ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1212 : เผยแผ่พระกรุณา
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1212 : เผยแผ่พระกรุณา
ขณะไคลน์กำลังคิดหาวิธี ฉากหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ
ทะเลหมอกซึ่งอยู่ท่ามกลางยอดเขาสองแห่งเริ่ม ‘เดือดพล่าน’ และแยกออกจากกันจนเผยให้เห็นรอบแยกอันไร้ก้นบึ้ง แสงแดดยามเย็นสีส้มส่องเข้ามาปกคลุมพร้อมกับสร้างทางเดินยาวที่มั่นคง
นี่คือฉากที่ผู้เย้ยเทพ อามุนด์ สร้างขึ้นเพื่อเข้าไปในภาพฉายของวังราชาคนยักษ์
เมื่อไคลน์พิจารณาว่าตนยังเข้าใจพลังดังกล่าวได้ไม่ดีพอและเตรียมเปลี่ยนไปคิดหาวิธีอื่น แสงเจือจางสีแดง น้ำเงิน และเขียวบนหัวอัญมณีพลันสว่างขึ้นเป็นสัญญาณการเริ่มทำงาน
หมอกสีเทาที่เกาะกลุ่มหนาแน่นมานานเริ่มเกิดอาการ ‘เดือด’ ที่ไม่รุนแรงมาก
กลุ่มหมอกแยกออกจากกันเป็นสองฝั่ง แต่ด้านในก็ยังคงเป็นหมอกสีเทาหนาแน่นซึ่งดูคล้ายกับไร้ก้นบึ้ง
ไคลน์ถอนหายใจเงียบ จากนั้นก็ลงมืออีกครั้งเมื่อค้นพบวิธีใหม่
ชายหนุ่มทดสอบเกินกว่าสิบวิธีภายในสามนาที เจ็ดครั้งเป็นความตั้งใจและสามครั้งเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ไม่มีครั้งใดเลยที่สามารถเปิดบาเรียล่องหนสำเร็จ
…นั่นสินะ วิธีทั่วไปคงใช้ไม่ได้… ไคลน์สะบัดข้อมือเพื่อสลายภาพฉายของ 0-62 ที่ใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที
มันเอาแต่จ้องสายหมอกโดยไม่ขยับตัวนานกว่าหนึ่งนาที ราวกับค่อยๆ เปลี่ยนสถานะกลายเป็นรูปปั้นหิน
จนในที่สุด ไคลน์หลับตาลงและมองไปทางอื่น จากนั้นก็เดินถือตะเกียงฝ่าความมืดไปหากลุ่มมนุษย์ที่กำลังแอบมองอยู่ไม่ไกล
ชายหนุ่มคำนวณแล้วว่าการสุ่มทดลองส่งเดชคงมีแต่ความล้มเหลว จึงคิดจะสอบถามข้อมูลจากผู้คนที่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงมานานกว่าสองสามพันปีแทน เพราะค่อนข้างแน่ชัดว่ามนุษย์กลุ่มนี้จะต้องเคยสำรวจสายหมอกสีเทามานับครั้งไม่ถ้วน บางทีตนอาจพบเบาะแสหรือได้รับคำใบ้จากประสบการณ์อันยาวนาน
จากการวิเคราะห์ของไคลน์ในตอนแรก มนุษย์กลุ่มดังกล่าวคงไม่เปิดใจเจรจาแต่โดยดี มันจึงคิดวิธี ‘สำแดงพลัง’ เพื่อให้อีกฝ่ายยอมพูดคุยอย่างสันติ แต่กลับต้องผิดคาด เมื่อแสงจากตะเกียงส่องลงบนใบหน้าอีกฝ่าย ไคลน์พบว่ากลุ่มมนุษย์ที่ประสบภาวะพิการรุนแรงต่างอ้าปากค้างพลางจ้องตนด้วยสายตาตกตะลึง สีหน้าเปี่ยมด้วยความสับสนมึนงงและเหม่อลอยอยู่พักใหญ่
ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อยท่ามกลางความมืด จากนั้นก็เดินไปทางกลุ่มมนุษย์โบราณผู้รอดชีวิตและหยุดในจุดที่ห่างออกมาสองสามก้าว
“รู้อะไรเกี่ยวกับหมอกพวกนี้บ้าง” ไคลน์ถามเสียงต่ำเป็นภาษาคนยักษ์
ภาษาที่กระตุ้นพลังธรรมชาติชนิดนี้สามารถใช้สื่อสารได้ในทุกภูมิภาค อาจมีความแตกต่างทางสำเนียงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะถ้ามีการดัดแปลงภาษามากเกินไป อำนาจในการกระตุ้นพลังธรรมชาติก็จะถูกลดทอนลง
อดาลถูกดึงสติกลับมาหลังจากได้ยินคำถามของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ริมฝีปากของมันสั่นเทาเล็กน้อยขณะพ่นประโยคบอกเล่าโดยไม่ตอบคำถาม
“พ…พวกเรา… ไม่เคยทำให้หมอกเหล่านั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงมาก่อน…”
เมื่อครู่เกอร์มัน·สแปร์โรว์เพิ่งทำให้หมอกเดือดและแยกออกจากกันเป็นสองฝั่ง ฉากดังกล่าวสร้างความหวาดผวาให้พวกมันไม่น้อย บางคนรู้สึกประหนึ่งกำลังรับชมปาฏิหาริย์
ความพยายามกว่าสองสามพันปีของชาวเมืองจันทราไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น เทียบไม่ได้เลยกับความพยายามไม่กี่ร้อยลมหายใจของชายถือไม้เท้า!
นี่คือเหตุผลที่พวกมันไม่แสดงท่าทีต่อต้านขณะเกอร์มัน·สแปร์โรว์ย่างกรายเข้าหา
พวกมันเชื่อโดยสัญชาตญาณว่า ถึงจะพยายามหลบหนีไปก็คงเปล่าประโยชน์
ผ่านไปไม่กี่วินาที ไคลน์ถามต่อ
“มีบันทึกเกี่ยวกับมันบ้างไหม”
อดาลเข้าใจความนัยของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทันที มันออกอาการลังเลสักพักก่อนจะพยักหน้า
“มี… แต่มีเพียงมหานักบวชและคนใกล้ชิดเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าถึงได้บ่อย”
แต่งกายในชุดกันลมสีดำและหมวกทรงกึ่งสูง ไคลน์ตรึกตรองหลายวินาทีก่อนจะเหยียดแขนออกไปหยิบบางสิ่งจากความว่างเปล่า
สิ่งนั้นคือไม้กางเขนทองแดงที่เก่าจนกลายเป็นสีเขียว รายล้อมด้วยหนามแหลมหลายกิ่ง
ภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ของไม้กางเขนเจิดจรัส!
ไคลน์ยกไม้กางเขนขึ้นสูงและส่องไปทางกลุ่มผู้รอดชีวิตโบราณ
แสงสว่างอันเจิดจ้าและบริสุทธิ์พลันสาดส่อง สลายความมืดมิดโดยรอบพร้อมกับอาบร่างพวกมันอย่างท่วมท้น
ประสบการณ์ต่อสู้อันโชกโชนของทุกคนตอบสนองเชิงตั้งรับโดยอัตโนมัติ แต่เพียงไม่นานก็เลิกขัดขัน
ความอบอุ่นจากแสงสว่างคือสิ่งที่หาไม่ได้จากกองไฟกองใดเลย!
ฉากตรงหน้าทำให้พวกมันหวนนึกถึง ‘เทพ’ ที่มหานักบวชเคยนิยามให้ฟัง เทพเหล่านั้นสามารถเปล่งแสงสว่างแสนอบอุ่นอันไร้ขอบเขต
ท่ามกลางแสงเจิดจ้า แก๊สมายาสีดำค่อยๆ ลอยขึ้นจากร่างกายอดาล ซิน และคนที่เหลือจนกระทั่งสลายไปโดยสมบูรณ์
สมาชิกหน่วยล่าของเมืองจันทราสัมผัสได้ทันทีว่าร่างกายของพวกมันเบาขึ้น ความรู้สึกขื่นขมภายในใจถูกขจัดออกไปอย่างน่าประหลาด
หลังจากชำระล้างมลพิษและโรคภัยที่สั่งสมในร่างกายอีกฝ่าย ไคลน์สะบัดข้อมือแผ่วเบาเพื่อสลายไม้กางเขนต่อหน้าทุกคน
ทันทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มหยิบไม้เท้าอีกอันหนึ่งที่ทำจากท่อนไม้ออกมา
สิ่งนี้คืออดีตสมบัติปิดผนึกของเมืองเงินพิสุทธิ์ ไม้เท้าแห่งชีวิต!
แม้ไคลน์จะสังเวยมันให้เทพธิดาไปแล้ว แต่สำหรับปราชญ์โบราณ สิ่งของที่เคยใช้งานจะยังคงอยู่ในอีกรูปแบบหนึ่ง
ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับใช้ปลายไม้เท้าสัมผัสตัวหัวหน้าหน่วยล่าของเมืองจันทรา
ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้อดาลไม่หลบหลีก ทันใดนั้น ตุ่มเนื้อจำนวนมากบนหน้าอดาลเริ่มปริแตกพร้อมกับมีหนองไหล หนองเหล่านั้นเลือนหายไปในเวลาต่อมาจนกระทั่งไม่เหลือทิ้งร่องรอยใด
พิจารณาจากสายตาของสมาชิกหน่วยล่า อดาลทราบทันทีว่าร่างกายของตนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มันลังเลอยู่นานก่อนจะยอมเลื่อนมือขวาขึ้นมาลูบไล้ใบหน้า เป็นการเลื่อนมือขึ้นลงหลายครั้งโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ระหว่างนั้นก็พบว่าสุขภาพของตนดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดีกว่าในช่วงวัยเด็กเสียอีก
ไคลน์ไม่ได้จ้องค้างที่อดาล เพียงก้าวในแนวเฉียงและใช้ไม้เท้าแห่งชีวิตทำแบบเดียวกันกับสมาชิกหน่วยล่าคนอื่นๆ
เมื่อเห็นอดาลเป็นตัวอย่าง ซินและคนที่เหลือไม่คิดขัดขืนการสัมผัสจากไม้เท้าและได้ลิ้มรสความรู้สึกแปลกใหม่
ในหมู่พวกมัน สองคนที่เกิดมาพิการและอ่อนไหวง่ายเริ่มหลั่งน้ำตาทันที
น่าเสียดายที่รักษาความพิการโดยกำเนิดไม่ได้… และถึงจะรักษาอาการทางจิตได้ แต่ก็รักษาแนวโน้มความบ้าคลั่งไม่ได้… ไคลน์ชักมือขวากลับพร้อมกับสลายไม้เท้าแห่งชีวิต
ชายหนุ่มเดินไปยังตำแหน่งเดิมและหมุนตัวกลับหลัง จากนั้นก็กล่าวพลางจดจ้องกลุ่มผู้รอดชีวิตโบราณ
“ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำลาย แต่มาเพื่อเผยแผ่พระกรุณาของพระองค์พร้อมกับนำพาแสงสว่างและความอบอุ่นมาสู่… จงกลับไปบอกหัวหน้าของพวกคุณว่าผมจะรออยู่ที่นี่ หากต้องการก็มาหาได้ทุกเมื่อ”
ชายหนุ่มไม่ต้องการทราบแหล่งกบดานของผู้รอดชีวิตโบราณเหล่านี้ และไม่คิดจะเดินทางไปที่นั่นโดยตรง ไม่อย่างนั้นจะทำให้อีกฝ่ายเกิดความหวาดระแวงและต่อต้าน
จึงไม่มีวิธีใดเหมาะสมไปกว่าการมอบทางเลือกให้พวกมันตัดสินใจเอาเอง
อดาล ซิน และคนที่เหลือต่างพากันตกตะลึงกับภาพที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์เสกสมบัติวิเศษชิ้นแล้วชิ้นเล่าออกมาใช้งาน พวกมันรู้สึกประหนึ่งกำลังพานพบปาฏิหาริย์และแสงศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสามารถขจัดความผิดปรกติพร้อมกับฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย เปลี่ยนให้ทุกคนแข็งแรงอย่างที่ไม่เคยเป็น
“…ตกลง” อดาลมอบคำตอบในอีกหลายวินาทีถัดมา
ขณะพวกมันหันหลังและเตรียมกลับไปยังเมืองจันทรา จุดแสงสว่างขึ้นจากในความมืดและขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ
นำหน้ามาโดยชายชราผู้แต่งกายด้วยชุดหนังสัตว์สีน้ำตาลเข้ม ผมเผ้าสีเทายุ่งเหยิง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแยกร่องลึก
“ท่านมหานักบวช…” ซินโพล่งขึ้นหลังจากจดจำอีกฝ่ายได้
ผู้มาเยือนคือมหานักบวชแห่งเมืองจันทรา นีม
ด้านหลังนีมคือรุสและสมาชิกหน่วยล่าที่กลับไปก่อน รวมถึงผู้วิเศษลำดับสูงอีกจำนวนหนึ่ง
นีมผงกศีรษะให้อดาล ซิน และคนที่เหลือก่อนจะเดินผ่านไป มันจ้องไปทางชายผู้เรียกตัวเองว่าผู้เผยแผ่ศาสนา เกอร์มัน·สแปร์โรว์ จากนั้นก็เหยียดแขนออกมาข้างหน้า มือขวาทับศอกซ้าย มือซ้ายรองใต้ศอกขวาพร้อมกับโค้งศีรษะคำนับ
“ยินดีต้อนแรกท่านแขกผู้มีเกียรติ ผมคือมหานักบวชแห่งเมืองจันทราผู้มีนามว่านีม… เมืองจันทราเคยเป็นของแวมไพร์มาก่อน แต่อารยธรรมดังกล่าวถูกทำลายไปเมื่อนานมาแล้ว… ในภายหลัง พวกเราได้รับพระบัญชาจากมหาเทพสุริยัน พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งให้มาที่นี่เพื่อคอยเฝ้ามองกลุ่มหมอกสีเทาและพยายามทดลองบางสิ่ง พวกเรายังคงทำหน้าที่ดังกล่าวเรื่อยมาแม้จะไม่ได้รับการตอบสนองจากพระองค์… ถึงตรงนี้ก็ผ่านมาแล้วทั้งสิ้นสามพันเจ็ดร้อยยี่สิบสองปี”
…………………………………………