ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1200 : สุ่ม
ผ่านไปสักพัก ห้วงมิติเหนือป่าเสื่อมโทรมพลันฉีกขาดพร้อมกับเผยให้เห็นประตูมายาบานหนึ่ง
ประตูเปิดออกอย่างไร้สุ้มเสียง หนุ่มใหญ่รูปงามมาดภูมิฐานเจ้าของผมสีดำดวงตาสีทองเดินออกมา
ยังไม่ทันจะได้ตรวจสอบจุดเกิดเหตุ มันได้ยินเสียงโซนิคบูมพร้อมกับสัมผัสถึงพายุเฮอร์ริเคนที่ทรงพลัง จากนั้นก็เห็นชายวัยกลางคนเจ้าของบรรยากาศดุดันโผล่ขึ้นด้านหน้า
ชายคนดังกล่าวมีติ่งหูใหญ่ชัดเจน ผมสีน้ำเงินเข้มดกหนา ดวงตาอัดแน่นไปด้วยสายฟ้าจำนวนมาก
ไม่ใช่ใครนอกจากพระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน อาร์ชบิชอปประจำมุขมณฑลเบ็คลันด์ ‘เจ้าพิธีกรรมสีคราม’ เรดาลล์·วาเลนไทน์
นักบวชในชุดคลุมสีดำปักลวดลายพายุเหลียวซ้ายแลขวาหนึ่งรอบ จากนั้นก็จ้องไปทางบุรุษดวงตาสีทองและถามด้วยเสียงคล้ายฟ้าคำราม
“เซลเต้ เกิดอะไรขึ้นที่นี่”
บุรุษดวงตาสีทองตามเซลเต้ส่ายหน้า
“ผมเองก็เพิ่งมาถึง”
ทันทีที่สิ้นเสียง ในความว่างเปล่าอีกด้านหนึ่งมีร่างมายาเกือบโปร่งใสขนาดใหญ่ประหนึ่งขุนเขาเดินออกจากความว่างเปล่า
ร่างดังกล่าวแต่งกายในชุดอาร์ชบิชอปสีดำแถบแดง ดวงตาลุ่มลึก ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ไม่ใช่ใครนอกจากแอนโทนี สตีเวนสัน อาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์รัตติกาลประจำมุขมณฑลกรุงเบ็คลันด์
หลังจากร่างวิญญาณขนาดมหึมาเสร็จสิ้นภารกิจ มันย่อตัวลงและไหลเข้าไปในปากแอนโทนี·สตีเวนสัน ขณะเดียวกัน วิญญาณที่มียาวปรกหน้าโผล่ขึ้นด้านหลังแอนโทนีพร้อมกับพยุงไหล่ไม่ให้อาร์ชบิชอปล้มลง
ในวินาทีถัดมา มวลอากาศอันปั่นป่วนพุ่งออกจากกรุงเบ็คลันด์ ผลักร่างหนึ่งให้มาถึงจุดเกิดเหตุด้วยความเร็วสูง
เพียงไม่นานร่างดังกล่าวก็หยุดลง เผยให้เห็นใบหน้าชายชราสวมชุดและหมวกนักบวชสีขาว ใบหน้าอ่อนโยนและใจดี
กระแสลมที่คอยส่งชายชราจนถึงเมื่อครู่เลือนหายไป ขณะเดียวกัน ท่อโลหะสีดำผิวมันวาวทำการหดกลับเข้าไปในร่างกายชายชรา
ไม่ใช่ใครนอกจากอาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์จักรกลไอน้ำประจำมุขมณฑลกรุงเบ็คลันด์ หนึ่งในสภาศักดิ์สิทธิ์ ฮารามิค·ไฮเดิน
ตัวมันที่กำลังลอยค้างอากาศอย่างไร้เหตุผล มองไปรอบตัวและพูด
“แม้การต่อสู้ที่นี่จะไม่ดุเดือด แต่ก็เป็นระดับนักบุญแน่นอน… นอกจากนั้น ออร่าที่ยังหลงเหลือช่างเหมือนกับ… เหมือนกับ…”
ขณะกล่าว ครึ่งเทพทั้งสี่ก้มศีรษะลงพร้อมกัน เพ่งมองไปยังใจกลางป่าเสื่อมโทรม
ที่นั่นมีไพ่ทาโรต์ปักดินอยู่ หน้าไพ่เป็นชายชราถือไม้เท้าและตะเกียงแก้ว
ไพ่เฮอร์มิท!
เรดาลล์·วาเลนไทน์ เซลเต้ แอนโทนี และฮารามิคต่างปิดปากเงียบไปสักพัก ไม่มีใครกล่าวคำใดออกมา
…
เหนือสายหมอกสีเทา ภายในพระราชวังโบราณ ไคลน์ขมวดคิ้วขณะจ้องกล่องวันวานตรงหน้า
ทันทีที่สมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ชิ้นนี้ถูกสังเวย ปราสาทต้นกำลังพลันตื่นตัวราวกับน้ำที่ถูกต้มจนเดือด
ไอน้ำที่เกิดจากมวลพลังงานเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง ก่อตัวเป็นกระแสน้ำและพรั่งพรูเข้าใส่กล่องวันวานอย่างท่วมท้นและห่อหุ้มไว้
ทันใดนั้น กล่องอัญมณีสีเงินทึบสามชั้นเลี่ยมเพชรพลอยราชาแพงถูกเปลี่ยนให้เป็นแมลงในก้อนอำพัน ไม่มีช่องว่างให้กระดุกกระดิก
ก่อนหน้านี้ ปราสาทต้นกำเนิดจะสั่นสะเทือนเฉพาะตอนที่เราแอบส่องเทพแท้จริงหรือราชาเทวทูต หรือไม่ก็ตอนที่เราบาดเจ็บ… นี่เป็นครั้งแรกที่มันตอบสนองต่อวัตถุแปลกปลอมในลักษณะเดียวกัน… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะยกมือขวาขึ้นปาดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริง
ว่ากันตามตรง มันประหม่าเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ตระหนักว่าตนหยิ่งผยองเกินไปหลังจากควบคุมปราสาทต้นกำเนิดได้ในระดับหนึ่ง
หากเป็นสมัยก่อน ไคลน์ไม่มีทางนำสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ เข้ามาที่นี่แน่นอน แต่เนื่องจากสมบัติปิดผนึกคราวนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเอกลักษณ์ของเส้นทาง แถมตัวตนไคลน์ก็ยังถูกยกระดับขึ้นมากเมื่อเทียบกับอดีต จึงกล้าที่จะลองเสี่ยง
โชคดีที่ยังอยู่ในความควบคุม… คงต้องเตือนมาดามเฮอร์มิทว่าในอนาคตห้ามสังเวยทุกสิ่งขึ้นส่งเดช เราไม่ใช่คนเก็บขยะสักหน่อย… หลังจากพึมพำสองสามคำ ไคลน์หันกลับมาสนใจกล่องวันวานอีกครั้ง
มันยังไม่ลืมว่ามิสเมจิกเชี่ยนยังอยู่ในสมบัติปิดผนึก จึงคิดจะวิเคราะห์รูปแบบของกล่องวันวานโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เหยื่อต้องตายฟรีจากความช่วยเหลือที่ล่าช้า
สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้น่าสะพรึงมาก แม้แต่อาโรเดสก็ยังแทบไม่มีข้อมูล เราถึงต้องมาวิเคราะห์ด้วยตัวเอง… ขอแค่ไม่พยายามทำนายถึงชั้นสุดท้ายของกล่อง ระดับอันตรายก็คงไม่สูงเกินไป หรืออาจไม่มีเลย… ไคลน์อาศัยสัมผัสวิญญาณช่วยประเมินสถานการณ์เบื้องต้น
ทันทีหลังจากนั้น มันเสกกระดาษเปล่าและเริ่มการทำนาย
ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มลืมตาขึ้นพลางพึมพำกับตัวเอง
ชั้นแรกมีพลังในการสลับพื้นนี่ภายในกล่องกับพื้นที่เป้าหมาย เปลี่ยนให้ฉากดังกล่าวกลายเป็นของเล่น… หาประโยชน์ใช้งานได้ยากมาก…
สิ่งมีชีวิตที่กลายเป็นของเล่นจะต้องถูกปลดปล่อยภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นจะอยู่ในสภาพดังกล่าวตลอดไป แม้แต่ดวงวิญญาณก็ไม่ได้พบกับการพักผ่อนชั่วนิรันดร์…
การปลดปล่อยทำได้ไม่ยาก แค่กำหนดให้พื้นที่หนึ่งเป็นเป้าหมายในการสลับภายในและภายนอก ควรเลือกจุดเล็กๆ ที่ปราศจากสิ่งมีชีวิต…
พื้นที่เป้าหมายต้องไม่ใหญ่เกินหนึ่งเมือง… ประมาณกรุงเบ็คลันด์… แล้วทำไมเราถึงต้องยกตัวอย่างเบ็คลันด์…
ชั้นที่สองของกล่องจะบันทึกสถานที่ต่างๆ เอาไว้ มีทั้งนรกและอวกาศ… เมื่อใช้งานจะทำให้ผู้ถือกล่องและสิ่งมีชีวิตในรัศมีใกล้เคียงย้ายตำแหน่งไปยังพื้นที่เป้าหมายในทันที…
ปัญหาก็คือ ปลายทางเป็นแบบสุ่มเกือบทั้งหมด… มีโอกาสเล็กน้อยที่จะระบุปลายทางได้เอง แต่ส่วนใหญ่ตำแหน่งปลายทางจะเกิดขึ้นแบบสุ่มซึ่งยากต่อการคาดเดา… และไม่มีทางทราบว่าครั้งใดที่ปลายทางจะตรงกับจุดที่เลือก…
นอกจากนั้น ดูเหมือนว่าความโชคดีจะไม่ส่งผลต่อการสุ่ม… ไม่สิ… คงต้องบอกว่าความโชคดีมีอิทธิพลไม่มากพอจะแทรกแซงสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ชิ้นนี้…
หมายความว่าเราไม่สามารถใช้พลังของกล่องวันวานเพื่อพาชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ออกจากดินแดนเทพทอดทิ้ง… น่าเสียดาย ไม่อย่างนั้นพิธีกรรมผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ของเราจะง่ายขึ้นมาก… แต่บางทีการเปลี่ยนให้พวกเขาเป็นของเล่นอาจทำได้…
ชั้นล่างสุดเต็มไปด้วยอันตราย… อันตรายอย่างยิ่ง อันตรายที่สุด… ไม่ควรส่องความลับด้วยประการทั้งปวง นั่นมีค่าเท่ากับรนหาที่ตาย…
ผลข้างเคียงด้านลบของกล่องวันวานนั้นไม่ซับซ้อน ผู้ถือจะมีโอกาสสุ่มหายตัว ตายคาที่ หรือไม่ก็กลายพันธุ์อย่างน่าอนาถ… หากไม่มีผู้ถือ สิ่งมีชีวิตในละแวกใกล้เคียงจะได้รับผลกระทบแทน ขึ้นอยู่กับขนาดและระยะทาง ขอบเขตที่ไกลที่สุดเท่ากับชั้นบนสุด… สมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ชิ้นนี้น่าสะพรึงกลัวสมชื่อ สามารถทำลายเมืองทั้งเมืองไปพร้อมกับคร่าชีวิตผู้คนกว่าสิบล้าน… ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงเป็นสมบัติปิดผนึกที่ถูกจัดให้มีความอันตรายในระดับสูงสุด ห้ามส่องความลับ ห้ามสอบถาม และห้ามเล่าให้ใครฟัง…
คนที่สุ่มหายตัวจะถูกส่งไปไหน… อาจจะเกี่ยวข้องกับฉากที่บันทึกในชั้นที่สอง…
การที่นักบุญเร้นลับกล้าพกพากล่องใบนี้ไปไหนมาไหน คงเป็นเพราะมันได้รับการอวยพรจากเทวทูตโชคชะตา โอโรเลอุส จนสามารถลดผลข้างเคียงให้เหลือน้อยที่สุด… แต่ถึงอย่างนั้นก็คงไม่กล้าพกพาตลอดเวลา เพราะพรย่อมมีวันเสื่อม… เหมือนกับช่วงสุดท้ายที่มันฟื้นคืนสติไม่ทันจนพลาดโอกาสเทเลพอร์ตหนี เห็นได้ชัดว่าความโชคดีหมดลงไปแล้ว… เป็นเรื่องยากมากที่จะฆ่านักบุญซึ่งมีองค์กรใหญ่หนุนหลัง…
ต้องยอมรับว่ามาดามเฮอร์มิทมีมากไปด้วยประสบการณ์ แถมยังเฉลียวฉลาด เธอไม่บุ่มบ่ามสัมผัสกล่องโดยตรง แต่สร้างคนรับใช้ล่องหนขึ้นมาช่วยประกอบพิธีกรรมแทน ทำให้สามารถสังเวยกล่องใบนี้ถึงเราได้ด้วยระยะเวลาที่สั้นที่สุด…
ในทางทฤษฎี เราสามารถอัญเชิญภาพฉายของตัวเองในอดีตมาถือกล่องใบนี้แทนได้ เพราะต่อให้มันตายคาที่ กลายพันธุ์ หรือสุ่มหายไป ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อร่างต้น… แต่จะใช้งานได้นานแค่ไหนก็เป็นอีกเรื่อง บางทีเราอาจต้องพึ่งพาพรจากวิล·อัสตินเหมือนกัน…
วิธีผนึกคือการนำไปเก็บไว้ในโลกวิญญาณ แต่แค่นั้นยังไม่พอ ต้องเป็นห้วงมิติที่ซ่อนเร้นอย่างมิดชิดภายในโลกวิญญาณ จากนั้นก็เทน้ำจากแม่น้ำให้ท่วมกล่องวันวาน ปล่อยให้มันเล่นกับจุลินทรีย์ไปเรื่อยๆ … ด้วยปริมาณของสิ่งมีชีวิตในน้ำ วิธีผนึกแบบนี้จะคงสภาพได้นาน… แต่ถ้าเข้าใจหลักการ ยังมีอีกหลายวิธีที่คล้ายคลึงกันให้ลองทำ…
หลังจากวิเคราะห์เบื้องต้นเกี่ยวกับกล่องวันวาน ไคลน์จ้องสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ชิ้นนี้พลางตระหนักว่าชั้นที่สามของกล่องอาจไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และใช่ว่าจะเปิดไม่ออกเสียทีเดียว
ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าตนคลายผนึกที่ปราสาทต้นกำเนิดทำไว้ การเปิดชั้นที่สามของกล่องก็ไม่ใช่เรื่องยาก
…เย้ายวนให้เปิดมาก… ไคลน์ถอนสายตากลับพร้อมกับโบกมือ เสกให้กล่องวันวานลอยไปตกลงบนกองขยะ
ไม่ว่าจะเป็นสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ หรือไม่ แต่ทุกคนก็ต้องถูกส่งไป ‘ละลายพฤติกรรม’ ที่นั่น!
ในฐานะสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ อันน่าสะพรึง มันควรมีรหัสเพื่อบ่งบอกความพิเศษ… น่าเสียดายที่เราไม่รู้ว่าเจ็ดโบสถ์หลักมีสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ ในครอบครองรวมกันที่ชิ้น… คงไม่เกินห้าสิบกระมัง? ถ้าอย่างนั้นเราจะเรียกกล่องวันวานว่า 0-61 ไปก่อน จากนั้นค่อยปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมในอนาคต…
ถ้ามาดามเฮอร์มิทไม่มีวิธีผนึกมันอย่างมีประสิทธิภาพ เธอสามารถฝาก 0-61 มาเก็บไว้บนมิติหมอกและทำเรื่องเบิกเมื่อต้องการ แน่นอนว่าเธอต้องสวดวิงวอนขอพรจากวิลก่อน… ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่เราจะได้เป็น ‘ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ’ ตัวจริง… วรรคดังกล่าวมีบางส่วนอยู่ในขอบเขตผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ และบางส่วนอยู่ในขอบเขตบริวารเร้นลับ… ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะหยิบตะกอนพลังของนักบุญเร้นลับ โบทิสขึ้นมา
มันดูคล้ายผลึกที่มีลำแสงจำนวนมากหักเหอยู่ภายใน แสงดังกล่าวเรียงตัวกันเป็นประตูมายาสว่างไสว
จ้องมองสักพัก ไคลน์ตัดสินใจโยนตะกอนพลังขึ้นไปในอากาศ
เป็นอีกครั้งที่พลังของปราสาทต้นกำเนิดเริ่มเดือดพล่าน และภายใต้การควบคุมของไคลน์ คลื่นล่องหนจำนวนมากหลั่งไหลมารวมกันก่อนจะพุ่งกระแทกใส่ก้อนผลึกอย่างหนักหน่วง
ผลึกดังกล่าวแตกละเอียดในทันที กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยจำนวนมาก ก๊าซสีดำกลุ่มโผล่ขึ้นมาจากเศษผลึก จากนั้นก็บิดตัวอย่างโกลาหลและสลายตัวไปท่ามกลางปราสาทต้นกำเนิด
อาศัยกฎการอนุรักษ์ตะกอนพลัง เศษผลึกแสงเหล่านั้นบรรจงขยับเข้าหากันอีกครั้ง ใช้เวลาเกือบหนึ่งนาทีในการจัดระเบียบจนกลายเป็นผลึกก่อนใหม่ที่งดงามและชวนฝัน จากนั้นตกลงบนฝ่ามือไคลน์
การกัดกร่อนด้านในถูกลบออกโดยสมบูรณ์
ไคลน์ในปราสาทต้นกำเนิดอาจมีพลังเทียบเท่าเทวทูตลำดับสองก็จริง แต่ส่วนใหญ่เป็นเพียง ‘พลังดิบ’ ที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตใดขอบเขตหนึ่ง จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสริมที่ถูกต้องคอยสนับสนุน
หลังจากวางตะกอนพลังจอมเวทลึกลับลง ไคลน์จ้องไปทางดวงตาทั้งสองข้างของโบทิส
…………………………………………..