ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1057 : วิเศษและสามัญ
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1057 : วิเศษและสามัญ
ราชันเร้นลับ 1,057 : วิเศษและสามัญ
หลังจากจัดการขวดแก้วที่กลายพันธุ์เสร็จ ไคลน์นำนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝาตรวจสอบเวลา
ชายหนุ่มต้องกลับเข้ามาในอีกสามชั่วโมงถัดไปเพื่อแยกไม้กางเขนเจิดจรัสออกจาก ‘ขวดแห่งทาส’ นั่นจะทำให้ได้รับตะกอนพลังที่เป็นของ ‘จอมบงการ’ เพียงอย่างเดียวโดยไม่ปะปนกับลำดับก่อนหน้า
รู้สึกเหมือนกับได้ทำการทดลอง… ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับเก็บนาฬิกาพก จากนั้นก็ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริงเพื่องีบยามบ่าย
สี่โมงตรง บุรุษรับใช้ส่วนตัว เอ็นยูน ทำการเคาะประตูห้องนอนนายจ้างโดยมีพ่อบ้านวอลเตอร์ยืนมองอยู่
“มีอะไรหรือ?” ดอน·ดันเตสในชุดนอนเปิดประตูห้องออกมาในสภาพลูบหน้าผาก
เอ็นยูนโค้งศีรษะและกล่าว
“นายท่าน… เมื่อคืนก่อน คุณรับปากมาดามลีอานน่าว่าจะเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชายามเย็น”
ไคลน์จ้องหน้าพ่อบ้านวอลเตอร์และพูด
“เข้าใจแล้ว ขอเวลาเตรียมตัวสิบห้านาที”
จากนั้น มันออกคำสั่งกับเอ็นยูน
“เข้ามาช่วยผมเปลี่ยนชุด”
เมื่อในห้องนอนเหลือแค่มันกับหุ่นเชิด ชายหนุ่มควบคุมอีกฝ่ายให้เดินไปหยิบชุดสำหรับงานเลี้ยงน้ำชา พลางชำเลืองนาฬิกาแขวนผนังเป็นระยะ
ผ่านไปสิบนาที หลังจากผูกไทและสวมเสื้อนอก มันถอยหลังสี่ก้าวเพื่อส่งตัวเองเข้าไปยังห้วงมิติเหนือสายหมอก
ปัจจุบันเป็นเวลาสามชั่วโมงพอดิบพอดีหลังจากการมาเยือนคราวก่อน
บนโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณ ขวดแก้วกลายพันธุ์ที่ติดอยู่กับไม้กางเขนเจิดจรัสด้วยพลังของมิติหมอก ปราศจากลวดลายตาข่ายระยิบระยับโดยสิ้นเชิง เปลี่ยนจากชิ้นงานศิลป์กลายเป็นเพียงขวดแก้วธรรมดาตามท้องถนน
ก้นขวดแก้วที่มีสสารสีเทาอ่อนกำลังถูกขับออกมา สารดังกล่าวไหลเวียนอย่างอิสระและค่อยๆ ก่อตัวเป็นวัตถุรูปทรงหัวใจขนาดเท่ากำปั้นเด็ก และไม่เพียงจะมีรอยหยักย่น แต่ยังรวมไปถึงรอยแยกที่ดูคล้ายกับดวงตา ในส่วนของลวดลายสามมิติมายาที่ขยายออกไปยังความว่างเปล่าโดยรอบ ลักษณะของมันเหมือนกับตะกอนพลังของเฮอร์วิน·แรมบิสที่ไคลน์เคยเห็น
มีจุดแตกต่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น… ไคลน์คลายพันธนาการและนำไม้กางเขนเจิดจรัสออกจากปากขวด
จัดการเสร็จ วัตถุที่ถูกขับออกมาได้แยกตัวจากขวดแก้วโดยสมบูรณ์ กลายเป็นเอกเทศและอิสระ
ไคลน์เหยียดแขนซ้ายออกไปหยิบวัตถุที่ดูเหมือนทั้งหัวใจและสมอง หลังจากตรวจสอบสองสามวินาที มันโยนกลับเข้าไปในกองขยะและใช้พลังมิติหมอกห่อหุ้มไว้
ทันใดนั้น เสียงที่อ่อนเพลียดังออกจากขวดแก้วกลายพันธุ์
“เจ้ามัน… ปีศาจ…”
ไคลน์ไม่ตอบ เพียงใช้มือขวากระแทกไม้กางเขนเจิดจรัสให้กลับเข้าไปในปากขวดโดยอาศัยแรงกดจากพลังมิติหมอก
เสร็จขั้นตอนดังกล่าว พระราชวังโบราณกลับไปอยู่ในสภาพสงบสุขอีกครั้ง
หลังจากกลับมายังโลกความจริง ไคลน์สวมหมวกทรงสูง ถือไม้ค้ำ เดินทางออกจากบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนด้วยรถม้า ปลายทางคือบ้านเลขที่ 39 ในถนนเส้นเดียวกันของส.ส. มัคท์
ภายในห้องนั่งเล่นที่โอ่อ่าของบ้านส.ส. แขกจำนวนหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงรอบถาดสามชั้นหรูหราซับซ้อน ด้านหน้าทุกคนเป็นถ้วยชาดำที่มีเสน่ห์
ไคลน์หยิบแซนด์วิชแตงกว่าขึ้นมากัดคำเล็ก เล่าความรู้สึกในเชิงติดตลก
“ของหวานวันนี้ดูพิเศษมาก ไม่ว่าจะเป็นเค้กแคร์รอตหรือขนมพายครีม”
มัคท์หัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ดอน… ความช่างสังเกตของคุณนั้นไร้ที่ติมาก”
ไม่เกี่ยวกับความช่างสังเกตเลยสักนิด ตราบใดที่ไม่ตาบอด ก็ต้องเห็นอยู่แล้วว่ารูปลักษณ์ของพิลึกกึกกือ… ไคลน์รำพันเล็กน้อย
“เป็นของสำคัญสินะครับ”
“แน่นอน เฮเซลเป็นคนอบเองกับมือ… คุณจะลองชิมดูก็ได้ ถึงเฮเซลจะยังควบคุมรูปทรงได้ไม่ดีนัก แต่รสชาติชั้นหนึ่งเลย” มัคท์กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
พอร์ตแลนโมมงต์ที่นั่งด้านข้าง ผู้เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยเบ็คลันด์ หัวเราะและกล่าว
“ฟังดูไม่เหมือนเฮเซลที่ผมรู้จักเลย”
มัคท์ชำเลืองมาดามลีอานน่าและกล่าวด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“ทุกคนย่อมเติบโต… ใช่ไหมล่ะ? พักหลังเฮเซลเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ไม่เพียงแต่จะเสนอตัวเรียนเกี่ยวกับการเข้าสังคมและแต่งงานด้วยตัวเอง แต่ยังรวมถึงการทำขนมและเล่นดนตรีให้พวกเราฟัง พาแม่ไปชมดนตรี แข่งม้า และช็อปปิ้ง แถมยังเป็นผู้ฟังที่ดีในซาลอนและงานเลี้ยง”
จากคำบอกเล่าของมิสจัสติส ขั้นตอนการรักษาเฮเซลดำเนินไปถึงจุดที่เธอสามารถนึกถึงความเจ็บปวดและอาการตกตะลึงในอดีต แม้จะมาแค่อารมณ์เพียวๆ โดยไม่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ใดเป็นพิเศษ แต่ก็มากพอที่จะทำให้เฮเซลฝันถึงการสูญเสียครอบครัวและญาติ… สิ่งนี้ทำให้เธอรักและเอ็นดูครอบครัวมากขึ้น? จนต้องผลักดันตัวเองมากขนาดนี้? ไคลน์พยักหน้าพลางรักษารอยยิ้ม
“ยอดเยี่ยมมาก”
“ใช่แล้วล่ะ” มัคท์ตอบด้วยอารมณ์ซับซ้อน “ผมเป็นห่วงนิสัยของเธอมาตลอด กังวลว่าจะไม่ได้แต่งงานกับคนดีๆ และขาดโอกาสติดต่อกับคนภายในแวดวงทางสังคม ถ้าเป็นแบบนั้น หลังจากพวกเราตายไป เธอคงไม่สามารถหาใครมาช่วยเหลือได้ในตอนที่เผชิญปัญหา… แต่ปัจจุบัน ผมหมดห่วงกับเรื่องนี้แล้ว”
มัคท์เผยรอยยิ้มจริงใจขณะเล่าความเครียดที่มันมักเก็บไว้คนเดียว
จากนั้น มันยกมือขึ้นโบกอย่างอ่อนโยนและกล่าวด้วยความมั่นใจ
“ทำไมผมต้องเสี่ยงทำให้ตัวเองมีศัตรูท่ามกลางหมอกและมลพิษที่คร่าชีวิตไปมากมายขนาดนี้? ทำไมพวกเราถึงต้องต่อสู้แย่งชิงอาณานิคมในไบลัมตะวันออกกับฟุซัคและไบลัมตะวันตกกับอินทิส? ไม่ใช่เพื่อให้ลูกหลานมีชีวิตที่ดีขึ้นหรอกหรือ? ไม่ใช่เพื่อให้ความกังวลลดลงหรอกหรือ? สำหรับผม ความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับเฮเซลนั้นมากมายยิ่งกว่าผลงานในไบลัมตะวันออก และมีความหมายยิ่งกว่าการต่อสู้ในสภาสามัญ”
ขณะฟังคำบรรยายจากส.ส. มัคท์ ไคลน์อดไม่ได้ที่จะมองออกไปนอกหน้าต่าง
เนื่องจากไม่มีดวงอาทิตย์ บรรยากาศจึงค่อนข้างมืด
ทันใดนั้น พอร์ตแลนด์·โมมงต์ตอบมัคท์แบบติดตลก
“ไม่ใช่เสียทั้งหมด… การที่พวกเราทำสิ่งเหล่านั้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อตัวเราเอง”
กล่าวถึงตรงนี้ มันหันไปมองไคลน์และพูด
“ดอน… คุณไตร่ตรองดูหรือยัง? อยากทุนกับห้องวิจัยเครื่องจักรของผมไหม?”
ไคลน์หัวเราะแห้ง
“คุณอธิการบดี ทำไมถึงเอาแต่กังวลเป็นหนุ่มๆ ไปได้? ผมได้อ่านข้อมูลที่ส่งมาและมองเห็นภาพรวมเกี่ยวกับสิทธิ์และรายได้เบื้องต้นแล้ว พูดกันตามตรง ผมสนใจมาก… การช่วยให้คนหนุ่มสาวที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ได้ฝึกฝนตัวเองในห้องวิจัยแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจ ควรค่าแก่การลงทุนเป็นอย่างยิ่ง… ในยุคสมัยปัจจุบัน สิ่งใดสำคัญที่สุด? ใช่แล้ว พรสวรรค์!”
“จักรพรรดิโรซายล์เองก็เคยกล่าวเอาไว้” พอร์ตแลนด์·โมมงต์หัวเราะในลำคอ “เช่นนั้นแล้ว คุณสนใจจะลงทุนเท่าไร?”
ดอนยกถ้วยกระเบื้องเคลือบขึ้นมาดื่มชาดำหนึ่งจิบ
“แผนเบื้องต้นคือหนึ่งหมื่นปอนด์”
“สมแล้วที่ได้เป็นเศรษฐีคนดังแห่งเบ็คลันด์ในระยะหลัง ดิฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคุณมีทรัพย์สินมากแค่ไหนกันแน่… ในตอนแรก คุณบริจาคให้หุ้นกว่าหนึ่งหมื่นปอนด์ให้โบสถ์รัตติกาล จากนั้นก็จ่ายอีกสองหมื่นปอนด์เพื่อซื้อคฤหาสน์เพลงกุหลาบ และนี่ยังจะบริจาคอีกหนึ่งหมื่นปอนด์เพื่อลงทุนกับห้องวิจัยเครื่องจักรของพอร์ตแลนด์…” มาดามลีอานน่าอดไม่ได้ที่จะอุทาน
พอร์ดแลนด์ยกนิ้วโป้งให้
“สมแล้วที่เป็นนักลงทุนวิสัยทัศน์ไกล”
ไคลน์ยิ้ม
“แต่ผมยังคงมองหาทีมนักกฎหมายและนักบัญชีเพื่อยืนยันสถานการณ์และกำหนดเงื่อนไข งานของมืออาชีพก็ต้องปล่อยให้มืออาชีพจัดการ นอกจากนั้น ผมยังต้องคิดด้วยว่าจะลงทุนตรงๆ หรือก่อตั้งบริษัทหรือกองทุนและลงทุนผ่านมันดี… จริงสิ พอร์ตแลนด์ ผมมองว่าคุณตกหล่นไปบางเรื่อง ห้องวิจัยที่สำคัญเช่นนี้ทำไมถึงไม่เคยถูกประเมินระดับความปลอดภัยเลย? คุณไม่กลัวสายสืบจากบริษัทใหญ่หรือขั้วอำนาจฝั่งตรงข้ามแทรกซึมเข้ามาและก่อความพินาศบ้างหรือ?”
พอร์ตแลนด์·โมมงต์ผงะเล็กน้อย ตามด้วยผงกศีรษะเชื่องช้า
“สมเหตุสมผล… ผมมองข้างปัญหานี้ไปจริงๆ”
เมื่อประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการ ไคลน์ไม่สานต่อหัวข้อเดิม เลือกเปลี่ยนไปถามประเด็นอื่น
“ช่วงนี้มีข่าวเกี่ยวกับพันตรีโจนาส·โคลเกอร์บ้างไหม?”
มัคท์ถอนหายใจ
“ไม่เลย… ซิลวารัสยาร์ดกล่าวว่าพวกเขาตรวจสอบพื้นที่รอบๆ คฤหาสน์เพลงกุหลาบหมดแล้ว แต่ก็ไม่พบเบาะแสใดเลย”
กล่าวถึงตรงนี้ ส.ส. มัคท์ลดเสียงพูดลง
“ผมสงสัยว่าพันตรีอาจได้รับอุบัติเหตุระหว่างทำภารกิจลับ… ตอนนี้เบื้องบนกำลังทำตัวแปลกๆ”
ในบางแง่มุม สมมติฐานของนายถูกเผง… ไคลน์ถอนหายใจ
“ขอให้ไม่มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น”
ระหว่างงานเลี้ยงน้ำชายามเย็น ไคลน์ตรวจสอบเวลาและขอตัวไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นก็นำตะกอนพลังนักท่องฝันที่ถูกขับออกมาจากขวดกลายพันธุ์โยนลงไปในกองขยะ
เมื่องานเลี้ยงจบลง ไคลน์เดินทางกลับบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนด้วยสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างมืด โคมไฟแก๊สริมถนนสองฝั่งถูกจุดก่อนเวลาอันควรเนื่องด้วยสายฝนที่โปรยปรายลงมา
ปัจจุบัน คำถามทั้งหมดพุ่งตรงไปยังสิ่งที่อยู่ภายในโบราณสถานจักรพรรดิโลหิต ขอเพียงสามโบสถ์หลักค้นพบความผิดปรกติได้ทันเวลา เหตุการณ์ร้ายๆ จำนวนมากจะไม่เกิดขึ้น… ไคลน์มองออกไปนอกหน้าต่างที่พร่ามัวเพราะสายฝน ภายในใจครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะหลัง
สำหรับตอนนี้ นอกจากการช่วยจับตัวคาร์เทอริน่า เราแทบทำประโยชน์อะไรไม่ได้… นอกจากนั้น เทพธิดาที่กำลังพยายามย่อยหรือควบคุม ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางมรณาก็คงมีพลังไม่พอที่จะตอบสนองต่อพิธีกรรมใหญ่…
ในการจะแก้ปัญหา เรามีสองทางเลือก หากไม่ขอสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ที่มีพลังในกำหนดเป้าหมายมาจากมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ ก็คงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากโบสถ์จักรกลไอน้ำและวายุสลาตัน ดูว่าเทพแท้จริงของใครจะตอบสนองในเวลาแบบนี้ได้… แต่สำหรับสมบัติปิดผนึกระดับ 0 นั่นอาจไม่พอที่จะรับมือเนื่องจากฝ่ายศัตรูมีราชาเทวทูต และในส่วนของอีกสองโบสถ์ มีความเป็นไปได้มากที่เบื้องบนของพวกมันจะเป็นคนทรยศ…
การเดินทางจากบ้านเลขที่ 39 มายังบ้านเลขที่ 160 บนถนนเดียวกันกินเวลาไม่นานนัก ยังไม่ทันที่ไคลน์จะได้ขบคิด รถม้าก็แล่นมาถึงหน้าประตูของอาคารหลัก จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลงไป
เมื่อกลับถึงห้องบนชั้นสามและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ สัมผัสวิญญาณของชายหนุ่มพลันถูกกระตุ้น จากนั้น ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ผู้ถือสี่หัวทองตาแดงก็เดินออกจากความว่างเปล่า
“จากชารอน?” มันเดาก่อนจะรับจดหมาย
“ใช่…” หนึ่งในศีรษะของไรเน็ตต์ตอบ
โดยไม่มากพิธี ไคลน์เปิดกระดาษจดหมายและคลี่อ่าน บนกระดาษมีข้อความเขียนไว้เพียงหนึ่งประโยค
“พวกเราจะลงมือสี่ทุ่มคืนนี้”
……………………………….