ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1262 : ตัวจริงของศัตรู
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1262 : ตัวจริงของศัตรู
เมื่อตระหนักว่าเทวทูตมืดลืมตาตื่น ไคลน์พลันตึงเครียดและเต็มไปด้วยความหวาดระแวง แต่นั่นไม่ใช่ความกลัวหรือประหม่า เพราะชายหนุ่มยืนยันได้ว่าเทวทูตมืดตัวจริงกลับไปยังร่างต้นของเทพสุริยันเรียบร้อยแล้ว และหลังจากถูกวายุสลาตัน สุริยันเจิดจรัส และปัญญาความรู้หักหลัง พระองค์ได้สกัดอารมณ์สุดท้ายที่รุนแรงที่สุดออกมาผสานกับศพและเกิดใหม่กลายเป็นพระผู้สร้างแท้จริง ในเมื่อพระองค์ตัวจริงไม่ได้กลับมายังร่างบนบัลลังก์ สิ่งที่เหลืออยู่น่าจะมีเพียงจิตและเจตจำนงบางอย่าง
นอกจากนั้น ไคลน์เพิ่งพูดคุยกับจิตที่หลงเหลือของเทวทูตมืดอย่างเป็นกันเองโดยมิอาจสัมผัสถึงความมุ่งร้าย
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เห็นอาวุโสโลเฟียร์แห่งเมืองเงินพิสุทธิ์เกิดคลุ้มคลั่งโดยมิอาจต่อต้านทันทีที่ซาสเรียลืมตาตื่น กลายร่างเป็นม่านเงาดำที่มีดวงตาว่างเปล่า ไคลน์อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากด้วยอาการตัวเกร็ง ความกลัวและสิ้นหวังอันท่วมท้นเอ่อล้นภายในใจ ราวกับกำลังเฝ้ามองตัวเองหล่นลงไปในหุบเหวโดยที่ไม่มีฟางช่วยชีวิต
ลำพังการ ‘ลืมตา’ โดยที่ไม่ได้ใช้พลังพิเศษหรือเผยร่างสัตว์ในตำนานก็มากพอจะทำให้ผู้วิเศษลำดับ 4 ของเส้นทางเดียวกันเกิดคลุ้มคลั่งคาที่ เพียงเรื่องนี้เพียงเดียวก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอีกฝ่ายมีระดับตัวตนสูงเพียงใด!
สิ่งเดียวที่กำลังอยู่ในหัวไคลน์ตอนนี้มีเพียงสมญานามมากมายของอีกฝ่ายที่ตนเคยท่องจำ:
หัตถ์ซ้ายแห่งเทพ รองประมุขสวรรค์ ราชาเหนือราชาเทวทูต!
ใช่ว่าไคลน์จะไม่เคยเผชิญหน้าราชาเทวทูตมาก่อน ออกจะตรงกันข้าม มันเคยทำให้เมดีซีหวาดผวาและเคยเจรจาทำข้อตกลงกับอาดัม กุญแจที่ใช้เข้าสู่ตำหนักแห่งนี้ก็มาจากเทวทูตปัญญาเฮราเบอร์เก้น และเคยได้รับสูตรโอสถเส้นทางสุริยันจากเทวทูตสีขาวโอซาคุส เคยทำลาย ‘วังวนชะตากรรม’ ของโอโรเลอุสต่อหน้าเจ้าตัว และเคยเค้นสมองดิ้นรนเอาตัวรอดจากเทวทูตกาลเวลาอามุนด์ ไคลน์สมควรที่จะได้รับฉายา ‘มนุษย์ที่พานพบราชาเทวทูตมากที่สุดในโลก’
แต่จากบรรดาการพานพบทั้งหมด แทบไม่มีครั้งใดเลยที่เป็นการต่อสู้ ส่วนใหญ่เป็นการใช้ปราสาทต้นกำเนิดหลบหนีหรือไม่ก็ตัดการเชื่อมต่อกับอีกฝ่ายในพริบตา ไม่เคยต่อสู้กับราชาเทวทูตในเชิงความหมายที่แท้จริง อาจมีข้อยกเว้นเดียวที่พอจะนับได้คือการปะทะกับอามุนด์ประปรายในรอบหลายวันครั้ง
แต่การปะทะกับอามุนด์เกือบทั้งหมดเป็นการชิงไหวชิงพริบ ไม่ใช่ประจัญบานในเชิงกายภาพ และอามุนด์ผู้ชอบเล่นสนุกกับเหยื่อก็มักจะแสดงคุณสมบัติด้านการกลั่นแกล้งเป็นส่วนใหญ่ แทบไม่เคยปลดปล่อยพลังต่อสู้ที่แท้จริงต่อหน้าไคลน์ อาจมีอยู่หนึ่งครั้งที่อามุนด์เอาจริงที่สุด แต่นั่นก็ถูกขัดขวางไว้โดยเทพธิดารัตติกาลที่ชักใยบุตรชายราชาคนยักษ์ ช่วยป้องกันมิให้อามุนด์ทำร้ายไคลน์ได้โดยตรง
โดยหลังจากนั้น เมื่อไคลน์บังเอิญปะทะกับอามุนด์ระหว่างทางในดินแดนเทพทอดทิ้ง อามุนด์จะปิดบัญชีตัวช่วยที่แข็งแกร่งที่สุดที่ไคลน์เชิญได้ในง่ายดายเสมอ – สิ่งนี้คือปัญหาที่ไคลน์คิดไม่ตกมานาน อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเทวทูตที่มันรู้จักมากเกินไป และการอัญเชิญซาราธก็อาจส่งผลร้ายกับตัวไคลน์มากกว่าผลดี
ปัจจุบันโคลิน·อีเลียด ไคลน์ และเดอร์ริค กำลังเผชิญหน้ากับราชาเทวทูตรองประชุมสวรรค์ผู้เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย – หัตถ์ซ้ายแห่งเทพผู้สามารถทำให้ครึ่งเทพลำดับ 4 คลุ้มคลั่งคาที่ได้ด้วยการลืมตา
การต้องสู้กับศัตรูในระดับนี้ ผู้เป็นเจ้าของสมญานามมากมายเช่นนี้ แล้วจะให้ไม่สิ้นหวังได้อย่างไร?
ความคิดแรกในหัวไคลน์ก็คือ มันจะทิ้งเดอร์ริคและเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ไว้ที่นี่และหนีด้วย ‘ระบบส่งกลับด่วน’ ของปราสาทต้นกำเนิด จากนั้นก็อาศัยกระสุนหลอกลวงและปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้ายเพื่อคืนชีพด้านนอกดินแดนเทพทอดทิ้ง
ท่ามกลางกระแสความคิด ชายหนุ่มยกไม้เท้าดวงดาวในมือขึ้น
ทันใดนั้น กระแสเงาดำที่เกิดจากการคลุ้มคลั่งของโลเฟียร์พลันหยุดนิ่ง ตามด้วยการส่งเสียงแฝงความเจ็บปวดแต่มิได้เสียสติ:
“เขาไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น!”
ขณะกล่าว ม่านเงาแยกออกจากกันและเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน:
ก้อนเลือดเนื้อดีดดิ้นที่สูงกว่าสองเมตร
ด้านบนสุดของก้อนเนื้อเป็นดวงตาสีเทาที่ดูราวกับกำลังก้มมองโลกอย่างเย็นชา แต่ดวงตาดังกล่าวยังหลงเหลือสติสัมปชัญญะอย่างชัดเจน
ส่วนที่เหลือของก้อนเลือดเนื้อประกอบด้วย แขน ต้นขา และน่องซึ่งมิได้หุ้มด้วยหนัง หากแต่เป็นเลือดข้น บางส่วนช่วยค้ำร่างกาย บางส่วนช่วยถือกะโหลกศีรษะมนุษย์สีขาว และบางส่วนหดเข้าไปรวมกับ ‘หน้าอก’
ม่านเงาร่วงลงมาอีกครั้งและปกคลุมก้อนเนื้อในลักษณะคล้ายผ้าคลุม
จากนั้น ร่างหนึ่งซึ่งสูงราวหกเมตรปรากฏขึ้นเบื้องหน้าโลเฟียร์
นี่คือวิญญาณมารอัศวินสีเงินที่เธอต้อน
แม้จะอยู่ในสภาพนี้ แต่หญิงสาวก็ยังควบคุมสติได้และสามารถโจมตีใส่เทวทูตมืดซาสเรียได้ด้วย
เมื่อเห็นฉากตรงหน้า และเมื่อนำไปผนวกกับคำพูดของโลเฟียร์เมื่อครู่ ไคลน์กับโคลินเข้าใจความหมายได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้เธออธิบาย
เทวทูตมืดซาสเรียมิได้แข็งแกร่งเทียบเท่าตัวตนเดิมของมัน ร่างปัจจุบันสามารถใช้ได้เพียงอำนาจในขอบเขตความเสื่อมทราม นอกจากนั้นยังสามารถสร้างอิทธิพลข่มขวัญผู้วิเศษลำดับต่ำกว่าของเส้นทางเดียวกันเพื่อเปลี่ยนให้ร่างกายโลเฟียร์เสื่อมทราม ทรยศ และคลุ้มคลั่งคาที่ แต่ดวงวิญญาณของหญิงสาวยังเป็นปรกติ สติยังคงกระจ่างชัดและใช้พลังของตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
แต่แน่นอน เนื่องจากร่างเนื้อกลายพันธุ์โดยสมบูรณ์ การกัดกร่อนที่รุนแรงย่อมส่งผลไปถึงดวงวิญญาณ ใช้เวลาเพียงนานโลเฟียร์ก็จะเสียสติโดยสมบูรณ์ แต่ก็ยังพอมีทางรักษาหากรีบปิดบัญชีศัตรูและหาทางทำให้เธอกลายเป็นวิญญาณมาร จากนั้นค่อยหาโอกาสคืนชีพ
เมื่อนำข้อมูลข้างต้นไปเชื่อมโยงกับการได้เห็นศิลาเย้ยเทพแผ่นแรก ไคลน์พอจะเห็นเค้าลางของร่างจริงศัตรู:
สิ่งนี้เกิดจากการหลอมรวมระหว่างจิต เจตจำนง และออร่าที่ตกค้างของเทวทูตมืด จากนั้นก็ผสานเข้ากับพลังของทะเลแห่งความโกลาหลซึ่งมีสื่อกลางเป็นศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่งบนบัลลังก์ หรือบางทีอาจรวมถึงเศษเสี้ยวจิตใต้สำนึกของพระผู้สร้างต้นกำเนิดที่ลืมตาตื่นขึ้น หากมีสิ่งนั้นเจือปนเพียงเล็กน้อยก็มากพอจะทำให้บุคคลตรงหน้าเต็มไปด้วยความชั่วช้า!
เทียบได้กับวิญญาณมารประเภทหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่าแข็งแกร่งถึงระดับเทวทูตหรือไม่
และนี่คงเป็นเหตุผลสำคัญที่ตัวตนระดับสูงอย่างพระผู้สร้างแท้จริง เทพปัญญาความรู้ และพี่ชายอามุนด์มิได้ลงมือสำรวจตำหนักราชาคนยักษ์ด้วยตัวเอง เพราะต้องไม่ลืมว่าธรรมชาติของทะเลแห่งความโกลาหลก็คือ: ยิ่งอันตรายเมื่อยิ่งมีลำดับสูง!
ย้อนกลับไปในตอนที่ ‘ข้อผิดพลาด’ อามุนด์วางกับดักไคลน์ที่เชอร์โนบิล โดยในความเป็นจริง ราชาเทวทูตรายนี้ไม่มีความกล้าพอที่จะสำรวจทะเลแห่งความโกลาหลด้วยร่างโคลน ทำเพียงซ่อนตัวอยู่ใกล้กับหน้าผาและรอให้ไคลน์ไปถึง
ไม่อย่างนั้น ทะเลแห่งความโกลาหลอาจกัดกร่อนร่างโคลนจนลามไปถึงเจ้าตัว
และสำหรับผู้วิเศษลำดับต่ำ พวกมันย่อมไม่มีปัญญาจะฝ่าด่าน ‘คลื่นทะเล’ ที่เกิดขึ้นขณะเปิดประตูตำหนักราชาคนยักษ์ เพราะนั่นเป็นถึงออร่าการกัดกร่อนที่สั่งสมมานานกว่าสองพันปี!
หรือต่อให้บรรดาตัวตนระดับสูงคัดเลือกหัวกะทิครึ่งเทพลำดับ 3 มาทำงานแทนและคอยช่วยเหลือทางอ้อมจนกระทั่งเปิดประตูตำหนักบรรทมสำเร็จ แต่ผู้วิเศษเหล่านั้นก็คงมิอาจเข้าใกล้ตัวตนที่ซาสเรีย ‘เหลือทิ้งไว้’ ได้เพราะไม่มี ‘แก่นต้นกำเนิด’ เหมือนกับไคลน์ หรือกล่าวได้ว่า ถ้าไม่ใช่ไคลน์ก็ไม่มีใครสามารถตรวจสอบสถานการณ์ของซาสเรียและช่วงชิงศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่งกลับไปได้
ดังนั้นพระผู้สร้างแท้จริงจึงยอมอดทนต่อ ‘วีรกรรม’ ของไคลน์มาตลอด จนกระทั่งสบโอกาสกัดเซาะเพื่อบีบบังคับให้ชายหนุ่มเปิดประตูตำหนักและเผชิญหน้ากับเทวทูตมืดซาสเรีย ดูเหมือนว่าในโลกนี้ นอกจากไคลน์ก็ไม่น่าจะมีใครทำได้อีกแล้ว
อาศัยหลักการเดียวกัน บรรดาทวยเทพอย่างเทพปัญญาความรู้เฮราเบอร์เก้น เทวทูตจินตภาพอาดัม และเทพตนอื่นที่สนใจในประเด็นดังกล่าวต่างทำการ ‘สร้างอิทธิพล’ กับชะตากรรมของไคลน์ไม่มากก็น้อย หลายคนมอบพรอันยิ่งใหญ่เพื่อผลักดันให้ชายหนุ่มมาถึงที่นี่
โดยไม่มัวรีรอ ไคลน์ยกไม้เท้าดวงดาวขึ้นพร้อมกับเริ่มจินตนาการ ส่วนทางด้านโคลิน·อีเลียดทำการก้าวออกไปข้างหน้าและโค้งหลังลง
ร่างของเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์เริ่มพองตัว เป็นอีกครั้งที่มันเผยร่างสัตว์ในตำนานเพื่อทำศึกเต็มรูปแบบ โคลินเปลี่ยนเป็นคนยักษ์สูงหกเมตรที่แต่งกายด้วยชุดเกราะสีเงิน สองมือถือดาบรุ่งอรุณเล่มใหญ่สองเล่ม
เดอร์ริคตอบสนองได้ช้ากว่าสองครึ่งเทพที่ช่ำชองการทำศึก เด็กหนุ่มรีบกางแขนออกกว้างคล้ายกับพยายามโอบกอดความว่างเปล่าตรงหน้า
ทันใดนั้น เปลวเพลิงสีดำสองดวงพลันลุกโชนภายในดวงตาของเทวทูตมืดที่ตื่นขึ้น
ซาสเรียเจ้าของส่วนสูงทัดเทียมคนยักษ์ทำลายที่พักแขนไปหนึ่งข้างด้วยเพียงการลดมือลง จากนั้นมันบรรจงลุกขึ้นยืน เครื่องประดับจำนวนมากบนชุดเริ่มสั่นไหว ปีกสีดำมายาบนแผ่นหลังทยอยสยายออกจนถึงขีดสุด
ระหว่างนั้น ผ้าคลุมเงาที่สวมโดยก้อนเนื้อสูงสองเมตรอย่างโลเฟียร์ กลับมามีชีวิตชีวาและทำการสนับสนุนโดยไม่ขยับตำแหน่ง
ถัดมา ซาสเรียที่ห่อหุ้มตัวเองด้วยด้ายสีเงิน ทำการเสกสายฟ้าจำนวนมากออกจากอากาศว่างเปล่าด้านหน้าเสื้อคลุมสีดำ สายฟ้าดังกล่าวถักทอเข้าด้วยกันและแผ่ออร่าคุกคามออกมาอย่างท่วมท้น จากนั้นก็เคลื่อนที่มาข้างหน้าและเปลี่ยนเป็นมหาสมุทรสายฟ้าที่กลืนกินทั่วทั้งตำหนักเงา
ก๊อง!
ระฆังมายาส่งเสียงใสกังวานประหนึ่งดังมาจากอดีตกาลอันยาวนาน
นาฬิกาหินโบราณโผล่ขึ้นด้านหน้าไคลน์ทันที หน้าปัดแบ่งออกเป็นสิบสองส่วนสีเทาขาวสลับน้ำเงินเข้ม แต่ละส่วนถูกสลักด้วยสัญลักษณ์และอักขระลึกลับที่ไม่สมมาตรกัน
เข็มนาฬิกาสามเข็มที่มีความยาวไม่เท่า ลักษณะคล้ายกับสร้างจากหนอนกาลเวลา เริ่มขยับเดินด้วยความอ่อนโยน
เมื่อระฆังดังอีกครั้ง มหาสมุทรสายฟ้าที่กำลังถล่มตำหนักเงาพลันถูกแช่แข็ง
ไคลน์ใช้ไม้เท้าดวงดาวเลียนแบบพลังของเทวทูตกาลเวลาสำเร็จ!
ผลลัพธ์ยอดเยี่ยมกว่าคร่าวก่อนที่มันใช้งานค่อนข้างมาก
สิ่งนี้ทำให้ไคลน์อดสงสัยไม่ได้ว่า เทพแห่งการหลอกลวงอาจอนุญาตให้ตนยืมพลังเป็นกรณีพิเศษ หรือไม่ก็ประทานพรมาให้บางส่วน
ชายหนุ่มมิได้พยายามเลียนแบบพลังของอามุนด์เพียงเพื่อเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่าย แต่เป็นเพราะราชาเทวทูตรายนี้ถือครองเอกลักษณ์ของเส้นทางนักจารกรรม พูดได้เต็มปากว่าเป็นผู้ปกครองเส้นทางอย่างชอบธรรมและถือครองอำนาจในระดับหนึ่ง อามุนด์ย่อมมีพลังในการปรับแต่งพลังพิเศษหรือเพิ่มและลดบางสิ่ง
พิจารณาจากผลลัพธ์ ดูเหมือนว่าอามุนด์ตั้งใจปล่อยให้ไคลน์เข้ามาในตำหนักราชาคนยักษ์เพื่อพบกับเทวทูตมืดซาสเรียโดยตรง แถมยังแอบปรับแต่งพลังพิเศษบางอย่างของตนล่วงหน้าพร้อมกับลด ‘อำนาจ’ ของตัวเองลงเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็ช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ให้ไคลน์
ฉวยโอกาสจากจังหวะที่มหาสมุทรสายฟ้าชะงักงัน อัศวินสีเงินที่โลเฟียร์ควบคุมและโคลิน·อีเลียด ต่างปักดาบลงพื้นโดยพร้อมเพรียงเพื่อสร้างบาเรียคุ้มกันที่มองไม่เห็นจำนวนสองจุด ส่วนไคลน์ ร่างของมันจางลงและเลือนหายไป
……………………………………..