ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1100 : หนังสือ
เหนือสายหมอกสีเทาไร้ขอบเขต ภายในวังโบราณที่คล้ายกับถิ่นพำนักของทวยเทพ
เสาลำแสงสีแดงสว่างขึ้นจากสองฝั่งโต๊ะทองแดงยาว ก่อนที่แสงสีแดงจะควบแน่นกลายเป็นร่างคนพร่ามัว
จัสติส ออเดรย์ลุกขึ้นยืน จับชายกระโปรงมายาพร้อมกับโค้งคำนับ
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล”
เธอมิได้กำลังหดหู่ เพียงแต่หลายสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะหลังได้พรากความสดใสร่าเริงไปจากหญิงสาว
เมื่อสมาชิกทุกคนทำความเคารพเสร็จและนั่งลง ออเดรย์กวาดตามองไปรอบๆ เป็นนิสัยของคนช่างสังเกต
แทบจะในทันที เธอพบว่ามาดามเฮอร์มิทมีสภาพจิตใจและภาษากายที่ย่ำแย่ คล้ายกับกำลังกังวลในบางเรื่อง
เกี่ยวกับราชินีเงื่อนงำ? หรือเป็นปัญหาอื่น? หรือทั้งสอง? จัสติส ออเดรย์ประหลาดใจเจือความอยากรู้อยากเห็น
หลังจากผ่านชุมนุมทาโรต์มาด้วยกันหลายครั้ง ออเดรย์วาดภาพร่างจิตใจของมาดามเฮอร์มิทไว้ในระดับหนึ่ง โดยเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นผู้วิเศษที่มีนิสัยขัดแย้งในตัวเอง ในบางแง่มุม มาดามเฮอร์มิททั้งฉลาด มากประสบการณ์ เปี่ยมความรู้ สุขุม และพึ่งพาได้ แต่ในบางแง่มุม เธอกลับกล้าหาญเกินไปจนติดประมาท เหมือนกับเด็กสาวเลือดร้อน
เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างอีกฝ่ายกับราชินีเงื่อนงำ ออเดรย์ตีความว่า แม้มาดามเฮอร์มิทจะมากประสบการณ์ แต่ในหลายครั้งก็เป็นการฝ่าฟันอุปสรรคด้วยพรและแผนการของราชินีเงื่อนงำ นอกจากนั้นยังมีมุมของเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่โหยหาความรักความห่วงใย
และด้วยนิสัยลับๆ ในแง่มุมดังกล่าว ออเดรย์เชื่อว่า หากมาดามเฮอร์มิทได้พบกับคนที่ถูกทอดทิ้ง ซึ่งไม่เคยก่อความผิดร้ายแรง เธอจะเกิดความรู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจโดยไม่รู้ตัว ต้องการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น
ขณะเดียวกัน เมื่อนำรายละเอียดที่เกี่ยวกับมาดามเฮอร์มิทจำพวก: เพศหญิง อยู่ในลำดับห้า ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในทะเล ครอบครองสมบัติวิเศษหลายชิ้น มากประสบการณ์และความรู้ มักสวมแว่นตาหนา และมีปฏิสัมพันธ์กับเกอร์มันสแปร์โรว์ มารวมเข้าด้วยกัน ออเดรย์เชื่อว่าตนสามารถคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของมาดามเฮอร์มิทได้อย่างมั่นใจขอเพียงได้เห็นใบประกาศจับสักครั้ง อย่างไรก็ตาม เธอจงใจจะไม่ทำเช่นนั้น
ปัจจุบัน มาดามเฮอร์มิทน่าจะกลายเป็นครึ่งเทพลำดับสี่ เรียบร้อยแล้ว เธอไม่น่าจะมีเรื่องให้กังวลมากนัก… และคงไม่เกี่ยวกับการปะทุของสงคราม โจรสลัดที่เก่งกาจทางทะเลไม่น่าจะกังวลในเรื่องดังกล่าว… ท่ามกลางกระแสความคิด เนื่องจากยังข้อมูลไม่เพียงพอ ออเดรย์จึงมิอาจคาดเดาสาเหตุความกังวลของมาดามเฮอร์มิท ทำได้แค่เดาว่าเกี่ยวข้องกับราชินีเงื่อนงำ
ในเวลาเดียวกัน แคทลียากำลังครุ่นคิดเพียงสองเรื่อง
เหตุใดราชินีถึงส่งมอบไดอารีจำนวนมากขนาดนี้ในคราวเดียว? ถ้าไม่ใช่เพราะเราคือปราชญ์พิศวง คงคัดลอกไดอารีจำนวนมากขนาดนี้ไม่ไหวแน่… เกิดอะไรขึ้น? ราชินีกำลังเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบาก?
เจ้าบ้าแฟรงค์ไม่ยอมประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับ คิดจะเลื่อนลำดับด้วยการดื่มโอสถเพียงอย่างเดียว… โชคดีที่เราห้ามไว้ได้ทัน… แต่พิธีกรรมของดรูอิดไม่ยากสักเท่าไร แฟรงค์เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสัตว์ทั่วไปเป็นทุนเดิม รวมถึงสัตว์วิเศษอีกไม่ต่ำกว่าสามชนิด… ในฐานะนักชีววิทยาสติเฟื่องที่หลงใหลในการผสมข้ามสายพันธุ์ แฟรงค์พร้อมแล้วสำหรับพิธีกรรม ภายในหนึ่งสัปดาห์… ไม่สิ สองวัน เขาจะกลายเป็นดรูอิด สิ่งที่ต้องทำเหลือแค่การเขียนความรู้และประสบการณ์ให้เป็นลายลักษณ์อักษร…
แคทลียาพยายามสลัดความกังวล เธอหันหน้าไปทางสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว ก้มศีรษะลงเล็กน้อยและกล่าวด้วยความเคารพ
“เรียนมิสเตอร์ฟูล คราวนี้ดิฉันรวบรวมไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ได้หนึ่งเล่ม”
หนึ่งเล่ม… ได้ยินคำกล่าวของมาดามเฮอร์มิท สมาชิกชุมนุมทาโรต์ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่แฮงแมน ต่างพากันตกตะลึงสุดขีด
ในอดีต อย่างมากก็สองถึงสามหน้า เฉลี่ยแล้วหนึ่งถึงสองหน้า แต่คราวนี้กลับทั้งเล่ม!
เกิดอะไรขึ้น? แม้แต่คนที่ให้ความสนใจไดอารีน้อยที่สุดอย่างเดอะซัน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม
ทุกคนทราบดี ราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดต คือบุตรสาวคนโตของจักรพรรดิโรซายล์ การรวบรวมไดอารีจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่การส่งมอบทีเดียวทั้งเล่มก็ไม่ปรกติเช่นกัน!
เฮอร์มิท แคทลียาเพิกเฉยสายตาของสมาชิกคนอื่นที่กำลังจดจ้อง
“เนื้อหาด้านในอาจไม่ปะติดปะต่อ แต่ทั้งหมดถูกเขียนในช่วงบั้นปลายชีวิต”
“ยอดเยี่ยม” เดอะฟูล ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา เป็นนัยให้มาดามเฮอร์มิทเริ่มเขียนได้เลย
หน้าไดอารีสีเหลืองถูกเขียนขึ้นแผ่นแล้วแผ่นเล่า จากนั้นก็ถูกนำมาเรียงเป็นเล่ม
หลังจากไคลน์รับมา มันเปิดอ่านคร่าวๆ ก่อนจะปิดกลับและวางลง หันไปมองแคทลียา
“เชิญถาม… เมื่อนับรวมทั้งหมด เจ้าสามารถถามได้สิบข้อ”
มันไม่รีบร้อนอ่านทันทีเพราะไดอารีมีจำนวนหน้ามากเกินไป ไม่ต่ำกว่าสามสิบแผ่น หากต้องอ่านทั้งหมดอย่างละเอียด สมาชิกชุมนุมทาโรต์ต้องนั่งรอเป็นเวลานาน และนั่นอาจทำให้ภาพลักษณ์ของเดอะฟูลเสื่อมเสีย ไคลน์จึงเก็บไว้อ่านรวดเดียวหลังการชุมนุมยุติ
สิบ… เฮอร์มิท แคทลียาปวดหัวทันที เพราะราชินีเงื่อนงำฝากคำถามมากับเธอแค่สองข้อ
หญิงสาวไตร่ตรองสักพัก
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ แบ่งเก็บไว้ถามวันอื่นได้ไหม?”
“ได้” ไคลน์พยักหน้าพลางยิ้ม
มันต้องการแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะการตอบคำถามรวดเดียวสิบข้อ สำหรับมิสเตอร์ฟูลก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
เฮอร์มิท แคทลียาถอนหายใจโล่งอก
“ครั้งนี้มีสองข้อ… ข้อแรก ทำไมถึงต้องคอยระวังผู้ชม?”
ระวังผู้ชม? ออเดรย์เผยสีหน้ามึนงง ไม่ว่าจะครุ่นคิดสักเพียงใดก็มิอาจหาเหตุผลมารองรับ ถึงขั้นตรวจสอบตัวเองอย่างละเอียด
คอยระวังผู้ชม? เดอะมูน เอ็มลิน เดอะสตาร์ เลียวนาร์ด และสมาชิกที่เหลือต่างหันไปมองมิสจัสติส
เดอะฟูล ไคลน์หัวเราะในลำคอ กล่าวด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“ผู้ชมมักซ่อนตัวในเงามืดและคอยบงการทุกสิ่ง ตรวจสอบได้ยาก แทบไม่มีวิธีรับมือ… จากบรรดาทั้งหมด บุคคลที่ต้องระวังมากที่สุดคือเทวทูตจินตภาพ อาดัม… ชายคนนั้นกำลังจะเถลิงบัลลังก์เทพ เหลือแค่การดื่มโอสถในวินาทีที่กระแสแห่งเวลาดำเนินไปถึงจุดที่คาดหวัง”
“กระแสแห่งเวลาดำเนินไปถึงจุดที่คาดหวัง… หมายถึง… คอยชักใยให้โลกดำเนินไปถึงจุดที่ตัวเองหวังไว้?” ออเดรย์อดไม่ได้ที่จะถามเดอะฟูล
ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา
“ถูกต้อง… สิ่งที่อาดัมคาดหวังไว้ก็คือ… สงครามใหญ่ซึ่งปกคลุมทั่วโลก”
นี่มัน… ไม่ว่าจะเป็นแฮงแมน อัลเจอร์ เฮอร์มิท แคทลียา หรือสมาชิกชุมนุมทาโรต์ที่เหลือ ทุกคนล้วนถูกถล่มด้วยข้อมูลจากปากมิสเตอร์ฟูลจนสมองชาไปหลายวินาที
ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์เทพ หรือกระแสแห่งเวลา ทุกสิ่งล้วนเป็นเนื้อหาในระดับสูง สูงจนไม่มีใครเอื้อมถึง!
ทันใดนั้น พวกมันเริ่มเข้าใจว่าทำไมสมาคมแปรจิตถึงคอยสนับสนุนแผนการของราชวงศ์ และสมาชิกบางคนที่รู้จักสภานักสิทธิ์สนธยา เริ่มเข้าใจนิยามของกระแสแห่งเวลาได้ชัดเจนขึ้น
มีเพียงตัวตนระดับมิสเตอร์ฟูลเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมในเกมระดับนี้… แฮงแมน อัลเจอร์สลัดความฟุ้งซ่าน ถอนหายใจแผ่วเบาพร้อมกับทวีความอยากเป็นครึ่งเทพ
มันเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า สงครามในปัจจุบันจะหยิบยื่นโอกาสนั้นให้ แต่ก็ไม่มั่นใจว่าตนจะคว้าเอาไว้ได้ไหม
ขณะสมาชิกชุมนุมทาโรต์กำลังใช้ความคิดอย่างเงียบงัน ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน เพราะแม้แต่มันก็จนปัญญาจะยับยั้งสงคราม อย่างไรก็ตาม หากพิธีกรรมเถลิงบัลลังก์เทพของจอร์จที่สามล้มเหลว ไคลน์ก็ยังพอมองเห็นโอกาสในการบรรเทาความโหดร้ายบางส่วนของสงคราม แต่ไม่ใช่กับภาพรวมแน่นอน สงครามนี้ไม่วันถูกหยุดได้อีกแล้ว ต่อให้ตัวมันเป็นเทวทูตลำดับหนึ่ง ถึงกระนั้นก็ยังมีพลังไม่มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ หากยังดื้อรั้นจะเอาตัวเข้าไปขวาง ชะตากรรมเดียวคือการถูกกงล้อแห่งประวัติศาสตร์บดขยี้
หากไม่นับอาดัมซึ่งวางแผนและเตรียมการเกี่ยวกับสงครามมานานกว่าพันปี หรืออาจนานถึงสองพันปี ต่อให้เป็นราชาเทวทูตตนอื่นก็คงทำอะไรไม่ได้มากนัก อย่างเก่งก็แค่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในพื้นที่เล็ก มิอาจเข้าไปขวางกระแสหลัก หากต้องการยับยั้งให้สำเร็จ เกรงว่าหนทางเดียวคือการภาวนาให้เหล่าทวยเทพลำดับ 0 ขยับตัว… เข้าใจแล้วว่าทำไมจักรพรรดิโรซายล์ถึงเคยกล่าวไว้ว่า วิธีเดียวที่จะปกป้องตัวเองและคนสำคัญรอบข้าง คือการก้าวไปเป็นเทพแท้จริงให้ได้… สิ่งที่เราทำได้ในปัจจุบัน… สั่งให้กลุ่มต่อต้านบนหมู่เกาะรอสต์เตรียมความพร้อม หากมีโอกาสให้ดำเนินแผนทวงคืนดินแดนอาณานิคมทันที… ไคลน์สลัดความคิด ยังคงรักษารอยยิ้มไว้บนใบหน้า
มันไม่ใช่คนตาบอดที่ทะเล่อทะล่าเข้าไปขวางกระแสสงครามโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่อย่างน้อย ประสบการณ์และการศึกษาจากชาติก่อน รวมถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินจากทวีปใต้ ทำให้ไคลน์กล้าที่จะวางแผนล้มล้างการกดขี่ของชาติอาณานิคม
สรุปโดยสั้น สิ่งที่มันไม่ชอบใจ ถึงขั้นเกลียดชังก็คือสงครามที่ไม่ยุติธรรม
เมื่อแคทลียาตระหนักถึงสายตาจากมิสเตอร์ฟูล เธอรีบสลัดความปั่นป่วนทางใจและกล่าวต่อ
“ข้อที่สอง… สุสานลับแห่งใดของจักรพรรดิโรซายล์ที่ยังไม่ถูกค้นพบ”
สุสานลับ? ที่ยังไม่ถูกค้นพบ? เมจิกเชี่ยน ฟอร์สรีบรวบรวมสติเพื่อตั้งใจฟัง โดยมองว่านี่คือวัตถุดิบชั้นเลิศสำหรับเขียนนิยาย
จากคำถามดังกล่าว จัสติส ออเดรย์และแฮงแมน อัลเจอร์ ฉุกคิดได้หนึ่งเรื่อง
บุตรสาวคนโตของจักรพรรดิโรซายล์ยังไม่ยอมรับการตายของผู้เป็นบิดา ปัจจุบันยังคงไล่ตามร่องรอยที่จักรพรรดิโรซายล์เหลือทิ้งไว้ โดยหวังว่าสักวันจะชุบชีวิตพ่อบังเกิดเกล้าขึ้นมาใหม่
แต่แน่นอน ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ก็คือ ภายในสุสานมีสมบัติที่ราชินีเงื่อนงำปรารถนา
โรซายล์ก็มีสุสานลับกับเขาด้วย? ข้างในจะมีอะไรกันนะ… เดอะสตาร์ เลียวนาร์ด และจัดจ์เมนต์ ซิลต่างสนใจประเด็นเดียวกัน
เดอะฟูล ไคลน์เตรียมคำตอบไว้แล้ว จึงยิ้มอย่างอ่อนโยนและเปล่งเสียง
“ที่ใดสักแห่งในทะเลหมอก อาจเป็นบนเกาะโบราณลึกลับที่โรซายล์เคยค้นพบ หรือไม่ก็ในนรกที่โรซายล์เคยไปเยือน”
นรก… คิ้วเอ็มลินกระตุกขึ้นมาทันที
มีตำนานมากมายบันทึกไว้ว่า เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดต้องเผชิญกับหายนะในยุคสมัยที่สอง แม้เอ็มลินจะได้อ่านเรื่องราวเหล่านั้นหลังจากเหตุการณ์ล่วงเลยมากว่าพันปี แต่มันก็ยังซึมซับความโกลาหลและปั่นป่วนในช่วงเวลาดังกล่าวได้อย่างแจ่มชัด
เดอร์ริค เดอะซันเกิดความรู้สึกที่คล้ายคลึงกัน แต่ไม่รุนแรงเท่าเอ็มลิน นั่นเป็นเพราะเด็กหนุ่มได้รับการศึกษาที่เข้มงวด เมืองเงินพิสุทธิ์จะสอนเด็กทุกคนว่า การอ่านเรื่องราวในลักษณะดังกล่าวจะทำให้จิตใจได้รับภาระหนัก รวมถึงอิทธิพลทางอารมณ์ที่จะติดตัวไปในภายหลัง ส่งผลให้เดอร์ริคไม่เคยอ่านตำนานหรือบันทึกประวัติศาสตร์อย่างส่งเดช
นรก… จัสติส ออเดรย์ จัดจ์เมนต์ ซิล และคนอื่นต่างทวนคำในใจแผ่วเบา
ในชีวิตประจำวันของทุกคน ส่วนใหญ่คำว่านรก จะใช้ในเชิงเปรียบเปรยมากกว่า เป็นสัญลักษณ์แทนอันตราย ความเจ็บปวด ต่ำทราม และสกปรกชั่วร้าย
แต่กลับต้องผิดคาด นรกมีอยู่จริง ที่ใดสักแห่งในทะเลหมอก