ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1183 : ข้อได้เปรียบของไคลน์
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1183 : ข้อได้เปรียบของไคลน์
“…” เป็นอีกครั้งที่ไคลน์ตระหนักว่าทำไมอามุนด์ถึงมีฉายาว่าเทพแห่งการกลั่นแกล้ง
ไคลน์ไม่มีอารมณ์แม้แต่จะรำพันติดตลก ภายในใจคิดเพียงเรื่องเดียวคือการยกเลิกอัญเชิญภาพฉายทางประวัติศาสตร์เพื่อหลบหนีจากอามุนด์ตรงหน้า ไม่สิ ‘กลุ่ม’ อามุนด์ตรงหน้า
ศพไหม้เกรียมซึ่งถูกปรสิตยึดร่างทำการลบรอยไหม้บนใบหน้าและกล่าวก่อนที่ไคลน์จะหายตัว
“ไม่ต้องกังวล เจ้าเป็นเพียงภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ที่ข้ามิอาจใช้ปรสิตยึดครองร่าง และเจ้าคงทราบว่าข้ามิได้อยู่ตามลำพัง การคิดตอบโต้นั้นไม่ใช่เรื่องฉลาด”
“ต้องการจะพูดอะไร” ไคลน์ที่ถือตะเกียงธรรมดาในมือ ไตร่ตรองสักพักก่อนจะหยิบเศษรูปปั้นที่มีผิวสีดำแต่ด้านในสีแดง
อามุนด์เปลี่ยนกลับไปเป็นใบหน้าปกติ แต่ปัญหาคือผิวกายยังค่อนข้างดำเข้ม
มันขยับกรอบแว่นพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“คงทราบอยู่แล้วว่าข้ารู้เรื่องที่เจ้ากำลังมองหาหมาป่าอสูรทมิฬเพื่อช่วงชิงตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ ข้าเองก็กำลังสนใจมันเช่นกัน…เอาแบบนี้เป็นไง ทำไมเราไม่มาแข่งกันว่าใครจะได้ก่อน?”
สำคัญยังไง? ทำยังกับว่าถ้าเราไม่เล่นเกม เราจะต้องล้มเลิกการตามล่าหมาป่าอสูรทมิฬ…ไคลน์เงียบไปหลายวินาทีก่อนจะส่ายหน้า
“ขอปฏิเสธ”
มันไม่คิดจะฟังเงื่อนไขจากอามุนด์ เพราะยิ่งฟังนักต้มตุ๋นพูด ตนก็ยิ่งเดือดร้อนและเป็นฝ่ายเจ็บปวด
อามุนด์ยิ้มโดยไม่เผยความโกรธ
“เจ้าจะต้องเสียใจภายหลัง…ตอนแรกข้าคิดไว้ว่าหากตัวเองเป็นฝ่ายชนะ จะมอบตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์พ่วงบริวารเร้นลับให้เจ้า แต่แน่นอนว่าต้องแลกกับปราสาทต้นกำเนิด…นอกจากนั้นยังจะให้เวลาเจ้าเตรียมตัวบอกลาชุมนุมลับที่สร้างขึ้น…แต่ปัจจุบัน ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขโมยชะตากรรมของเจ้าโดยตรงและแบกรับความเสี่ยงที่อาจถูก ‘ต้นกำเนิด’ กัดกร่อน แม้เรื่องนี้จะอันตรายอยู่บ้าง แต่ก็น่าตื่นเต้นไม่เลว ข้าเองก็อยากรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย…อาศัยประสบการณ์จากพระบิดา ข้าไม่คิดว่าตัวเองด้อยฝีมือแต่อย่างใด”
อะไรนะ…การกัดกร่อนจากต้นกำเนิด? ประสบการณ์ของเทพสุริยันบรรพกาล? อันที่จริง ไคลน์ไม่อยากเสวนากับอามุนด์ในหัวข้อตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์หรือปราสาทต้นกำเนิดสักเท่าไร แต่สิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่กำลังสร้างแรงปะทะทางจิตใจอันหนักหน่วง
มันนึกทบทวนสิ่งที่อามุนด์เพิ่งอธิบายและอดไม่ได้ที่จะถาม
“ต้นกำเนิดหมายถึง ‘มหาต้นกำเนิด’ พระผู้สร้างต้นกำเนิด?”
มันเองก็อยากทราบว่าชะตากรรมอันเลวร้ายแบบใดที่ปราสาทต้นกำเนิดจะนำมาให้ตน
อามุนด์ขยับกรอบแว่นตาพลางจ้องหน้าไคลน์สักพัก
“ข้าคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะเจ้าคงไม่เชื่อคำพูดข้าอยู่แล้ว”
บอกมาเถอะน่า! ฉันจะวิเคราะห์ด้วยตัวเองว่าน่าเชื่อถือหรือไม่! ไคลน์ระงับความกระสับกระส่าย เพียงตอบอย่างเยือกเย็น
“น่าจะเป็นเพราะคุณแต่งเรื่องกลบเกลื่อนไม่ทันมากกว่า”
อามุนด์มิได้ขุ่นเคือง มันยกมุมปากและตอบพลางยิ้ม
“จะคิดแบบนั้นก็ได้…หึหึ…ในหลายๆ ครั้ง ความจริงที่ได้ค้นพบด้วยตัวเองย่อมน่าเชื่อถือว่าสิ่งที่ได้ยินจากผู้อื่น…หากมีเวลา เจ้าควรเตร็ดเตร่บนดินแดนเทพทอดทิ้งสักพักเพื่อค้นหาเบาะแสเพิ่มเติม…หรือถ้ามีความกล้ามากพอก็ลองสำรวจเชอร์โนบิล ที่นั่นมีความลับซ่อนอยู่มากมาย”
“…” ไคลน์ไม่ถามซักไซ้ เพียงจ้องไปทางซากวิหารที่ถูกย้อมด้วยแสงสลัวสีเหลืองพลางตั้งคำถามอย่างเป็นกันเอง
“หมาป่าปีศาจทมิฬรีบหนีไปเพราะตระหนักถึงตัวตนของคุณ?”
อามุนด์พยักหน้าแผ่วเบา
“ไม่ใช่แค่ข้า แต่ยังสัมผัสถึงการจ้องมองจากแฮงแมน…เจ้านั่นซ่อนตัวในดินแดนเทพทอดทิ้งมานานกว่าพันปี ย่อมอ่อนไหวต่อสิ่งเหล่านี้”
เทวทูตลำดับสอง หรือบางทีอาจเป็นถึงลำดับหนึ่ง กลับยังทำได้เพียงใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในดินแดนเทพทอดทิ้ง…สภาพแวดล้อมของที่นี่ไม่เลวร้ายไปหน่อยหรือ? ไคลน์รำพันกลางถอนหายใจ จากนั้นก็ตอบ
“คุณมีร่างโคลนในเมืองเงินพิสุทธิ์มากกว่าหนึ่ง ทำไมถึงไม่พยายามยั[ยั้งการคืนชีพของผม? หรือทำไมไม่ทรงร่างโคลนที่แข็งแกร่งกว่านี้มา?”
อามุนด์ใช้นิ้วชี้สัมผัสขอบล่างของแว่นตาพลางยิ้ม
“หากทำแบบนั้น เจ้าจะเลือกคืนชีพบนโลกภายนอกแทน นั่นจะทำให้งานของข้ายากกว่าเดิม…ถ้าข้าแสร้งผ่อนคลายสักนิด ตัวเจ้าที่ตระหนักถึงตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์บนดินแดนเทพทอดทิ้งจะต้องเลือกคืนชีพที่นี่แน่นอน…ในเกมถัดไปของพวกเรา อุปสรรคภายนอกจะมีเพียงแฮงแมนและโอโรเลอุส”
อย่างที่คิด…ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะถาม
“แม้จะอยู่ในดินแดนเดียวกัน แต่ถ้าอยู่นอกระยะของพลัง ร่างต้นของคุณจะมิอาจใช้ ‘รวมตัว’ หรือ ‘สลับตำแหน่ง’ กับร่างโคลนใช่ไหม? เหตุผลที่คุณเปลี่ยนเป็นร่างต้นทันทีที่เข้าสู่ดินแดนเทพทอดทิ้ง ก็เพราะปราสาทต้นกำเนิดสร้างความผิดปรกติบางอย่างกับดินแดนแห่งนี้ ร่างต้นของคุณจึงสัมผัสได้และมารอรับที่หน้าทางเข้า…ผมพูดถูกไหม?”
ได้ยินเช่นนั้น อามุนด์ยิ้มตอบ
“คิดว่ายังไงล่ะ? ลองเดาดูสิว่าตอนนี้ข้าสามารถเปลี่ยนกลับเป็นร่างต้นได้ไหม”
ไคลน์ยกกำปั้นขวาขึ้นมาจ่อจมูกพลางครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็มอบคำตอบด้วยรอยยิ้ม
“ขอเดาว่าร่างโคลนตัวอื่นกำลังประกอบพิธีกรรมเพื่อให้ร่างต้นเสด็จเยือนได้ในพริบตา…”
ยังไม่ทันกล่าวจบประโยค ร่างของชายหนุ่มเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
ภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ถูกยกเลิก
ณ ทุ่งกว้างนอกซากเมืองนอร์ธ ในจุดที่ไคลน์ซ่อนตัว ห้วงมิติโดยรอบพลันปั่นป่วนจนกระทั่งถูกปกคลุมด้วยแว่นตาขาเดียวจำนวนมาก
พวกมันจ้องไคลน์โดยพร้อมเพรียงประหนึ่งกำลังพูดว่า ‘หาเจ้าพบแล้ว’
แต่เพียงไม่นาน ร่างไคลน์ก็จางหายไป
ในตอนที่อามุนด์ย้ายแว่นจากตาซ้ายมายังตาขวา ร่างต้นไคลน์ได้ออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์และกลับมายังโลกความจริง จากนั้นก็อาศัยเทวทูตกระดาษเพื่อลบร่องรอยและหนีด้วยพลังกระโจนไฟ
การที่ภาพฉายของไคลน์ยังสามารถพูดคุยกับอามุนด์ได้อย่างมีสติ เพราะนั่นคือหุ่นเชิดโจนาสโคลเกอร์ที่แปลงโฉมเป็นเกอร์มันสแปร์โรว์และถูกบังคับผ่านหนอนวิญญาณจากช่องว่างประวัติศาสตร์ ผู้บังคับคือภาพฉายของไคลน์ที่อยู่นอกเมือง
ขณะร่างต้นไคลน์พยายามหลบหนี มันเข้าสู่ช่องว่างประวัติศาสตร์เป็นพักๆ เพื่อโอนถ่ายสติมายังภาพฉายด้านนอกเมือง จากนั้นก็ควบคุมหุ่นเชิดโจนาสภายในเมืองให้สนทนากับอามุนด์
ส่งผลให้ไคลน์ที่ยืนคุยกับอามุนด์เผยสีหน้าครุ่นคิดเป็นระยะ บ้างก็จ้องไปยังทิศทางหนึ่งสองสามวินาที บ้างก็ทำเป็นทบทวนคำพูดอามุนด์
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเทพแห่งการหลอกลวง ไคลน์ไม่มีทางประมาท!
หลังจากหนีออกจากซากเมืองนอร์ธ ชายหนุ่มเดินวนอีกสองรอบใหญ่ก่อนจะส่งตัวเองเข้าสู่มิติเหนือสายหมอกเพื่อยืนยันสถานการณ์โดยรอบด้วยตาทิพย์ จึงค่อยลดความเร็วในการเดินทางลง
การกัดกร่อนจากต้นกำเนิด…เราไม่รู้ว่าอามุนด์กุเรื่องขึ้นมาหลอกหรือไม่…แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสักวันเราต้องไปสำรวจเชอร์โนบิลเพื่อค้นหาความจริง แต่นั่นคือเรื่องราวหลังจากกลายเป็นผู้ชี้นำปาฏิหาริย์แล้ว ไม่อย่างนั้นคงมีค่าเท่ากับย่างกรายเข้าไปในประตูนรกด้วยตัวเอง…ไคลน์เดินถือตะเกียงที่เดนิสสังเวย เตร็ดเตร่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มืดมิด
อาศัยประสบการณ์ในช่วงที่ผ่านมา ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับภัยอันตรายบนดินแดนเทพทอดทิ้งอย่างลึกซึ้ง
สภาพแวดล้อมที่โหดร้ายและผิดเพี้ยน…ลัทธิของคนเสียสติ เทวทูตเสื่อมทราม ฝูงอามุนด์เดินเตร็ดเตร่ สัตว์ในตำนานที่ซ่อนตัวในความมืด แถมยังมีเทพมารคอยจับตามองจากที่ใดสักแห่ง นอกจากนั้นเราและทุกคนยังสามารถกระตุ้นเศษเสี้ยวพลังเทพที่หลงเหลือได้ด้วยการเอ่ยนามจริงของทวยเทพ…สมแล้วที่ได้ชื่อว่าดินแดนเทพทอดทิ้ง ระดับอันตรายสูงกว่าที่เราจินตนาการไว้มาก…ไคลน์ถอนหายใจยาวก่อนจะกลับมานึกทบทวนเกี่ยวกับหมาป่าปีศาจทมิฬ
ว่ากันตามตรง ไคลน์มองไม่เห็นจุดแข็งของตัวเองในการไล่ล่าสัตว์ในตำนานชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนเทพทอดทิ้งหรือการตระหนักรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของเป้าหมาย ตนยังเป็นรองอามุนด์ที่เตร็ดเตร่มานานกว่าพันปีและสาวกของพระผู้สร้างแท้จริงที่สามารถอาศัยบนดินแดนแห่งนี้ได้ราวกับบ้าน
ข้อได้เปรียบของเราคือการอยู่บนเส้นทางนักทำนายเหมือนกับหมาป่าอสูรทมิฬ นอกจากนั้นยังมีปราสาทต้นกำเนิดซึ่งจะส่งอิทธิพลต่อกฎการดึงดูดระหว่างตะกอนพลัง ช่วยให้ชะตากรรมและการตัดสินใจมีแนวโน้มที่จะมาบรรจบกัน…แต่อามุนด์เองก็เป็นราชาเทวทูตในเส้นทางใกล้เคียง ทางนั้นเองก็ส่งอิทธิพลกับกฎการดึงดูดไม่น้อย และไม่น่าจะด้อยไปกว่าเรามากนัก…ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะฉุกคิดบางสิ่งได้ เป็นข้อได้เปรียบที่ตนถือครอง
ข้อได้เปรียบนั้นก็คือ
ตนอ่อนแอมาก!
เมื่อเทียบกับอามุนด์ ข้ารับใช้ของพระผู้สร้างแท้จริง และหมาป่าอสูรทมิฬ ตนยังอ่อนแออยู่มาก!
หากมองเพียงผิวเผิน สิ่งนี้คือข้อเสียอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในบางสถานการณ์ก็อาจช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ไคลน์ต้องการ
ลำดับของเรายังต่ำมาก นั่นหมายความว่าเราสามารถกลายเป็นเหยื่อของหมาป่าอสูรทมิฬแทนที่จะเป็นผู้ล่า…ในเมื่อการตามหาตัวอีกฝ่ายมันยากนัก ก็ต้องล่อให้ทางนั้นเป็นฝ่ายเข้าหาด้วยตัวเอง! จริงอยู่ที่ปราชญ์โบราณคงมิอาจดึงดูดความสนใจของหมาป่าอสูรทมิฬ แต่ถ้าเป็นปราชญ์โบราณที่สามารถกระตุ้นปราสาทต้นกำเนิดแล้วคนละเรื่อง…เราจะคอยกระตุ้นปราสาทต้นกำเนิดเป็นระยะเพื่อทิ้งออร่าสายหมอกสำหรับล่อให้หมาป่าอสูรทมิฬเป็นฝ่ายเข้ามาหา…ยิ่งครุ่นคิด ไคลน์ก็ยิ่งพบว่าวิธีนี้มีโอกาสสำเร็จ
แน่นอนว่าวิธีนี้เต็มไปด้วยอันตราย หากไม่ระวังตัว ชายหนุ่มมีสิทธิ์พลาดท่าดึงดูดอามุนด์หรือพระผู้สร้างแท้จริงเข้ามาหา นอกจากนั้นหมาป่าอสูรทมิฬก็อาจทำเพียงเฝ้ามองจากวงนอก จึงค่อยหาโอกาสจู่โจมในตอนที่ไคลน์เผลอ
ก่อนจะใช้วิธีนี้ เราต้องเตรียมความพร้อมให้เรียบร้อย…ไม่จำเป็นต้องรีบ…ไคลน์เหยียดแขนออกไปหยิบเศษชิ้นส่วนรูปปั้นหมาป่าอสูรซึ่งด้านนอกเป็นสีดำและด้านในเป็นสีแดง
แม้ในตอนนั้นไคลน์จะยังไม่ได้หยิบเศษก้อนหินขึ้นมาเนื่องจากถูกอามุนด์ขวางไว้ แต่เพราะเคยเห็นและเคยสัมผัส การดึงออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะหินดังกล่าวมีระดับไม่สูงนัก
ไคลน์ต้องการใช้หินก้อนนี้สำหรับค้นหาแหล่งกบดานของหมาป่าอสูรทมิฬรวมถึงพฤติกรรมของอีกฝ่าย
ท่ามกลางทุ่งกว้างอันรกร้าง ไคลน์ถือตะเกียงสาดแสงสีเหลืองสลัว หันไปรอบตัวเพื่อตรวจสอบทิศทางที่แน่นอนก่อนจะมุ่งหน้าตรงไป
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตฮิลสตัน
ฟอร์สที่ออกไป ‘ท่องเที่ยว’ มาแล้วครั้งหนึ่ง ในที่สุดก็ได้รับคำตอบจากอาจารย์โดเรี่ยนเกรย์อับราฮัม
…………………………