ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1197 : พายุจิต
หอกเปื้อนเลือดที่ดูเหมือนจะเก่าแก่จนไม่สามารถไล่ย้อนอดีตไปตรวจสอบ ทำการดูดซับสัมผัสทั้งหมดภายในห้องก่อนจะพุ่งทะลวงร่างนักบุญเร้นลับ โบทิส
ร่างโบทิสเจ้าของผมสีน้ำตาล พลันแข็งทื่อก่อนจะเลือนหายกลายเป็นบานประตูคู่สีดำเข้ม
ขณะเดียวกัน มันโผล่ขึ้นด้านหลัง ‘ประตู’ โดยอาศัยอยู่ในโลกคนละใบกับหอกอันน่าสะพรึง ทั้งที่ห่างกันแค่หนึ่งบานประตูกั้น
เสี้ยววินาทีถัดมา หอกเปื้อนเลือดพุ่งทะลุบานประตูคู่สีดำเข้าไปในมิติที่โบทิสอาศัยอยู่
โบทิสยังคงหนีด้วยวิธีเดิม ร่างกายถูกแทนที่ด้วยบานประตูมายาและหายตัวไปโผล่ด้านหลัง บ้างเป็นประตูที่สร้างจากรูปปั้นหินสองตัว บ้างเป็นประตูที่มีช่องว่างขนาดเท่ากับกำปั้นอยู่กึ่งกลาง บ้างเป็นประตูฝังตะปูสีเงิน บ้างปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกลับ เป็นเช่นนี้ไปอีกหลายครั้งราวกับไม่มีวันจบสิ้น
หอกลองกินุสยังคงทะลวงผ่านประตูมายาทั้งหมดอย่างเงียบงันโดยไม่หยุดพัก ไม่ปล่อยให้นักบุญเร้นลับ โบทิส มีโอกาสหลบหนี
ภายในไม่ถึงหนึ่งวินาที หอกเปื้อนเลือดทะลวงผ่านประตูมายาไปเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งออร่าของมันเริ่มจางลง คมหอกประสบความสำเร็จในการแทงทะลุหน้าอกเป้าหมาย
ร่างโบทิสผุดรอยแตกจำนวนมาก ประหนึ่งชามกระเบื้องเคลือบที่หล่นตกพื้น
ท่ามกลางเสียง ‘เปรี้ยะ’ ร่างนักบุญเร้นลับกลายเป็นสีดำสนิทพร้อมกับแตกกระจัดกระจายเต็มพื้น
พวกมันดูไม่เหมือนร่างจริง แต่เหมือนเงามากกว่า
นี่คือพลัง ‘แทนเงา’ ซึ่งมันบันทึกมาจากนักบุญลำดับสาม ผู้เป็นบริวารของพระผู้สร้างแท้จริง
แต่แน่นอน หากปราศจาก ‘ชั้นประตู’ ที่ช่วยซับแรงกระแทกจากหอกลองกินุส โบทิสเชื่อว่ามีโอกาสสูงที่ร่างจริงจะแตกสลายไปพร้อมกับเงา
หลังจากเอาตัวรอดจากชุดการโจมตีสุดอลังการ โบทิสกัดฟันทนต่อความวิงเวียนที่ร่างสัตว์ในตำนานของแคทลียามอบให้และรีบสร้างงูยักษ์สีเงินไร้เกล็ดภายในดวงตา
งูตัวดังกล่าวมีขนาดใหญ่จนเต็มดวงตาโบทิส ผิวงูวาดลวดลายและสัญลักษณ์เต็มพรืดในลักษณะบรรจบกันเป็นกงล้อ
จากกงล้อหนึ่งเชื่อมกับอีกกงล้อหนึ่งจนดูคล้ายแม่น้ำมายาหลายสายไหลบรรจบ แม่น้ำเหล่านี้เรียงต่อกันไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นกงล้อยักษ์ที่พร่ามัวและไม่สมจริงซึ่งหมุนรอบตัวเองอย่างเชื่องช้า ภายในแต่ละกงล้อเล็กสุดมีลักษณ์ต่างๆ ซึ่งแสดงถึงอนาคตที่ไม่เหมือนกัน
ทันใดนั้น เศษชิ้นส่วนสีดำที่กระจัดกระจายบนพื้นกลับมาประกอบกันอีกครั้งจนกลายเป็นร่างโบทิส
หอกลองกินุสเปื้อนเลือดพุ่งถอยหลังด้วยความเร็วสูง ผ่านบานประตูมายาจำนวนมากที่มันเคยทำลายไป ประตูแต่ละบานก่อตัวกลับสู่สภาพสมบูรณ์ก่อนจะเลือนหาย จนกระทั่งหอกสีแดงกลับมาอยู่ตรงหน้าแคทลียาและเปลี่ยนกลับเป็น ‘ก้อนพลังงานสีดำ’
ออร่าอันน่าสะพรึงที่ทำให้ผู้คนหวาดผวา ทยอยเลือนหายไปราวกับกระแสน้ำที่พรั่งพรูออกจากห้อง
‘ก้อนสีดำ’ เปลี่ยนกลับเป็นหงส์ผิวแตกและมีดวงตาเต็มร่าง จากนั้นก็เปลี่ยนกลับเป็นสตรีที่แต่งกายในชุดคลุมหัวสีดำลายม่วง
ทุกสิ่งกลับคืนสภาพเดิมก่อนที่จะมีการใช้งานเวทมนตร์ ‘ลูกเป็ดขี้เหร่’
การเริ่มต้นใหม่แห่งชะตากรรม!
นี่คือหนึ่งในรางวัลที่นักบุญเร้นลับ โบทิส ได้รับจากการสร้างความพินาศให้ตระกูลอับราฮัม – สิทธิ์ในการบันทึกพลังจากผู้วิเศษลำดับหนึ่ง เทวทูตโชคชะตา โอโรเลอุส
แน่นอนว่าประสิทธิภาพยังห่างไกลจากต้นตำรับ พลังที่โบทิสบันทึกสามารถย้อนกลับได้เพียงสามวินาที และย้อนกลับได้เฉพาะพื้นที่แคบอย่างห้องสำหรับจัดชุมนุมลับ ไม่กว้างพอจะครอบคลุมทั้งหมดของหอพักชั้นแรก
ทันทีที่การเริ่มต้นใหม่จบลง นักบุญมืด คิสม่าลงมือทันทีราวกับรอคอยจังหวะนี้อยู่
เงาดำบิดเบี้ยวซึ่งเป็นวิญญาณต้อนแกะที่แข็งแกร่งระดับเอิร์ลผีดูดเลือด ทำท่ากางแขนประหนึ่งต้องการโอบกอดพระจันทร์สีแดง
ความมืดมิดรอบตัวแคทลียาเริ่มเคลื่อนไหว พวกมันเรียงตัวกันเป็นตรวนสีดำหลายเส้นและพันธนาการหญิงสาวแนบแน่น
เลือดเนื้อที่ปกคลุมพื้นห้อง ผนัง และเพดาน พุ่งเข้ามารวมตัวกันกลายเป็นอัศวินสวมเกราะดำถือดาบใหญ่
ในช่องว่างกะบังหน้าของอัศวินมืด แสงสีแดงเข้มสองจุดกำลังไหววูบขณะจดจ้องมายังสตรีสวมชุดคลุมหัวที่ยืนข้างรถม้าฟักทอง
เงาที่ปลายเท้าแคทลียามีชีวิตชีวาขึ้นมากะทันหัน พวกมันจับคว้าข้อเท้าของเธอและรัดไว้แน่น
อัศวินมืด บงการเงา!
จากนั้น อัศวินร่างยักษ์ผู้สูงเกือบถึงเพดานประหนึ่งเป็นตัวตนจากในตำนาน พุ่งเข้าใกล้เป้าหมายภายในก้าวเดียวพร้อมกับฟันดาบยาวในมือ
อีกด้านหนึ่ง หนังสือมายาสีเงินสว่างโผล่ขึ้นด้านหน้าโบทิสพลางพลิกเปิดอย่างรวดเร็วจนกระทั่งหยุดลงในบางหน้า
โบทิสยื่นมือซ้ายไปทางรถม้าฟักทองที่อยู่ห่างออกไปราวยี่สิบถึงสามสิบเมตร หมายจับคว้าสตรีลึกลับในชุดคลุมหัวสีดำลายม่วง
ทันใดนั้น แขนของมันยาวขึ้นและปกคลุมด้วยเมือกเหนียว ประหนึ่งเคลือบด้วยความชั่วร้ายนานาชนิด
ท่ามกลางเมือกเหนียว กะโหลกสีซีดงอกขึ้นจากท่อนแขน รวมถึงดวงตาที่เส้นเลือดปูดโปน ลิ้นที่มีฟัน และสิ่งพิสดารอีกมากมายที่ทำให้ทุกคนสัมผัสถึงความชั่วร้ายจากก้นบึ้ง
ภายในห้อง พื้นดินพลันเหือดแห้งและแตกระแหง แมลงสาบหลายตัวที่ยังมีชีวิตต่างแข็งทื่อและตายไป
ที่คือการโจมตีจาก ‘เทพหายนะ’ เซียอา ในสถานะพิเศษ!
ย้อนกลับไปในศึกนอกเมืองบายัม หลังจากโบทิสถูกดึงดูดด้วยถุงมือ ‘อินธน์’ จนหลงเข้ามาในสนามรบ มันทำทีเป็นหยิบถุงมือและเฝ้ามองสถานการณ์สักพักก่อนจะจากไป แต่ความจริงแล้วพยายามบันทึกพลังของเซียอาที่อยู่ในสถานะพิเศษอย่างสุดความสามารถ
หลังจากล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ในที่สุดมันก็ประสบความสำเร็จด้วยความช่วยเหลือจากพรแห่งโชค แต่แน่นอนว่าตอนนั้นมีเวลาเพียงพอสำหรับบันทึกแค่พลังเดียว
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับท่อนแขนที่ชั่วร้ายและมืดมน สติของแคทลียาถูกความบ้าคลั่งปนเปื้อนเล็กน้อย ส่งผลให้เธอตอบสนองได้ไม่ทันท่วงที
ผนวกกับการถูกตรวนแห่งความมืดพันธนาการอยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวทำได้เพียงยืนนิ่งในตำแหน่งเดิมพลางเฝ้ามองการฟาดฟันจากดาบยักษ์ของนักบุญมืด และมือซ้ายของนักบุญเร้นลับที่พยายามจับคว้าเธอ
ทันใดนั้นเอง เมื่อผนังห้องปราศจากเลือดเนื้อคอยตัดขาดจากโลกภายนอก สายลมล่องหนพลันพรั่งพรูเข้ามาพร้อมกับแรงระเบิด
ทันทีที่สายลมก่อตัว มันทวีความรุนแรงพร้อมกับพัดกวาด ‘จิตใจ’ ของนักบุญมืดและนักบุญเร้นลับ
จอมบงการ พายุจิต!
ขณะเผชิญกับอิทธิพลทางจิตที่พยายามแทรกซึมความคิด โบทิสไม่เพียงไม่ตกตะลึงหรือลนลาน ตรงกันข้าม มันขดมุมปากขึ้นเล็กน้อย
ในตอนที่กดปุ่ม ‘เริ่มต้นใหม่’ มันยังไม่ลืมว่ามีครึ่งเทพที่แข็งแกร่งอีกหนึ่งคนคอยซ่อนตัวสนับสนุนครึ่งเทพข้างรถม้าฟักทอง
การที่มันทำทีเป็นเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับอีกฝ่าย นั่นเพราะต้องการล่อให้อีกคนเผยตัวออกมา!
ในรอยต่อระหว่างการใช้งาน ‘การเริ่มต้นใหม่แห่งชะตากรรม’ และ ‘สถานะพิเศษของเทพหายนะ’ โบทิสแอบสะกดจิตตัวเองอย่างแนบเนียนเพื่อบรรเทาอิทธิพลของ ‘ช่วงชิงจิตใจ’ และการพรั่งพรูของความรู้ที่เล่นงานในจังหวะก่อนหน้า วิธีนี้สามารถทำได้ง่ายดายโดยการแบ่งหนอนดวงดาว จากนั้นก็ทิ้งจิตอีกส่วนหนึ่งไว้คอยรับมือกับศัตรูที่ ‘ล่องหน’
เมื่อพิจารณาว่าการโจมตีก่อนหน้าเป็นแขนงหนึ่งของ ‘มังกรข่มขวัญ’ และการที่อีกฝ่ายซ่อนตัวได้แนบเนียน โบทิสมั่นใจอยู่หลายส่วนว่าผู้ช่วยของสตรีสวมชุดคลุมดำลายม่วงคือครึ่งเทพเส้นทางผู้ชม
ทันทีที่จิตโบทิสเริ่มวิงเวียนและถูกปิดกั้น เครือข่ายประสาทสัมผัสของมันแผ่กิ่งก้านอย่างรวดเร็วจนค้นพบแห่งที่มาของการโจมตี
แต่ทันใดนั้นเอง ข้อมูลซึ่งกำลังพรั่งพรูเข้ามาในหนอนดวงดาวกลับไม่ใช่ความรู้ที่ท่วมท้นและไร้สาระอย่างที่มันเข้าใจ
สมองของมันได้ยินเสียงพูดประมาณหลายพันคำในหนึ่งวินาที
“ในห้องใต้ดินของปราสาทร้างในป่าเดแลร์มีบานประตูทองแดงที่คอยผนึกการกัดกร่อน ยิ่งมีลำดับสูงเท่าไรก็ยิ่งได้รับอิทธิพลมาก…”
“อวกาศอันตรายมาก มีตัวตนลึกลับที่ไม่มีใครรู้จักคอยจับตามองตลอดเวลา…”
“เทวทูตมืดอาจเป็นบุคลิกด้านลบที่เทพสุริยันบรรพกาลแบ่งออกมา…”
“…”
อะไรกัน…? โบทิสผงะไปครู่หนึ่ง มันสัมผัสได้ว่าความคิดเหล่านี้เต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากฟังต่อ
เพียงพริบตาที่มันเผลอ ศัตรูซึ่งค้นพบอย่างยากลำบากสบโอกาสหายตัวไปอีกครั้ง หลุดพ้นจากเครือข่ายประสาทสัมผัสอันแหลมคม ขณะเดียวกัน ฝ่ามือเทพหายนะที่พุ่งไปทางรถม้าฟ้าทองและเตรียมคว้าครึ่งเทพหญิงในชุดคลุมหัวสีดำลายม่วง พลันเชื่องช้าลงกะทันหัน
ในทำนองเดียวกัน นักบุญมืด คิสม่าเองก็ได้รับผลกระทบจากพายุจิต ส่งผลให้การเคลื่อนไหวแข็งทื่อเกือบวินาที
เมื่อพวกมันฟื้นคืนสติกลับมา แคทลียากำลังอ้าปากและพ่นเมล็ดถั่ว
ถั่วเจริญเติบโตกลายเป็นเถาวัลย์สีเขียวต้นหนาที่ช่วยพาแคทลียาหนีไปทางประตู ส่งผลให้เธอหลุดพ้นจากตรวนความมืดและฟื้นคืนอิสรภาพในการเคลื่อนไหวร่างกาย
วินาทีที่ดาบยักษ์ของนักบุญมืดและแขนแห่งหายนะของนักบุญเร้นลับปะทะกับร่างกาย พวกมันทำได้เพียงโจมตีโดนเงาดำจนแตกละเอียด แต่มิอาจสร้างรอยขีดข่วนให้กับร่างต้นของปราชญ์พิศวง
เมื่อครู่แคทลียาใช้เวทมนตร์ ‘ฉลองพระองค์ใหม่ของจักรพรรดิ’ เมื่อไม่เคยมีตัวตนอยู่ เธอย่อมไม่บาดเจ็บ!
วินาทีถัดมา ร่างของสตรีในชุดคลุมหัวสีดำลายม่วงพลันโปร่งใสและกลายเป็นฟองสบู่
กลุ่มฟองสบู่ลอยขึ้นฟ้าและสลายตัวอย่างรวดเร็วโดยไม่เหลือสิ่งใดทิ้งไว้ ส่วนเถาวัลย์สีเขียวงอกเงยขึ้นไปด้านบนพร้อมกับเผาไหม้ตัวเองจนบริเวณใกล้เคียงสว่างไสว
ทุกสิ่งกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ราวกับการต่อสู้อันดุเดือดของครึ่งเทพเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น
นักบุญเร้นลับ โบทิส และนักบุญมืด คิสม่า มองหน้ากันโดยไม่แปลกใจกับสถานการณ์
เห็นได้ชัดว่าหลังจากการลอบโจมตีล้มเหลว ครึ่งเทพศัตรูทั้งสองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและประเมินว่าพวกตนยากจะทำภารกิจให้สำเร็จ ไม่เพียงเท่านั้น ที่นี่คือกรุงเบ็คลันด์ หากลากความโกลาหลให้ยาวนานขึ้น ฝ่ายที่อันตรายจะเป็นตัวเอง จึงฉวยโอกาสหลบหนีโดยไม่รีรอ
และเพื่อให้หลบหนีอย่างราบรื่น ทางนั้นจงใจสร้างความวุ่นวายเพื่อดึงดูดความสนใจของหน่วยพิเศษประจำกรุงเบ็คลันด์
สำหรับ ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ และผู้วิเศษเส้นทางผู้ฝึกหัดลำดับ 6 หรือ 7 คนดังกล่าว เธอเป็นเหยื่อล่อที่สละได้
เมื่อพยักหน้าให้กันเล็กน้อย โบทิสหยิบลูกบอลแก้วออกจากกระเป๋าเสื้อคลุมสีดำ จากนั้นก็ทำให้มันระเบิดและหลอมเป็นเนื้อเดียวกับความว่างเปล่า
มันเองก็พยายามลบร่องรอยและขัดขวางการทำนายถึง
โบทิสไม่กล้าแช่อยู่นานนัก แผนการขั้นถัดไปคือการเทเลพอร์ตกลับไปยังสำนักงานใหญ่ชุมนุมแสงเหนือและ ‘สอบปากคำ’ เหยื่อเพื่อเค้นหาความจริง จึงค่อยตัดสินใจว่าจะทำสิ่งใดต่อ
วินาทีถัดมา ร่างโบทิสโปร่งใสและหายไปอย่างรวดเร็ว ส่วนนักบุญมืด คิสม่าได้ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเงามืดและรีบหนี ระหว่างทางคอยทำลายเบาะแสที่อาจถูกสาวถึงเป็นระยะ
……………………………………..