ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1214 : เสียง
ได้ยินคำตอบจากมหานักบวชนีม ไคลน์ถือตะเกียงเดินไปทางขวาในแนวขนานกับม่านหมอกราวยี่สิบก้าว
จากนั้นก็หลับตาลงประหนึ่งสัมผัสถึงบางสิ่ง ฉากดังกล่าวทำให้ชาวเมืองจันทราไม่กล้าส่งเสียงดังด้วยเกรงว่าจะไปรบกวนผู้เผยแผ่ศาสนา
ผ่านไปห้าหกวินาที ไคลน์เหยียดแขนออกมาจับอากาศว่างเปล่า
แท่นบูชาหินถูกดึงออกมายังโลกแห่งความจริง ด้านบนมีเทียนไขสามเล่มที่ทำจากน้ำมัน รวมถึงวัตถุดิบวิญญาณอีกเจ็ดแปดชนิด
นีมตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นแม้จะเป็นถึงครึ่งเทพลำดับ 4
ก่อนหน้านี้ ในตอนที่เห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ใช้ไม้เท้ารักษาพวกพ้องของตน นีมเข้าใจว่านั่นคือการถ่ายทอดพลังของเดอะฟูลผ่านห้วงมิติ แต่สิ่งที่เกิดเมื่อครู่ทำให้มันต้องมองในมุมใหม่ทั้งหมด นั่นเพราะทั้งแท่นบูชา เขียนไข และวัตถุดิบวิญญาณล้วนเป็นสิ่งที่นีมคุ้มเคย
ทั้งหมดคือสิ่งที่มันเคยใช้งาน!
เขาสามารถสร้างสิ่งของที่เราเคยใช้งาน…? พลังในขอบเขตประวัติศาสตร์และกระแสเวลา? นีมนึกทบทวนเนื้อหาของพระคัมภีร์โบราณแห่งเมืองจันทรา เมื่อนำมาประกอบกับความรู้จากครึ่งเทพ มันสามารถคาดเดาบางสิ่งได้เบื้องต้น
ทันใดนั้นเอง ไคลน์หันกลับมาจ้องมหานักบวช
“เริ่มประกอบพิธีกรรมได้”
นีมสูดลมหายใจยาว จากนั้นก็เดินมาสร้างกำแพงวิญญาณรอบแท่นบูชาต่อหน้าสายตาอดาล ซิน รุส และคนที่เหลือ
หลังจากตรวจสอบสัญลักษณ์ อักขระ ลวดลายบนแท่นบูชาและยืนยันว่าไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ มันเริ่มดำเนินการตามขั้นตอนในความทรงจำอย่างชำนาญและคุ้นเคย
จากนั้นก็ก้มศีรษะลงและสวดวิงวอนเสียงต่ำ
“หมอกทึบนิรันดร์ที่ไม่แปรเปลี่ยน”
“บาเรียที่ถูกแช่แข็งท่ามกลางกระแสเวลาและห้วงมิติ”
“ตัวตนที่บรรจุทุกสรรพสิ่งไว้ภายใน…”
ไคลน์ตั้งใจฟังเสียงตั้งแต่คำสวดวิงวอนยังไม่จบ โดยหวังว่าจะได้ยินบางสิ่งจากส่วนลึกของกลุ่มหมอก
และเพื่อการนั้น ชายหนุ่มเปลี่ยนให้สัตว์ประหลาดในความมืดจำนวนมากกลายเป็นหุ่นเชิดและกระจายตัวออกไปตามแนวม่านหมอก ป้องกันมิให้รายละเอียดแม้เพียงเล็กน้อยตกหล่น
แต่สุดท้ายก็ไม่พบสิ่งใดเลยจนกระทั่งพิธีกรรมจบลง
หลังจากอดทนรอสักพัก ไคลน์หันไปมองมหานักบวชแห่งเมืองจันทรา นีม และสั่งเสียงเรียบ
“อีกครั้ง”
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตราชินี ภายในห้องอ่านหนังสือของตระกูลฮอลล์
ออเดรย์เปิดประตูหลังจากได้รับอนุญาต และพบว่าบิดาของตน เอิร์ลฮอลล์กำลังปรึกษาบางสิ่งอยู่กับพี่ชายคนโต ฮิบเบิร์ต
“ลูกรักของพ่อ… หน้าตาดูไม่สดชื่นเลยนะ” เอิร์ลฮอลล์ชำเลืองมาทางประตู
ออเดรย์ไม่แสร้งร่าเริง เพิ่มฝืนยิ้มเล็กๆ และพูด
“กองทุนช่วยเหลือผู้ยากไร้กำลังขาดแคลนอาหารอย่างหนัก… ลูกอยากจะรวบรวมเพิ่มเติม จึงตระเวนไปตามบ้านตระกูลขุนนางและได้รับคำตอบว่าตอนนี้ไม่มีอาหารเหลือแล้ว ต่อให้ยืนกรานว่าจะซื้อด้วยทองปอนด์ก็ไม่มีใครยอมขาย”
แต่ขณะที่ตอบปฏิเสธ ขุนนางเหล่านั้นส่วนใหญ่กำลังนั่งดื่มชาคุณภาพดีในห้องหรูหรา บางคนยังเชื้อเชิญให้ออเดรย์ช่วยทดสอบฝีมือพ่อครัวขนมหวานของตน
ไม่เพียงเท่านั้น คนรับใช้ซูบผอมรอบบ้านยังพยายามเดินให้เสียงเบาที่สุดเพื่อมิให้รบกวนแขกผู้มีเกียรติ
“สถานการณ์ในปัจจุบันก็แบบนี้…” เอิร์ลฮอลล์ถอนหายใจยาว
ออเดรย์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะพูดต่อ
“ท่านพ่อ ลูกจำได้ว่าบ้านเรายังมีอาหารเหลืออยู่พอสมควร ขอซื้อด้วยทองปอนด์ได้หรือไม่”
“ออเดรย์ น้องช่วยเหลือพวกเขามากเกินพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองไปกว่านี้” ฮิบเบิร์ตขมวดคิ้วพูด แต่ออเดรย์ยังคงสนใจเพียงบิดาโดยไม่แยแสคำของพี่ชาย
สีหน้าเอิร์ลฮอลล์ที่ผ่อนคลายลงหลังจากได้พบลูกสาว เปลี่ยนกลับไปเป็นเคร่งขรึมอีกครั้ง
“ออเดรย์ พื้นฐานสำคัญขององค์กรการกุศลคือการไม่เบียดเบียนครอบครัว นั่นคือหลักการที่พ่ออยากให้ลูกจำเอาไว้”
ออเดรย์ที่แต่งกายในเดรสยาวสีขาวขลิบทอง คล้ายปมคิ้วพลางกล่าวอย่างจริงใจ
“ท่านพ่อ อาหารที่เก็บไว้ในบ้านสามารถเลี้ยงทุกคนได้อีกหนึ่งปีหรือมากกว่านั้น ยิ่งในแคว้นเชสเตอร์ตะวันออกยิ่งแล้วใหญ่”
เป็นเพราะแคว้นเหมันต์ยังไม่แตกพ่ายโดยสมบูรณ์ กองทัพฟุซัคที่บุกเข้ามาทางแคว้นเลียบทะเลจึงยังโจมตีแคว้นเชสเตอร์ตะวันออกไม่ได้ ส่วนเรือรบของฟุซัค อินทิส และเฟเนพ็อตล้วนถูกตรึงไว้โดยกองเรือรบหุ้มเกราะอันเกรียงไกรของโลเอ็น เป็นการตั้งรับอย่างเต็มกลืนชนิดที่ทำได้เพียงปกป้องเรือเสบียง
เอิร์ลฮอลล์จ้องเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกตของบุตรสาวสักพัก จากนั้นก็ถอนหายใจยาว
“ออเดรย์ ลูกโตขึ้นมาก กลายเป็นเด็กที่มีความคิดและมีเจตจำนงแน่วแน่… แต่พวกเรายังไม่ทราบว่าสงครามจะดำเนินไปถึงเมื่อไร ไม่ทราบว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร จำเป็นต้องเผื่ออาหารไว้รับมือในกรณีฉุกเฉิน… พ่อสามารถกินอาหารให้น้อยลงสองจานในแต่ละมื้อเพื่อแบ่งไปช่วยเหลือคนยากไร้ แต่พ่อจะไม่ยอมให้ครอบครัวต้องกินอาหารแบบเดียวกับชนชั้นกลางที่ถูกอธิบายไว้ในหนังสือพิมพ์โดยเด็ดขาด นั่นจะทำให้ตระกูลของเราเสื่อมเสียเกียรติแห่งขุนนาง เป็นหลักการที่พวกเรายึดถือมาตลอดหลายชั่วอายุคน… เข้าใจสิ่งที่พ่อต้องการจะสื่อใช่ไหม? เมื่อครู่เป็นแค่การอุปมา แก่นแท้ของคำสอนก็คือ พ่อจะให้ความสำคัญกับอนาคตของตระกูลมากกว่าคนนอก จะยึดถือสถานะและจุดยืนของพวกเราเป็นที่ตั้ง น้ำใจจะถูกแบ่งปันก็ต่อเมื่อไม่ส่งผลกระทบกับครอบครัว”
“ออเดรย์ สิ่งที่พ่อพูดอาจฟังดูโหดร้าย แต่ในเมื่อลูกโตขึ้นมากแล้ว คงถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริง มนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว แต่ระดับความเข้มข้นจะแตกต่างกันไป สำหรับพ่อ ตระกูลฮอลล์มีความสำคัญมากกว่าตัวพ่อ แม่ของลูก ลูก ฮิบเบิร์ต และอัลเฟรด ความสำคัญถัดลงไปคือมิตรสหายและความศรัทธา ถัดลงไปอีกคือคนรู้จัก และสุดท้ายคือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในเบ็คลันด์… พ่อยินดีช่วยเหลือทุกคนอย่างเต็มที่ขอเพียงไม่กระทบกับสิ่งที่มีความสำคัญอยู่เหนือขึ้นมา… น่าเสียดายที่ในตอนนี้มีเรื่องให้ต้องขบคิดมากมาย”
เอิร์ลฮอลล์ส่ายหน้าตำหนิตัวเองเมื่อกล่าวถึงตรงนี้
“พ่อเสียใจที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า พ่อของลูกเป็นคนเห็นแก่ตัว”
ออเดรย์ฟังทุกคำอย่างตั้งใจ แม้สีหน้าจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยในตอนต้น แต่สุดท้ายกลับมาเป็นปรกติโดยปราศจากอารมณ์แต่งเติม
หญิงสาวเงียบไปสักพักก่อนจะย้อนถาม
“…แต่ในเมื่อพวกเรามีมากเกินจำเป็น… แบ่งปันบางส่วนให้ผู้อื่นบ้างไม่ได้หรือ”
ฮิบเบิร์ต·ฮอลล์พูดแทรกด้วยเสียงโกรธเคือง
“ทำไมเราถึงต้องแบ่งปันสิ่งที่ได้มาอย่างยากลำบากให้ผู้อื่น? อาหารทั้งหมดล้วนผลิตจากทุ่งนา สวน และป่าของตระกูลเราเอง บางส่วนซื้อมาด้วยเงินของตระกูล เป็นที่ดินและเงินทองซึ่งตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น บางส่วนก็เพิ่มพูนมาจากวิสัยทัศน์และความกล้าหาญของท่านพ่อ… พวกเราทำการกุศลด้วยใจรัก ไม่ใช่หน้าที่… น้องเข้าใจใช่ไหม?”
เอิร์ลฮอลล์พยักหน้า
“ฮิบเบิร์ตพูดถูกแล้ว พ่อเองก็คิดแบบเดียวกัน”
ออเดรย์เม้มริมฝีปากก่อนจะพยักหน้าเชื่องช้า
“เข้าใจแล้วค่ะ…”
เอิร์ลฮอลล์ถอนสายตากลับไปคุยกับฮิบเบิร์ต
“พวกเราต้องป้องกันอาหารที่กักตุนไว้ให้ดี หากผลลัพธ์ของสงครามไม่เป็นไปตามที่คาด ให้ลองติดต่อสหายจากอินทิสและแบ่งปันอาหารให้พวกเขาเพื่อแสดงความจริงใจ… สงครามยืดเยื้อนานเกินไป เป็นเรื่องปรกติที่จะมีคนเสียชีวิตระหว่างทาง ทุ่งนาและสวนจำนวนมากกลายเป็นดินแดนรกร้างจนราคาอาหารในเมืองสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาปศุสัตว์ อาหาร และที่ดินสูงขึ้น… นอกจากนั้นพ่อยังมีหุ้นในธนาคารซูซิตของอินทิส เมื่อรวมกับหุ้นจากธนาคารบาวาร์ตและธนาคารเบ็คลันด์ นั่นคงมากพอที่จะติดสินบนพวกเขา หึหึ… ต้องมีทรัพยากรพร้อมสรรพเช่นนี้เท่านั้นพวกเขาถึงจะยอมเกี่ยวดอง”
ตระกูลขุนนางของอินทิสและโลเอ็นมักมีการเกี่ยวดองจนเป็นเรื่องปรกติ ขุนนางจำนวนไม่น้อยล้วนเป็นเครือญาติกัน โดยเฉพาะเหล่าผู้ศรัทธาในจักรกลไอน้ำ
“ท่านพ่อเตรียมย้ายฝั่งแล้วหรือ” ฮิบเบิร์ตถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เอิร์ลฮอลล์ผงกศีรษะแผ่วเบาก่อนจะถอนหายใจยาว
“ในสถานการณ์เช่นนี้จะไม่คิดก็คงไม่ได้… เมื่อถึงตอนนั้น ลูกต้องเป็นเอิร์ลฮอลล์คนต่อไป”
ฮิบเบิร์ตใจหายเจือฉงน
“แล้วท่านล่ะ?”
เอิร์ลฮอลล์ยิ้มขื่นขม
“ทั้งพ่อและแม่ของเจ้าต่างเป็นผู้ศรัทธาที่เคร่งครัดและมีหน้ามีตาในโบสถ์ ถ้าโลเอ็นล่มสลายและโบสถ์รัตติกาลถูกทำลาย ชะตากรรมของตระกูลคงไม่ดีนักหากพ่อกับแม่ยังเป็นผู้นำ”
มันกล่าวปลอบประโลมบุตรชายคนโต
“ขอเพียงตระกูลฮอลล์ยังอยู่และมีสถานะเป็นขุนนาง ทรัพย์สินหลังก็คงหายไปไม่มากนัก อนาคตยังสามารถดำเนินไปได้ในสภาพค่อนข้างดี… อย่าลืมสร้างห้องสวดมนต์ลับให้พ่อกับแม่หลังจากลูกเปลี่ยนไปนับถือเทพจักรกลไอน้ำ”
ระหว่างบทสนทนาของคนทั้งสองดำเนินไป ออเดรย์ผู้แต่งกายในเดรสยาวสีขาวขลิบทองยังคงเฝ้ามองจากประตู ดวงตาสีเขียมมรกตของเธอเอาแต่จดจ้องโดยไม่ส่งเสียงใดออกมา
…
หลังจากทดลองอีกหลายครั้งจนกระทั่งแท่นบูชาเลือนหายไป มหานักบวชแห่งเมืองจันทรา นีม เรียบเรียงคำพูดและกล่าวกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ผู้กำลังยืนถือตะเกียง
“ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่สำเร็จ ไว้เราค่อยมาทดลองกันใหม่ในวันพรุ่งนี้ ผมคิดว่าอย่างมากคงไม่เกินสองเดือนก็น่าจะเห็นผล”
ในเวลาเดียวกัน ไคลน์กำลังขบคิดเกี่ยวกับคำถามใหม่
หรือว่าพิธีกรรมจะไม่สำเร็จเพราะเราใช้แท่นบูชาและวัสดุเป็นภาพฉายทางประวัติศาสตร์ ส่งผลให้ดูขาดความจริงใจ?
มันไตร่ตรองสักพักก่อนจะตัดสินใจทำตามคำแนะนำของมหานักบวช ไว้ทดสอบกันใหม่ในวันพรุ่งนี้ด้วยวัสดุของจริง
แต่ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มได้ยิน ‘เสียง’ ขณะเตรียมพยักหน้ารับ
เสียงดังมาจากส่วนลึกของม่านหมอกอย่างแผ่วเบาและคลุมเครือ
ได้ผล? พิธีกรรมมีการตอบสนอง เพียงแต่มาช้าไปมาก… ไคลน์พลันตื่นเต้น มันรีบยกมือขวาขึ้นและกดลงเล็กน้อยเพื่อส่งสัญญาณบอกให้ผู้วิเศษของเมืองจันทรางดใช้เสียง
จากนั้นก็กลั้นหายใจและเงี่ยหูฟัง
เสียงที่ดังกังวานท่ามกลางม่านหมอกฟังดูคล้ายกับมาจากต่างแหล่งกำเนิด ทั้งหมดสอดประสานซ้อนทับกันอย่างต่อเนื่อง แต่บ้างก็รบกวนกันเองจนกลายเป็นเสียงคลุมเครือ และบ้างก็สั่นพ้องร่วมกันจนดังกังวาน
ไคลน์เริ่มได้ยินชัดเจนขึ้นมาก โดยเฉพาะคลื่นเสียงที่สั่นพ้อง
ฟังดูคล้ายกับภาษาที่มันคุ้นเคย ประหนึ่งผู้คนมากมายกำลังตะโกนนามหนึ่งโดยพร้อมเพรียง
นามนั้นก็คือ:
“ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”
…………………………………………..