ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1104 : ขัดแย้ง
ความเงียบปกคลุมสายหมอกสีเทาราวกับการชุมนุมเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
ไคลน์งอนิ้วเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาว เสกให้ไดอารีของโรซายล์ที่แคทลียาเพิ่งเขียนปรากฏอีกครั้ง
ท่ามกลางภาวะสงบนิ่งที่ยากอธิบาย ไคลน์จ้องย่อหน้าแรกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“27 กันยายน เราได้พบกับมิสอิทากาอีกครั้งและมีประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นแต่งดงามกับเธอ เป็นอย่างที่คิด เราชอบสตรีในวัยนี้มากกว่า ไม่ใช่เพียงเพราะคิดถึงช่วงชีวิตในวัยหนุ่ม แต่เป็นเพราะเราไม่เปลี่ยนไปเลยในช่วงที่ผ่านมา หึหึ”
…ฉันจริงจังกับไดอารีของนายมาก แต่กลับเขียนอะไรแบบนี้มาให้อ่าน? มุมปากไคลน์กระตุกขณะรำพันจิกกัดจักรพรรดิโรซายล์ที่ตนเคยเห็นแค่เพียงจากในรูป
มันสลัดความคิดฟุ้งซ่านพร้อมกับเริ่มขยับดวงตา
…
ชั้นใต้ดินของวิหารนักบุญแซมมวล ภายในห้องพัก
หลังจากเลียวนาร์ด·มิเชลลืมตาขึ้น มันไตร่ตรองสักพักก่อนจะพูดโดยหรี่เสียง
“ตาแก่… ดูเหมือนว่าซาราธจากลัทธิเร้นลับจะอยู่ในเบ็คลันด์”
ภายในใจ เสียงค่อนข้างชราดังขึ้นทันที
“อย่างที่คิด…”
ได้ยินคำตอบ เลียวนาร์ดถามกลับ
“ตาแก่ คุณรู้จักซาราธใช่ไหม? ผมจำได้ คุณเคยบอกว่าตระกูลซาราธและโซโรอาสเตอร์ต่างเป็นขุนนางใหญ่แห่งจักรวรรดิโซโลมอน”
ตามความเห็นของเลียวนาร์ด ในฐานะสหายเก่า ตาแก่กับซาราธจะต้องเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน แล้วจะไม่รู้จักได้อย่างไร?
พาลีส โซโรอาสเตอร์ ‘เฮอะ!’ ในลำคอ
“ซาราธที่ข้าคุ้นเคยน่าจะร่วงหล่นไปในสงครามสี่จักรพรรดิแล้ว เจ้านี่คงเป็นลูกหลาน หรือไม่ก็เด็กกว่านั้น… หึหึ ซาราธในช่วงเวลาดังกล่าวได้รับเบาะแสของตะกอนพลังลำดับ 1 ก้อนที่สองจากพระผู้สร้างแท้จริงมาแล้ว วางแผนจะไปตรวจสอบหลังจากสงครามจบลง หากทำสำเร็จ เจ้านั่นจะกลายเป็นราชาเทวทูตทันที แต่น่าเสียดาย… ซาราธในเวลานั้นต้องเผชิญหน้ากับตระกูลอันทีโกนัสซึ่งรู้จักกันในนาม ‘ฮาล์ฟฟูล’ นอกจากนั้นยังมีเบเทล·อับราฮัมเข้ามาเกี่ยวข้อง เจ้านั่นสามารถปรากฏตัวได้ทุกที่ทุกเวลา ว่ากันตามตรง หากเบเทล·อับราฮัมไม่ถูกขับไล่และผนึกโดยรัตติกาลกับวายุสลาตันตั้งแต่ต้นสงคราม เกรงว่าแม้แต่ข้าก็คงมิอาจอยู่รอดไปจนกระทั่งจบสงครามสี่จักรพรรดิ”
ฮาล์ฟฟูล… เปลือกตาเลียวนาร์ดกระตุกอย่างมิอาจหักห้าม อดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงตัวตนลึกลับเหนือสายหมอก
มันข่มสติและควบคุมความคิดของตัวเองให้ดำเนินไปในทิศทางอื่น
แม้แต่คำอธิบายของบุคคลใกล้ชิดในเวลานั้นก็ยังช่วยยืนยันว่า มิสเตอร์ประตูคือสุดยอดตัวตนในหมู่ราชาเทวทูต ขนาดเทพแท้จริงทั้งสองพระองค์ยังทำได้เพียงขับไล่และผนึกไว้ อา… แต่นั่นก็อาจเป็นไปได้ว่า มิสเตอร์ประตูเก่งกาจด้านการหลบหนีจนยากแก่การฆ่า… ภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียดของภาวะสงคราม ศัตรูตัวอันตรายควรถูกกีดกันออกจากสงครามให้เร็วที่สุดโดยไม่สนใจวิธีการ…
หึหึ เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต ตาแก่พลันกระสับกระส่ายและเล่าออกมามากมายในคราวเดียว…
ท่ามกลางกระแสความคิด เลียวนาร์ดพูดขึ้น
“ผมต้องอยู่ที่เบ็คลันด์เพราะคุณถูกใช้เป็นเหยื่อล่ออามุนด์?”
พาลีส·โซโรอาสเตอร์สลัดอารมณ์ด้านลบ
“ใครเป็นบอก? เจ้าไม่มีทางคิดได้เองแน่… แต่ช่างเถอะ การได้ทราบความจริงจากเครือข่ายข้อมูลก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายนัก”
ผมเก่งในเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่เข้าร่วมเหยี่ยวราตรีแล้ว! เลียวนาร์ดตอบในใจแบบไม่เปล่งเสียง
พาลีส·โซโรอาสเตอร์เล่าต่อ
“ข้าก็คิดแบบเดียวกัน… ขอสารภาพตามตรง ความสัมพันธ์ระหว่างอดีตเพื่อนร่วมงานของเจ้ากับรัตติกาลทำให้ข้าสับสนไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะพรแห่งการปกปิดในวันนั้นมอบความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ข้าเองก็คงไม่กล้าจินตนาการ… หึหึ ซาราธและข้าอยู่ที่เบ็คลันด์ ส่วนอามุนด์ก็กำลังจะตามมา… เกิดเป็นสามเหลี่ยมสมดุลที่สมบูรณ์”
หมายความว่ายังไง… พรแห่งการปกปิดในวันที่ใช้จัดการกับร่างโคลนอามุนด์เป็นพลังในขอบเขตรัตติกาล ไม่ใช่ของมิสเตอร์ฟูล? กำลังจะบอกว่ามิสเตอร์ฟูลร่วมมือกับเทพธิดา? หรือมีเบื้องบนของศาสนจักรคนใดศรัทธามิสเตอร์ฟูล? เลียวนาร์ดสับสนในจุดยืนตัวละครอย่างมาก
แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าพาลีส โซโรอาสเตอร์เองก็ประหลาดใจไม่น้อย มันตัดสินใจไม่ถามซักไซ้ประเด็นเดิม เพียงขมวดคิ้วและพึมพำ
“เทวทูตลำดับหนึ่ง สองตนกับอีกหนึ่งราชาเทวทูต… เบ็คลันด์จะไม่เกิดหายนะเอาหรือ?”
มันยังไม่ลืมว่า อามุนด์คือตัวตนสุดเลวร้ายที่สามารถฆ่าคนจำนวนมากได้อย่างเงียบเชียบ และชื่นชอบที่จะลิ้มรสประสบการณ์ของเหยื่อ
เมื่อพิจารณาจากจุดดังกล่าว ซาราธที่อยู่ในเส้นทางใกล้เคียงก็น่าจะมีพลังสุดน่าสะพรึงและสยองขวัญไม่ต่างกัน หากปะทะกับอามุนด์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากรุงเบ็คลันด์จะกลายเป็น ‘เมืองแห่งคนตาย’ หรือไม่ก็ ‘เมืองพิสดาร’ !
พาลีส·โซโรอาสเตอร์หัวเราะ
“สมดุลหมายถึงการที่ทุกคนขยับตัวไม่ได้ และนอกจากนั้น อามุนด์คงไม่ส่งร่างจริงมา อย่างมากก็เป็นร่างโคลนจำนวนมหาศาล… แม้ว่ารัตติกาลจะเสด็จลงมาไม่ได้ แต่ใช่ว่าวายุสลาตันจะไม่สามารถ”
“หมายความว่ายังไง?” เลียวนาร์ดสนใจคำสำคัญในประโยคของชายชรา
น้ำเสียงของพาลีส·โซโรอาสเตอร์แฝงความผ่อนคลายมากขึ้น
“ไม่ว่าจะเป็นเพราะสงครามหรือเหตุผลอื่น แต่รัตติกาลยังมิอาจแทรกแซงโลกความจริงได้อีกสักพักใหญ่ ไม่อย่างนั้นทางโบสถ์จะยอมเสี่ยงล่ออามุนด์เข้ามาถ่วงดุลอำนาจทำไม? พระองค์คงวางกับดักไว้แล้ว และเป็นกับดักที่สามารถจับกุมซาราธ หรือไม่ก็ทำให้นักทำนายขี้ขลาดนั่นเผ่นหนีหางจุกก้น”
“…มีอะไรเกิดขึ้นกับเทพธิดางั้นหรือ” เลียวนาร์ดกระวนกระวายใจทันที
เสียงค่อนข้างชราตอบ
“อาจไม่ใช่ในทางที่แย่เสมอไป… น่าจะเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ”
โดยไม่รอให้เลียวนาร์ดถาม พาลีส·โซโรอาสเตอร์ถอนหายใจพร้อมกับเล่าต่อ
“อามุนด์ถูกล่อมายังเบ็คลันด์เพราะข้า… แล้วซาราธล่ะ? แล้วข้าล่ะ?”
“ซาราธก็คงถูกล่อมาเพราะคุณเหมือนกัน ส่วนคุณอยู่ที่เบ็คลันด์ก็เพราะผม…” เลียวนาร์ดครุ่นคิดก่อนจะมอบคำตอบ
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่เบ็คลันด์” ซาราธถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
เลียวนาร์ดตอบทันที
“ศาสนจักรสั่งให้อยู่… ตัวผมไม่มีทางเข้าไปพัวพันกับกฎการดึงดูดของพลังพิเศษอยู่แล้ว”
“ไม่เสมอไป” พาลีสทำเสียงขรึม “มีหลายครั้งที่กฎการดึงดูดของพลังพิเศษเกิดขึ้นในจุดที่อยู่นอกเหนือการรับรู้ของเจ้า เป็นอิทธิพลในเชิงชะตากรรม ยกตัวอย่างเช่น ขณะกำลังนั่งรถไฟ เจ้ารู้สึกอย่างกะทันหันว่าวิวทิวทัศน์ระหว่างทางช่างงดงาม จึงตัดสินใจลงที่สถานีดังกล่าวและดื่มด่ำไปกับบรรยากาศในเมืองเล็ก แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะในละแวกใกล้เคียงมีตะกอนพลังหรือสมบัติวิเศษในเส้นทางเดียวกันอยู่”
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง ยังมีสิ่งอื่นที่คอยดึงดูดคุณกับซาราธให้อยู่ในเบ็คลันด์ และเนื่องจากชะตากรรมของคุณ ผมจึงได้รับผลกระทบด้วยการถูกทางศาสนจักรสั่งให้ประจำการในเบ็คลันด์?” เลียวนาร์ดที่เริ่มกระจ่าง ถามเพื่อขอคำยืนยัน
พาลีส·โซโรอาสเตอร์ถอนหายใจเชื่องช้า
“อย่ามองข้ามความเป็นไปได้ดังกล่าว”
…
เหนือมิติหมอก ไคลน์พลิกหน้ากระดาษไดอารีแสนมีค่า
“21 พฤศจิกายน เป็นเพราะเราเตรียมตัวอย่างบ้าคลั่งมาตั้งแต่ต้น จึงได้ครอบครองสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ที่น่าสะพรึงและวุ่นวายเร็วกว่าที่คิดไว้มาก”
“หลังจากนั้น เมื่อผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากซึ่งได้รับความช่วยเหลือบางส่วนจากภายนอก เราเปลี่ยนมันกลับไปเป็นตะกอนพลังบริสุทธิ์ของลำดับ 1 ได้สำเร็จ”
“ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า พิธีกรรมจะเสร็จสมบูรณ์ เราจะเลื่อนเป็นลำดับ 1 จักรพรรดิความรู้แห่งเส้นทางผู้ส่องความลับ”
“26 พฤศจิกายน แดดอ่อน อากาศเย็น”
“พิธีกรรมผ่านไปด้วยความราบรื่น เราย่อยมันได้อย่างสมบูรณ์ หลักยึดเหนี่ยวเองก็มั่นคงมาก ไม่มีสถานการณ์ที่ยากลำบากเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว”
“เนื่องจากเรากลายเป็นเทวทูตลำดับหนึ่ง จักรพรรดิความรู้ แบร์นาแดตจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับปราชญ์เร้นลับอีกต่อไป สามารถทำตามคติพจน์ ‘ทำทุกสิ่งที่อยากทำ แต่ต้องไม่เดือดร้อนใคร’ ได้อย่างอิสระ!”
“ขณะเดียวกัน การเป็นเทวทูตลำดับหนึ่ง ก็ยังหมายถึง เราสามารถทนต่อการจ้องมองและมลพิษจากอวกาศ ถึงเวลาแล้วที่จะไปสำรวจพระจันทร์สีแดงเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ที่นั่น”
“ไม่ว่ามิสเตอร์ประตูจะโกหกหรือไม่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พระจันทร์สีแดงคือต้นตอของปัญหาทั้งหมด หากเราต้องการเป็นเทพแท้จริง มีแต่ต้องหาคำตอบให้พบเท่านั้น”
“อีกสามวันข้างหน้า เราจะเหยียบพื้นดวงจันทร์!”
“อาจเป็นก้าวเล็กๆ ของเรา แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ! ฮะฮะ! คำนี้ไม่ได้คิดเองนะ”
อ่านถึงตรงนี้ ไคลน์หวนนึกถึงไดอารีหน้าที่สุดโต่งและอัดแน่นด้วยอารมณ์ และยิ่งทวีความเชื่อว่า ไดอารีหน้าดังกล่าวถูกเขียนขึ้นหลังจากมหาจักรพรรดิไปเหยียบดวงจันทร์มาแล้ว
วางไดอารีลง ไคลน์ตัดสินใจใช้พลังทำนายฝันเพื่อนึกทบทวนไดอารีทุกหน้าที่ตนเคยอ่านมาตลอดหนึ่งปีกว่า จากนั้นก็ทำการเปรียบเทียบก่อนและหลัง พยายามค้นหาเบาะแสที่ทำให้โรซายล์กลายเป็นบ้าในบั้นปลาย
เพียงไม่นาน มันเห็นแถวของตัวอักษรในความฝัน เป็นไดอารีที่เชื่อกันว่า นี่คือหน้าสุดท้ายที่จักรพรรดิเขียน
“ฉันคงมอบคำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงไม่ได้ เพราะไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเจ็ดเทพและเทพมารมาก่อน เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับข้อมูลลับที่ซ่อนอยู่ในศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองขององค์กรลับโบราณ แต่น่าเสียดายที่ฉันทำได้แค่เดาว่า คงมีเนื้อหาบางส่วนถูกซ่อนไว้”
ในไดอารีหน้าดังกล่าว จักรพรรดิกล่าวเตือน ‘สหาย’ อย่างใจเย็นให้คอยระวังดวงจันทร์
ภาพความฝันแตกสลาย ไคลน์ตื่นขึ้นด้วยดวงตาเจือความหวาดผวา
มันยังจดจำได้แม่นยำ ก่อนหน้านั้นนานมาแล้ว จักรพรรดิโรซายล์เคย ‘มั่นใจ’ ว่าศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองมีเนื้อหาบางส่วนถูกซ่อนไว้
“19 กรกฎาคม คืนจันทราโลหิต”
“คำตอบของมิสเตอร์ประตูช่วยยืนยันหนึ่งเรื่อง ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองที่เราเห็น นั่นยังไม่ใช่เนื้อหาที่สมบูรณ์!”
ได้ยังไง… จักรพรรดิลืม? ในเรื่องสำคัญแบบนี้เนี่ยนะ? ภาวะอารมณ์สุดโต่งไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับความจำเสื่อม… แล้วทำไมถึง… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะรำพัน ภายในใจรู้สึกหน่วงจนยากจะอธิบาย
มหาจักรพรรดิโรซายล์ซึ่งเขียนไดอารีหน้าสุดท้าย หรือประโยคสุดท้ายนั่น คล้ายกับเป็นคนละคน
………………………………….