ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1189 : วันเฉลิมฉลองเหมันต์
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1189 : วันเฉลิมฉลองเหมันต์
ในตรอกใกล้เคียง ไคลน์ยกมือขึ้นลูบหน้าผากพลางพึมพำ
“ถ้าไม่อยากให้ก็ไม่เป็นไร…แต่ทำไมต้องทำลายหุ่นเชิดของเรา…”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนจะสลายร่าง – อายุขัยของภาพฉายใกล้สิ้นสุดเต็มที เพราะในท้ายที่สุด การบันทึกพลังลำดับสูงของนักบันทึกย่อมมีประสิทธิภาพต่ำกว่าของเดิม ถือเป็นภาระทางพลังวิญญาณที่หนักอึ้งสำหรับผู้วิเศษลำดับหก อย่างเธอ แม้การโอนถ่ายสติของไคลน์จะช่วยบรรเทาภาระลงหลายส่วน แต่ฟอร์สก็ยังมีพลังไม่มากพอจะคงภาพได้นาน
…
ย่านชานกรุงเบ็คลันด์ ปลายแม่น้ำทัสซอค
เลียวนาร์ดซ่อนถุงมือสีแดงขณะเดินสำรวจบางจุดอย่างเชื่องช้า
ทันใดนั้น เสียงค่อนข้างชราของพาลีสดังขึ้นในใจ
“อดีตเพื่อนร่วมงานของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
นึกทบทวนข้อมูลล่าสุดจากชุมนุมทาโรต์เสร็จ เลียวนาร์ดหรี่เสียงลง
“เขาเพิ่งเอาตัวรอดจากกับดักที่ร่างโคลนอามุนด์วางไว้ ตอนนี้กำลังค้นหาความจริงของดินแดนเทพทอดทิ้ง”
หลังจากได้ยิน พาลีสโซโรอาสเตอร์ปล่อยให้เลียวนาร์ดเดินหน้าต่อไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดต่อ
…
เมื่อบันทึกพิกัดพิเศษเสร็จ ฟอร์สถูกผู้ส่งสารของเกอร์มันสแปร์โรว์โยนกลับมายังโลกความจริง
“ฉันเพลียอีกแล้ว ทั้งที่เพิ่งตื่นได้ไม่นาน…คงเพราะพลังพิเศษในลำดับสูงสูบพลังวิญญาณมากเกินกว่าที่ฉันจะรับไหว…” ฟอร์สเอื้อมมือปิดปากหาวพลางชำเลืองซิลด้วยใบหน้าซีดเซียว
“อาจจะใช่…” ซิลเห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานของเพื่อนสนิท
สัมผัสวิญญาณของเธอแจ้งว่า ภาพฉายของเกอร์มันสแปร์โรว์ที่ถูกอัญเชิญออกมานั้นมีระดับไม่ธรรมดา อาจไม่ด้อยไปกว่านักบุญ
ซิลลังเลสักพักก่อนจะพูดต่อ
“เธอไปพักผ่อนก่อน ยังไม่ควรเสี่ยงเลื่อนลำดับในสภาพนี้…จากคดีที่ฉันเคยตัดสิน คนร้ายในคดีหนึ่งเป็นฆาตกรจิตวิปริต หมอนั่นจงใจปล่อยให้เพื่อน ศิษย์ และคนจรจัดที่รับมาดูแล ดื่มโอสถขณะมีสภาพร่างกายย่ำแย่และเฝ้ามองพวกเขาคลุ้มคลั่งจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าขยะแขยงและน่าสะพรึง”
“…ทำไปเพื่ออะไร” ฟอร์สผงะเล็กน้อย
“สองข้อ…ข้อแรก มันต้องการพิสูจน์ว่า ภาวะคลุ้มคลั่งที่เกิดจากโอสถชนิดเดิมจะเหมือนกันทุกครั้งหรือไม่ และข้อสอง…มันต้องการบันทึกเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยภาพเขียนสีน้ำมัน โดยเชื่อว่าความเจ็บปวด สิ้นหวัง และบิดเบี้ยวที่หาได้ยากจากสถานการณ์ปรกติ คือความวิจิตรงดงามที่สามารถจุดประกายไฟแห่งความสร้างสรรค์ของมันให้ลุกโชน…” ซิลเล่ารายละเอียดด้วยความรังเกียจ “ก็แค่พวกเสียสติ”
“สมควรถูกประหาร!” หลังจากนึกภาพตาม ฟอร์สอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งร่าง จากนั้นก็หันมาถาม “เป็นพวกคลั่งศาสนารึเปล่า?”
“ก็อาจจะ แต่ทางเราไม่มีเบาะแส…เปลือกนอกของหมอนั่นคือจิตรกรที่มีชื่อเสียงและรู้จักกันในวงกว้าง หากไม่ใช่เพราะคนใกล้ตัวหายไปอย่างเป็นปริศนาเกินกว่าห้ารายในช่วงหลายปีหลัง จนไปกระตุ้นความสนใจของทางการ ก็อาจไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยจนกระทั่งหมอนั่นเสียสติและคลุ้มคลั่งไปเอง” ซิลเว้นวรรคก่อนจะเล่าต่อ “กองปราบที่เข้าไปจับกุมในตอนนั้น ทุกคนพากันอาเจียนเรี่ยราดเมื่อลงไปสำรวจห้องใต้ดิน ที่นั่นเต็มไปด้วยซากศพสยดสยองซึ่งเกิดจากการกลายพันธุ์ รวมถึงภาพเขียนสีน้ำมันที่แฝงมนต์เสน่ห์แต่ก็น่าหวาดกลัว…”
“เป็นชายที่น่ารังเกียจ แต่ก็เต็มไปด้วยความพิศวงและน่าสนใจ…” ฟอร์สไตร่ตรองสักพัก “หมอนั่นเป็นปีศาจ?”
“ไม่ใช่…เป็นนักจิตบำบัด” ซิลโต้แย้งข้อสันนิษฐานของเพื่อนสนิท
“…คำตัดสินของเธอคืออะไร? ประหารชีวิต?” ฟอร์สถามด้วยความคาดหวัง
ซิลส่ายหน้า
“ทนายของจำเลยโน้มน้าวให้นำเขาไปใช้เป็นหนูทดลองสมบัติปิดผนึก”
“ทนาย? ศาลคดีเหนือธรรมชาติมีทนายด้วย? ไม่ใช่ว่าจะถูกดำเนินคดีทันทีหรอกหรือ?” ฟอร์สถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ซิลสางผมสีทองและตอบ
“ทางเรามีผู้วิเศษเส้นทางนักกฎหมายที่ต้องสวมบทบาทเช่นกัน…แต่แน่นอน พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังสวมบทบาท”
“อา…” ฟอร์สอ้าปากหาวอีกครั้งก่อนจะชี้นิ้วไปทางเก้าอี้เอนหลังข้างเตาผิง “ฉันขอพักสักงีบ…แล้วเธอไม่ต้องไปทำงานหรือ”
“วันนี้ลา” ซิลตอบห้วน
ฟอร์สไม่ถามซักไซ้ เพียงเดินไปทางเตาผิงและทิ้งตัว
หลายชั่วโมงถัดมา เธอตื่นขึ้นและเข้าฌานสิบห้านาที
จากนั้น หญิงสาวนำตะกอนพลังและวัตถุดิบเสริมของ ‘นักท่องเที่ยว’ ที่อาจารย์ของตนมอบให้ มาปรุงเป็นโอสถ
โอสถดังกล่าวมีสีขาวโปร่งใส ลักษณะคล้ายหิมะกึ่งละลาย มีฟองอากาศผุดขึ้นเป็นระยะ
ฟอร์สหยิบโอสถขึ้นมาและหันไปชำเลืองเพื่อนสนิทด้านข้าง
“ถ้าฉันคลุ้มคลั่ง อย่าได้ลังเลที่ตัดหัวให้ขาดในครั้งเดียว…ไม่สิ…สวดวิงวอนก่อนดีกว่า บางทีพระองค์อาจมีวิธีช่วยเหลือ”
“…” ซิลพยักหน้าเชื่องช้า “รักษาภาพจิตใจแบบนี้ไว้”
ฟอร์สถอนหายใจเงียบ จากนั้นก็ยกโอสถกระดกโดยไม่ลังเล
เพียงพริบตา หญิงสาวสัมผัสได้ว่าทุกส่วนของร่างกายตนกำลังส่องแสง ประหนึ่งบานประตูมายาจำนวนมากกำลังเปิดออก
จิตใต้สำนึกของฟอร์สหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพวกมันอย่างมิอาจเลี่ยง จนกระทั่งร่างกายโปร่งใสและหายไป
ท่ามกลางความคิดที่ล่องลอยและโกลาหล ฟอร์สแทบไม่ตระหนักรู้ในตัวเอง แต่โชคดีที่เธอเพิ่งผ่านการถูก ‘ทรมาน’ มาในระยะหลัง ส่งผลให้จิตใจกำลังแข็งแกร่งเป็นพิเศษ นอกจากนั้นยังสัมผัสถึงพิกัดสี่จุดของโลกวิญญาณอย่างเลือนราง สติจึงค่อยๆ กลับมาคมชัด
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เธอพบว่าตัวเองหลงเข้ามาในส่วนลึกของโลกวิญญาณจนยากที่ระบุตำแหน่ง มองไปทิศใดก็ไม่เห็น ‘เส้นทาง’ สำหรับกลับไปยังโลกความจริง
อาศัยความช่วยเหลือจากพิกัดพิเศษทั้งสี่ ฟอร์สค่อยๆ ‘ท่อง’ ผ่านสถานที่อันคุ้นเคยจนกระทั่งหลุดพ้นจากดินแดนที่มีสีสันฉูดฉาดซ้อนทับ ประสบความสำเร็จในการออกจากโลกวิญญาณ
พิกัดพิเศษทั้งสี่จุดไม่เพียงจะช่วยให้เราค้นพบทาง แต่ยังทำให้สติกลับมาคมชัดได้เร็วขึ้น…อาจารย์เป็นเพียงผู้วิเศษลำดับเจ็ด ย่อมไม่มีประสบการณ์จริงในลำดับสูงกว่านั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้อมูลจะตกหล่นไปบ้าง…ฟอร์สหันหลังกลับไปยิ้มให้ซิล
“ฉันเป็นนักท่องเที่ยวแล้ว”
ซิลโล่งใจพลางถามด้วยความสงสัย
“มีพลังแบบใดเพิ่มเข้ามาบ้าง?”
“พลังที่สำคัญคือ ‘เทเลพอร์ต’ และ ‘มือล่องหน’ นอกจากนั้นฉันยังสามารถบันทึกพลังระดับครึ่งเทพได้สูงสุดสี่ชนิด ประสิทธิภาพการใช้งานใกล้เคียงกับผู้วิเศษลำดับสี่” ฟอร์สสำรวจตัวเองสักพักก่อนตอบ
หญิงสาวยกมือขึ้นพร้อมกับหยิบไพ่ทาโรต์ภายในห้องที่ใช้สำหรับทำนายขึ้นมา
หน้าไพ่เป็นภาพชายคนหนึ่งใช้มือขวาถือคทาชี้ขึ้นฟ้า มือซ้ายชี้ลงพื้น เบื้องหน้ามีจอกศักดิ์สิทธิ์ คทา ดาบ และดาวห้าแฉกวางอยู่
ไพ่เมจิกเชี่ยน
…
วันที่กลางคืนยาวนานที่สุดของทุกปีคือวันคล้ายวันเกิดของเทพธิดารัตติกาล หรือที่รู้จักกันในชื่อวันเฉลิมฉลองเหมันต์
ในวันนี้ สาวกแห่งรัตติกาลทุกคนจะออกไปยังวิหารใกล้เคียงเพื่อชมพระอาทิตย์ตกดิน จากนั้นก็ร่วมพิธีมิสซาและรับศีล ฟังเสียงขับขานของคณะนักร้อง รวมถึงทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
ปีหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบ ถือเป็นปีที่หนักหนาสาหัสสำหรับสาวกแห่งเทพธิดาทุกคน นั่นเพราะสงครามกำลังปะทุและข้าวของเครื่องใช้มีราคาแพง แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็ยังออกจากบ้านในวันเฉลิมฉลองเหมันต์ เนื่องจากทางศาสนจักรจะจัดพิธีมิสซาตามจัตุรัสใหญ่เพื่อสวดส่งดวงวิญญาณผู้ล่วงลับ
ขณะเดียวกัน บรรดาองค์กรการกุศลจะช่วยสนับสนุนและแจกจ่ายอาหารตามจุดชุมนุมโดยไม่แบ่งแยก แม้แต่คนทั่วไปก็สามารถเดินทางมารับอาหารได้ ส่งผลให้เหล่าสาวกของวายุสลาตันและจักรกลไอน้ำที่ไม่คิดจะเข้าร่วมวันเฉลิมฉลองเหมันต์ ก็ยังพากันออกมาเดินบนถนน
เขตตะวันตก ณ จัตุรัสรำลึกซึ่งจอร์จที่สามถูกลอบปลงพระชนม์
ออเดรย์ที่แต่งกายในชุดคลุมสีดำ และซูซี่ โกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่ที่คาดกระเป๋าหนังใบเล็ก กำลังเดินท่ามกลางกลุ่มขุนนางสูงศักดิ์ แม้ภายนอกจะมิได้เผยสีหน้าผิดแผก แต่ออเดรย์กำลังเก็บซ่อนความรู้สึกผิด
เธอได้รับเลือดของมังกรจิตชราแล้ว โอสถจอมบงการที่ถูกปรุงเสร็จถูกเก็บไว้ในกระเป๋าหนังบนตัวซูซี่
เนื่องจากซูซี่เป็นสัตว์วิเศษลำดับหก นักสะกดจิต ออเดรย์จึงเชื่อว่าคงไม่มีคนธรรมดาที่ไหนสามารถขโมยโอสถไปจากหลังโกลเดนรีทรีเวอร์ได้
เลือดมังกรจิตชราคือวัตถุดิบที่ได้รับจากเฮอร์มิท แคทลียา กล่าวกันว่าเธอได้รับมาจากราชินีเงื่อนงำอีกทอดหนึ่ง ออเดรย์ควักเงินซื้อวัตถุดิบเสริมชนิดนี้มาในราคาสามพันปอนด์
สิ่งนี้เป็นไปตามที่เธอต้องการ ออเดรย์ไม่อยากซื้อวัตถุดิบจากสมาคมแปรจิตเนื่องจากเจ้านายสายตรงของเธออย่างเฮอร์วินแรมบิส เพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่กี่เดือน หากเธอเปิดเผยว่ามีตะกอนพลังจอมบงการในครอบครอง คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะตกเป็นเป้าสงสัย คนของสมาคมแปรจิตไม่ได้โง่ พวกมันมีความสามารถและสติปัญญาพอที่จะสังเกตเห็นความผิดปรกติ
นอกจากนั้น การจะเลื่อนลำดับเป็นครึ่งเทพจำเป็นต้องผ่านการรับรู้ของคณะกรรมการเบื้องบน…มิสเตอร์เวิร์ลเคยบอกว่า หนึ่งในคนเหล่านั้นมีเทวทูตแฝงตัวอยู่ เราจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมให้มากกว่านี้เสียก่อน จึงจะเผชิญหน้าพวกเขาได้อย่างแนบเนียนและเหมาะสม…ไว้ค่อยคิดเรื่องการไต่เต้าตำแหน่งวันหลัง ตอนนี้ต้องปกปิดฝีมือที่แท้จริงไว้ก่อน…ออเดรย์เจ้าของผมสีทอง ยกชายกระโปรงขึ้นและเดินไปทางที่นั่งของตัวเองซึ่งถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า
ระหว่างทางมีขุนนางหลายคนพยายามยื่นมือเข้าหาหญิงสาวอย่างเป็นมิตร หวังช่วยประคองสตรีสูงศักดิ์และบอบบางรายนี้ข้ามผ่านสิ่งขีดขวาง แต่ทั้งหมดก็ถูกเอิร์ลฮอลล์ปัดทิ้งอย่างมีมารยาท
ในบางครั้ง มันจะปล่อยให้บุตรชายคนโตอย่างฮิบเบิร์ตฮอลล์คอยดูแลน้องสาวคนสุดท้อง ส่วนตัวเองจะเดินนำหน้าไปพร้อมกับภรรยา แต่บางครั้งก็หันกลับมาดูแลอัญมณีที่เจิดจรัสที่สุดของเบ็คลันด์
เพียงไม่นานหลังจากที่ตระกูลฮอลล์ถึงจุดหมาย อาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์รัตติกาลประจำมุขมณฑลเบ็คลันด์ นักบุญแอนโทนีสตีเวนสันในชุดคลุมสีดำแถบแดง เดินขึ้นเวทีด้วยมาดสุขุมลุ่มลึก
มันมองไปรอบตัว ยกมือขวาพร้อมกับเคาะสี่จุดบนหน้าอกตามเข็มนาฬิกา
“เทพธิดาจงเจริญ!”
ทันทีที่เหล่าสาวกด้านล่างขานรับ นักบุญรายนี้เปล่งเสียงลุ่มลึกแต่อยู่ในระดับที่ทุกคนได้ยิน
“อันที่จริง วันนี้เป็นค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลอง แต่ภายในใจพระองค์กลับเปี่ยมไปด้วยความสงสาร…พระองค์สงสารมารดาทุกคนที่สูญเสียลูก สงสารลูกทุกคนที่กลายเป็นเด็กกำพร้า สงสารมนุษย์ทุกคนที่ต้องทนทุกข์จากความเจ็บปวดแสนสาหัส…พระองค์ทรงตรัสว่าเรื่องราวทั้งหมดกำลังจะสิ้นสุดลง…ความทุกข์ทั้งปวงจะเปลี่ยนกลับไปเป็นความสุขสงบและเงียบงัน”
…………………………