ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1253 : ลาก่อน
กว่าสององครักษ์ของวังราชาคนยักษ์จะตอบสนอง ไคลน์ก็ลอยมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายแล้ว
พวกมันหันหน้าจ้องไคลน์พร้อมกับกะพริบแสงสีส้มหลังกะบังหมวกสองครั้งราวกับพยายามระบุตัวตนของผู้มาเยือน จากนั้นก็เผยท่าทีคล้ายสับสนอยู่ครู่หนึ่ง
ครึ่งหนึ่งของใบหน้าไคลน์ยังเป็นปรกติ แต่อีกครึ่งน่าสะพรึงสุดขีด มุมปากขวาฉีกกว้าง มุมปากซ้ายที่มีหนอนสีใสชอนไชเผยรอยยิ้มเย็นชา
กึก!
เมื่อเท้าขวาก้าวผ่านบันไดขั้นสุดท้าย ชายหนุ่มร่อนลงบนพื้นยกสูงซึ่งเป็นรากฐานของวังราชาคนยักษ์
ทันใดนั้นเอง หน้าผากไคลน์ผุดรอยแยกสีเงินสว่าง ลำแสงสีเงินจำนวนมากพวยพุ่งออกจากลำตัว
ร่างกายชายหนุ่มระเบิดเป็นเศษเนื้อเลือดเนื้ออย่างน่าสยดสยอง
เศษเนื้อที่กระจัดกระจายเต็มอากาศค่อยๆ กลายเป็นแผ่นกระดาษแบนราบ
ไคลน์ที่แต่งกายด้วยหมวกทรงกึ่งสูงและเสื้อกันลมสีดำหายตัวไปโผล่ในจุดแล้วจุดเล่า แต่ทุกครั้งก็ถูกลำแสงสีเงินระเบิดเป็นเศษเนื้อเสมอ บางร่างกลายเป็นภาพลวงตา บางร่างกลายเป็นเศษกระดาษ
ทันใดนั้นเอง ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหน้าประตูทางเข้าหลักของวังราชาคนยักษ์ในจุดที่สององครักษ์ ‘หายตัวไป’
ตุ๊กตาผ้าร่างยักษ์ที่แต่งกายด้วยเดรสโกธิกสีเข้มซับซ้อนและรายล้อมด้วยเถาวัลย์ชั่วร้าย
ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์!
ย้อนกลับไปในตอนที่ไคลน์ลอยข้ามขั้นบันได เป้าหมายการอัญเชิญไม่ใช่ใครนอกจากมิสผู้ส่งสาร แต่เนื่องจากเธอถูกดึงออกมาในร่างวิญญาณอาฆาต โคลิน โลเฟียร์ และเดอร์ริคจึงมองไม่เห็น
ถึงตรงนี้ สององครักษ์ที่ไล่ล่าไคลน์ตามสัญชาตญาณโดยอาศัยแสงสว่างช่วยในการ ‘ลบจิตสังหาร’ และ ‘ลบตัวตน’ ถูกไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์พบตำแหน่งหลังจากจับตามองมาสักพัก
พื้นที่ซึ่งดูเหมือนจะว่างเปล่าสะท้อนบนกระจกตาสีแดงของไรเน็ตต์
เกิดแสงสว่างวาบหนึ่งครั้ง กระต่ายสีขาวตัวหนึ่งกระโดดออกจากความว่างเปล่าและวนเป็นวงกลมด้วยดวงตาไร้ชีวิตชีวา
ทันทีหลังจากนั้น มิสผู้ส่งสารก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกับเลือนหายไป
ในตำแหน่งอื่น อัศวินสีเงินที่เหลืออีกหนึ่งตนเผยตัวจากความว่างเปล่า พฤติกรรมของมันทั้งเฉื่อยชาและแข็งทื่อ
มันถูกวิญญาณอาฆาตสิงร่าง!
ไคลน์ที่ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อหยุดการ ‘บลิ้ง’ ทันที ตามด้วยนำมือทาบอกและโค้งศีรษะคำนับ:
“เจอตัวครบแล้ว… ลาก่อน”
ชายหนุ่มเหยียดตัวยืนตรง มือขวายกขึ้นมาดีดนิ้ว
บึ้ม!
กระต่ายขนขาวระเบิดตัวเองทันที เลือดเนื้อกระจัดกระจายเต็มพื้น
จากนั้น ไคลน์ย่างกรายไปทางอัศวินสีเงินที่พยายามดิ้นรนแต่ทำไม่สำเร็จ
เมื่อร่างทั้งสองเดินสวนกัน ภาพฉายของไรเน็ตต์ถูกส่งกลับสู่สายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ ส่วนอัศวินสีเงินทำเพียงเดินตามไคลน์อย่างว่าง่ายไปยังขอบบันไดหินสีเทาหน้าประตูทางเข้าวัง
มันกลายเป็นหุ่นเชิดของไคลน์โดยสมบูรณ์
“เข้ามาได้” ไคลน์ยิ้มให้โคลินและคนที่เหลือซึ่งกำลังยืนรอที่ขั้นบันไดหินชั้นล่างสุด
ดวงตาเดอร์ริคพลันส่องประกายพร้อมกับสรรเสริญภายในใจ:
มิสเตอร์เวิร์ลแข็งแกร่งมาก! สามารถจัดการอัศวินสีเงินสองตนในพริบตาตามลำพัง!
โคลินชำเลืองไปทางโลเฟียร์ด้านข้างและสัมผัสถึงความกดดันของอีกฝ่าย
เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า เพียงถือดาบเคลือบแสงรุ่งอรุณสองเล่มเดินขึ้นไปตามขั้นบันไดอย่างใจเย็น จนกระทั่งมาถึงด้านบนสุดจึงกระซิบถาม:
“มนุษย์กลายพันธุ์?”
ไคลน์ใช้มือกดหนอนวิญญาณบริเวณดวงตาซ้ายและเอาแต่ยิ้มโดยไม่ตอบ
เมื่อเดอร์ริคและโลเฟียร์เดินตามมาถึง สี่ครึ่งเทพและหนึ่งหุ่นเชิดหันหลังเดินเข้าไปในทางเข้าหลักของวังราชาคนยักษ์
ระหว่างทาง ไคลน์ก้มเก็บตะกอนพลังอัศวินสีเงินที่สกัดออกจากกระต่ายขนขาว
นี่คือส่วนแบ่งของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์
ตามข้อตกลงระหว่างมันและเทวทูตสาว สมบัติที่ได้รับจากการอัญเชิญภาพฉายทางประวัติศาสตร์ของ ‘มารบรรพกาล’ จะถูกหารครึ่ง
ในศึกเมื่อครู่ ไรเน็ตต์ได้รับตะกอนพลัง ส่วนไคลน์ได้รับหุ่นเชิด
ชายหนุ่มจ้องบานประตูหลักก่อนจะบังคับให้อัศวินสีเงินที่สูงกว่ามันหลายเท่า เดินไปข้างหน้าเล็กน้อยและปักดาบลงบนพื้น
จากนั้น อัศวินสีเงินย่อตัวลงพร้อมกับเหยียดแขนออกไปผลักบานประตูที่สูงกว่าสิบเมตร
ท่ามกลางเสียงเสียดสี ประตูยักษ์ที่ตอกด้วยหมุดทองบรรจงเปิดออกอย่างเชื่องช้า
ทันใดนั้น ดวงอาทิตย์ที่ลอยสูงพลันเปลี่ยนตำแหน่ง วังราชาคนยักษ์ทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยแสงสนธยาสีส้มที่ถูกแช่แข็ง
บานประตูเปิดออกด้วยความเร่ง จนกระทั่งฉากด้านในถูกเผยให้เห็นต่อหน้าไคลน์และพรรคพวก
ท่ามกลางแสงสีส้มอมแดง ขั้นบันไดจำนวนมากทอดยาวจากด้านหลังประตูไปยังตำหนักที่สูงและสง่างามที่สุดภายในวังราชาคนยักษ์ ระหว่างทางปราศจากสิ่งกีดขวาง สองฝั่งเต็มไปด้วยตำหนักและหอคอยเรียงรายหนาแน่น
รูปปั้นคนยักษ์หุ้มเกราะเหล็กและถือง้าวใหญ่จำนวนมากกำลังยืนเด่นสง่าหน้าอาคารน้อยใหญ่ คอยคุ้มกันเส้นทางที่นำไปสู่ถิ่นพำนักแห่งเทพ
“ถึงเวลาพวกคุณแสดงฝีมือแล้ว” ไคลน์หันไปทางโคลินและโลเฟียร์พร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง
อดีตนักล่าปีศาจโคลินพยักหน้ารับโดยไม่คัดค้าน ด้านหลังโลเฟียร์ปรากฏร่างหุ้มเกราะสีเงินตาแดงสูงหลายเมตร
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
รูปปั้นองครักษ์คนยักษ์บนสองฝั่งบันไดอาณาจักรแห่งเทพ ทยอยระเบิดลำแสงสีเงินออกจากร่างพร้อมกับเกิดเสียงแตกหัก
‘ดอกไม้สีเงินสว่าง’ ผุดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นทางยาวตลอดสองฝั่งบันไดราวกับคอยต้อนรับผู้มาเยือน
เพียงไม่นาน อัศวินสีเงินทั้งสามซึ่งประกอบด้วยโคลิน·อีเลียด ดวงวิญญาณที่โลเฟียร์ต้อนแกะ และหุ่นเชิดของไคลน์ ตระเวนกวาดล้างรูปปั้นบนสองฝั่งบันไดยาวจนเกือบหมด เหลือไว้เพียงบริเวณที่ใกล้กับตำหนักราชาคนยักษ์มากที่สุดโดยไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ
ทันใดนั้นเอง ร่างปริศนาสองร่างบินออกจากตำหนักราชาคนยักษ์ลงมายังตำแหน่งที่สามอัศวินสีเงินยืนอยู่
หนึ่งในนั้นมีใบหน้าปกคลุมด้วยเงา ผมยาวประบ่าหยักศกเล็กน้อย บนแผ่นหลังมีปีกสีดำมายา ส่วนอีกร่างเป็นเงาบริสุทธิ์ที่บิดเบี้ยวเป็นระยะ
พวกมันคือเอ็นยูนและเงาที่แต่เดิมเคยเป็นของไคลน์ แต่ภายหลังเกิดกลายพันธุ์โดยอิทธิพลลึกลับของเทวทูตมืด
…
ในสนามรบที่เต็มไปด้วยหมอกหนา ชั้นเกล็ดมังกรสีเทาสว่างผุดขึ้นบนร่างกายออเดรย์กะทันหัน เป็นผลมาจากการได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควร
แม้จะมีหมอกหนาช่วยบดบังทัศนวิสัย แต่เทวทูตระดับสูงก็ยังสามารถกัดกร่อนสิ่งมีชีวิตระดับต่ำกว่าที่พยายามจ้องมอง!
ออเดรย์ที่เป็นครึ่งเทพเส้นทางผู้ชมรีบถอนสายตากลับและสงบจิตใจเพื่อมิให้คลุ้มคลั่ง
ท่ามกลางกระแสความคิด หญิงสาวตัดสินใจถอยหลังกลับและ ‘ล่องหนทางใจ’ เพื่อซ่อนตัวในหมอกหนา ไม่รีบร้อนแทรกซึมเข้าไปในแนวรบของกองทัพผสมอินทิสฟุซัคตามแผนเดิม
เธอกำลังรอโอกาส โอกาสที่เชื่อว่าจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งออเดรย์เชื่อว่าสถานการณ์เริ่มสงบลง แต่ไม่กี่อึดใจถัดมา หญิงสาวพบว่าหมอกหนาบริเวณแนวรบของฝ่ายศัตรูเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ ประหนึ่งดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าและค่ำคืนอันมืดมิดกลับมาปกคลุมโลกอีกครั้ง
ทหารและนายทหารของอินทิสกับฟุซัคทยอยผล็อยหลับไปทีละคนอย่างเงียบงัน รวมถึงผู้วิเศษอีกจำนวนมาก
ออเดรย์ที่ซ่อนอยู่ไม่ไกลเองก็ผล็อยหลับ แต่เนื่องจาก ‘นักท่องฝัน’ รายนี้ฝังการชี้นำตัวเองไว้ล่วงหน้า เธอจึงยังมีสติภายในความฝัน
จากนั้น หญิงสาวฉกฉวยโอกาสที่ไม่รู้ว่าจะคงอยู่ไปอีกนานแค่ไหน รีบใช้พลัง ‘ท่องฝัน’ บุกเข้าไปในแนวรบของกองทัพผสมอินทิสฟุซัค เธอเดินเตร็ดเตร่ท่ามกลางกลุ่มทหารและแอบทิ้ง ‘โรคระบาดทางจิต’ ด้วยความเงียบงัน
โรคระบาดดังกล่าวจะทำให้ผู้ติดเชื้อเกิดอาการตื่นตระหนัก ฉุนเฉียว และสติแตกเมื่อถูกกระตุ้น และไม่มีทางรักษาได้ด้วยวิธีการปรกติ
หวูด—!
เสียงแตรเขาสัตว์ดังทะลวงผ่านความเป็นจริงและความฝัน บดขยี้โลกอันพร่ามัวและปลุกให้ทหารทุกนายลืมตาตื่น
ออเดรย์ไม่มัวรีรอ ก่อนที่ความฝันจะแตกสลายโดยสมบูรณ์ หญิงสาวรีบท่องฝันไปยังอีกฝั่งของแนวรบที่ห่างไกลจากกลุ่มซึ่งถูกฝังเมล็ดพันธุ์โรคระบาดทางจิต
วินาทีถัดมา โลกความฝันแตกสลายโดยสมบูรณ์และดีดให้ออเดรย์กลับสู่โลกความจริงใกล้กับชายขอบแนวรบกองกำลังร่วม
บึ้ม!
แสงสีเงินสว่างวาบ เกิดระเบิดด้านข้างออเดรย์พร้อมกับแหวกหมอกหนาสีเทาออกจากกัน
หญิงสาวมิได้ตื่นตระหนกเนื่องจากเตรียมใจรับการโจมตีไว้แต่แรกแล้ว
เมื่อต้องแทรกซึมเข้ามาในแนวรบของกองทัพผสมอินทิสฟุซัค ออเดรย์เชื่อว่าตัวตนระดับสูงของฝ่ายศัตรูคงสังเกตเห็น ‘ล่องหนทางใจ’ ของเธอได้จากเบาะแสอื่นๆ จำพวก ‘จิตสังหาร’ ที่เธอปกปิดได้ไม่มิดชิด
ดังนั้น นอกเหนือจากพลังล่องหนทางใจ หญิงสาวยังอาศัยเทคนิคที่คล้ายคลึงกันและพลัง ‘ยุ่งเหยิง’ จากหัตถ์แห่งความกลัวในการสร้างตัวตนปลอมใกล้กับร่างจริงเพื่อเบี่ยงเบนให้อีกฝ่ายโจมตีพลาดเป้า
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ออเดรย์กางภาพลวงตาซ้อนทับกับการล่องหนทางใจ
และผลลัพธ์ได้พิสูจน์แล้วว่าออเดรย์เข้าใจจิตวิทยาของศัตรูอย่างถ่องแท้ ตัวตนปลอมของเธอถูกโจมตีในจังหวะที่คาดไม่ถึง
ฉวยโอกาสดังกล่าว หญิงสาวรีบถอนตัวเข้าไปในส่วนลึกของหมอกหนา
จากนั้น มังกรสีเทาที่ยังอยู่ในร่างมนุษย์ปรากฏกาย บนเกล็ดมังกรมีอักขระสามมิติประทับอยู่ อักขระเหล่านั้นทั้งจมเข้าไปด้านในและนูนออกมาด้านนอกประหนึ่งกำลังผสานเข้ากับสิ่งที่อธิบายไม่ได้ ภาพที่ดูไม่จริงตรงหน้าสามารถทำให้ผู้พบเห็นกลายเป็นบ้าและจิตบิดเบี้ยวในพริบตา
ขณะเดียวกัน ร่างหนึ่งที่แต่งกายในชุดแม่ทัพฟุซัคปรากฏตัวในจุดที่ออเดรย์กำลังยืน บริเวณใบหน้า ลำคอ และฝ่ามือของมันถูกปกคลุมด้วยเกราะสีเงินที่แผ่บรรยากาศเย็นเยียบ
…
เอ็นยูนและเงาของไคลน์ร่อนลงบนลานกว้างที่ปกคลุมด้วยแสงสีส้ม ส่งผลให้สามอัศวินสีเงินต่างรีบถอยกลับมายืนข้างเดอร์ริคและไคลน์
ไคลน์ยกมือขึ้นปิดใบหน้าฝั่งซ้ายพลางยิ้มให้เงาดำและเอ็นยูน:
“พวกแกออกจากเขตของตัวเองไม่ได้สินะ”
จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับกางฝ่ามือในท่ายียวน:
“ช่างน่าเสียดาย… แล้วแบบนี้จะโจมตีฉันยังไงดีล่ะ?”
ปัง!
‘เงา’ อ้าปากและยิงปืนใหญ่อัดอากาศ
…………………………………………….