงตอนนั้น เฮอร์วิน·แรมบิสจะรอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้าย
บทสรุปดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในเวลาไม่นาน อาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น!
สำหรับปัจจุบัน เฮอร์วิน·แรมบิสซึ่งเป็น ‘จอมบงการ’ มิได้เกรงกลัวว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ใช้ยันต์แบบเดียวกับที่ออเดรย์ใช้ – ยันต์แลกเปลี่ยนชะตากรรมในช่วงเวลาสั้นๆ – เพราะถ้าจะเปลี่ยนชะตากรรมกันจริงๆ เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะกลายเป็นหุ่นเชิด ความคิดจะชะงักงัน ร่างกายแข็งทื่อ ส่วนมันที่ได้รับ ‘โรคติดต่อทางจิต’ เป็นเรื่องง่ายที่จะแก้ไขด้วยตัวเอง
ทันใดนั้น เฮอร์วิน·แรมบิสมองเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์บนหลังคา ยกมือซ้ายเล็งไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่กำลังถือลูกโม่กระบอกยาวสีดำ จากนั้นก็งอห้านิ้วและหมุนข้อมือเล็กน้อย
บิดเบือน!
ไคลน์ใช้พลังพิเศษของโจนาส·โคลเกอร์เพื่อ ‘บิดเบือน’ ระดับความเจ็บป่วยทางจิตของตน เปลี่ยนให้เบาลงและมีผลข้างเคียงน้อยลง!
ฉวยโอกาสจากตอนที่ยังมีสติ ชายหนุ่มยกปืนลูกโม่ ‘ลางมรณะ’ ขึ้นอีกครั้งและลั่นไก
ปัง!
‘กระสุนคุมวิญญาณ’ อีกนัดถูกยิงออกไป ปะทะเข้ากับร่างกายอันใหญ่โตของมังกรไม่สมบูรณ์ซึ่งปัจจุบันยังขยับตัวไม่ได้
ขณะเดียวกันโจนาส·โคลเกอร์ใช้ ‘ขยาย’ !
แม้ว่าเฮอร์วิน·แรมบิสจะถูกโจมตี แต่มันกลับยังไม่หลุดพ้นจากการควบคุมด้วยด้ายวิญญาณของ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูน เนื่องจากมันกำลังตกอยู่ในภาวะเฉื่อยชาและแข็งทื่อ ‘เป็นเวลานาน’
ไคลน์นับเวลาในใจ ก่อนที่จะยิงกระสุนคุมวิญญาณนัดถัดไปในตอนที่เฮอร์วิน·แรมบิสใกล้จะฟื้น
และก่อนที่ผลของ ‘กระสุนคุมวิญญาณ’ นัดที่สามซึ่งถูก ‘ขยาย’ จะสิ้นสุด ร่างกายของมังกรไม่สมบูรณ์สีเทาอ่อนชักกระตุกก่อนจะกลับไปเป็น ‘ปรกติ’ มิได้เฉื่อยชาอีกต่อไป
………………………..