ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1269 : พลัง ‘ความปรารถนา’
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1269 : พลัง ‘ความปรารถนา’
เดิมทีไคลน์เข้าใจว่าพลังปรารถนาสามารถใช้ได้ตามใจต้องการ ขอเพียงไม่ละเมิดข้อห้ามหรือขีดจำกัด แต่กลับต้องผิดคาดเมื่อได้ทราบว่าแหล่งกำเนิดพลังชนิดนี้ไม่ได้มาจากตะกอนพลัง
สรุปโดยสั้น ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์จะต้องรวบรวมและสนองความปรารถนาจำนวนมากของผู้คนให้ได้เสียก่อน เช่นนั้นจึงจะมีสิทธิ์ใช้ความปรารถนาที่เกี่ยวข้องกันในระหว่างการต่อสู้ นอกจากนั้นในช่วงเริ่มแรก ไคลน์ต้องเริ่มจากการสนองความปรารถนาเล็กๆ และค่อยๆ ไล่เรียงไปจนถึงขั้นที่สามารถสร้าง ‘ปาฏิหาริย์’ ไม่สามารถทำตามใจชอบได้
อา ถ้าเราต้องการใช้ความปรารถนาที่จะ ‘เทเลพอร์ต’ เหมือนกับหมาป่าอสูรทมิฬโคทาร์ ก่อนอื่นก็ต้องเติมเต็มความปรารถนาที่คล้ายคลึงกันให้ผู้คนเสียก่อน เริ่มจากง่ายไปถึงยาก… ในแง่นี้เรามีวิธีแก้ปัญหา ด้วยการใช้ยุบพองหิวโหยและไม้เท้าดวงดาวเพื่อเติมเต็มความปรารถนา เราไม่จำเป็นต้องเริ่มจากความปรารถนาที่ง่ายที่สุดก่อน…
กล่าวถึงตรงนี้ พลัง ‘ความปรารถนา’ นั้นเหมือนกับการใช้หลักยึดเหนี่ยว เป็นพลังประเภท ‘รวบรวมผู้คน’ … เฉกเช่นความเข้าใจเกี่ยวกับเทพของเหล่าสาวกที่สามารถส่งผลต่อตัวเทพได้ในระดับหนึ่ง เปรียบดัง ‘นิยาม’ และ ‘จุดยืน’ ของเทพ ช่วยให้เทพต่อกรกับตราประทับดวงวิญญาณของมหาต้นกำเนิดที่อยู่ในตะกอนพลัง การเติมเต็มความปรารถนาของสัตว์วิญญาณชนิดต่างๆ ก็อาจช่วยเราสร้าง ‘ปาฏิหาริย์’ ได้เช่นกัน…
หลักการทำงานอาจเกี่ยวข้องกับทะเลจิตใต้สำนึกรวม แต่ไม่ใช่เหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์ จะค่อนไปทางศาสตร์เร้นลับมากกว่า… หลังจากยืนยันสถานการณ์ของพลัง ‘ความปรารถนา’ ไคลน์เริ่มวางแผนการสวมบทบาทเป็นผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ไว้คร่าวๆ
นั่นคือการท่องโลกแห่งความจริงในฐานะ ‘นักมายากล’ ที่เก่งกาจที่สุด ให้ผู้คนได้เห็นปาฏิหาริย์และถูกเติมเต็มความปรารถนา
เข้าใจแล้วว่าทำไมสมญานามเดิมของหมาป่าอสูรทมิฬจึงเป็นเทพแห่งความปรารถนา… เพราะเมื่อชื่อดังกล่าวโด่งดังและแพร่หลาย ผู้คนจะบอกเล่าความปรารถนาของตนผ่านการสวดวิงวอน ช่วยให้ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์สามารถตอบสนองจากระยะไกลในทันที ส่งผลให้การสวมบทบาทกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก แถมยังประหยัดเวลา… แต่ปัญหาคือ โอสถนี้มีชื่อว่าผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ ไม่ใช่เทพแห่งความปรารถนา ฝ่ายหนึ่งต้องสวมบทบาทเป็นเทพด้วย นับว่ายังมีความแตกต่างพอสมควร…
ระหว่างที่ตระเวนไปตามอาณาจักรต่างๆ เราจะคอยสร้างปาฏิหาริย์พลางเติมเต็มความปรารถนาของผู้คนในนามของเดอะฟูล จากนั้นค่อยมาดูกันว่ามีผลตอบรับเป็นอย่างไร…
แต่นั่นไม่ใช่กฎการสวมบทบาทเพียงข้อเดียวของผู้ชี้นำปาฏิหาริย์… เราอาจต้องสร้างสิ่งที่ใกล้เคียงกับปาฏิหาริย์ไว้บนโลกความจริงจนเกิดเป็นตำนานอันโด่งดังด้วย? ไคลน์เคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวลวดลายเก่าแก่ด้วยปลายนิ้ว ภายในใจพึมพำกับตัวเอง
ในการสำรวจร่างกายตัวเองเมื่อครู่ ชายหนุ่มพบว่าตนย่อยโอสถไปแล้วเกินกว่าครึ่งทันทีที่ดื่ม เพราะในอดีตเคยสร้างปาฏิหาริย์มาแล้วหลายครั้ง แถมยัง ‘คืนชีพ’ ไปถึงสามครั้ง
แต่แน่นอน ไคลน์มองสิ่งนี้เป็นเรื่องของวาสนา เพราะการสร้างปาฏิหาริย์ล่วงหน้าล้วนเกิดจากฝีมือของปราสาทต้นกำเนิดทั้งสิ้น
ราวกับมีใครบางคนคอยปูทางให้เรา… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ภายในมิได้รู้สึกผ่อนคลาย ตรงกันข้าม สติของชายหนุ่มยิ่งทวีความตึงเครียดเจือหวาดระแวง
ส่วนคำถามที่ว่า ใครคือผู้ปูทางให้ มันมีในใจหนึ่งชื่อ:
‘เร้นลับ’ ที่เทพสุริยันบรรพกาลเคยเอ่ยถึง ตัวตนที่ต้องสงสัยว่าจะเป็น ‘ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค’
สิ่งที่ทำให้ไคลน์ฉงนยิ่งกว่าเดิมก็คือ หลังจากตนเลื่อนเป็นลำดับ 2 กลายเป็นเทวทูตเต็มตัวและได้รับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ เหตุใด ‘ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค’ ถึงไม่ปรากฏตัว รวมถึงไม่ฟื้นขึ้นมาในจิตใต้สำนึก
พัฒนาการของเรื่องราวแตกต่างจากที่ชายหนุ่มคาดหวังไว้โดยสิ้นเชิง
ไม่มีร่องรอยเลยสักนิด ถ้าจะมีก็เป็นตราประทับดวงวิญญาณของมหาต้นกำเนิดที่ต้องเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้… มันควรจะมีตราประทับทางจิตของราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชคถูกทิ้งไว้ในตะกอนพลังบ้างสิ… หรือว่าท่านดันร่วงหล่นอย่างสมบูรณ์หลังจากปูทางและจัดแจงทุกสิ่ง ส่งผลให้ตอนนี้ไม่สามารถคืนชีพได้จากร่างกายเรา? ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ต้องขอบคุณท่านมาก! ไคลน์รำพันติดตลกก่อนจะยืนขึ้นด้วยความฉงนปนระมัดระวัง
เพียงแค่คิด ชายหนุ่มหายตัวมาโผล่ด้านหน้าบานประตูแห่งแสงที่แปลกประหลาด
หลังจากเฝ้ามอง ‘รังไหม’ โปร่งแสงจำนวนมากที่ห้อยอยู่เหนือศีรษะสักพัก ไคลน์บรรจงยื่นมือขวาออกไปสัมผัสกับบานประตู
เมื่อกลายเป็นเจ้าของมิติเหนือสายหมอกโดยสมบูรณ์ ไคลน์ได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงหนึ่งเรื่องเมื่อกลับมาถึง และนั่นก็คือ ประตูแห่งแสงที่แปลกประหลาดบานนี้ แท้จริงแล้วคือแก่นสำคัญของห้วงมิติเหนือสายหมอก เป็นตัวจริงของปราสาทต้นกำเนิด และความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตโดยรอบคือ ‘อาณาจักรเทพ’ ที่มาพร้อมกับปราสาทต้นกำเนิด
สำหรับวังโบราณ โต๊ะทองแดงยาวพร้อมด้วยเก้าอี้พนักสูงยี่สิบสองตัว และสิ่งของที่สมาชิกชุมนุมทาโรต์เสกขึ้นจากความตั้งใจ ไคลน์พบว่ามันคือส่วนหนึ่งของพลัง ‘ความปรารถนา’
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในตอนที่มันปรารถนาวังและสถานที่ชุมนุม ปราสาทต้นกำเนิดได้เติมเต็มความปรารถนานั้น
และเนื่องจากไคลน์ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียด ปราสาทต้นกำเนิดจึงสร้างฉากขึ้นมาจากความปรารถนาที่คล้ายคลึงกันในอดีต โดยไคลน์สงสัยว่าวังโบราณและเก้าอี้พนักสูงยี่สิบสองตัวเป็นสิ่งที่ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชคเคยเสกขึ้นมาก่อน
ขณะย่างกรายเข้าไปทีละนิด มือขวาไคลน์สัมผัสเข้ากับขอบประตูแห่งแสง
คราวนี้ฝ่ามือของชายหนุ่มมิได้ทะลุผ่านไปราวกับเป็นภาพมายา
ทันใดนั้นเอง บานประตูแห่งแสงเกิดสั่นสะเทือนเล็กน้อย แม้กระทั่ง ‘รังไหม’ ที่ห้อยลงมาจากด้านบนซึ่งภายในบรรจุร่างมนุษย์ก็เริ่มแกว่งไปมาในทำนองเดียวกัน
เหนือสายหมอกสีเทาที่มีวังเก่าแก่ตั้งเด่นตระหง่านตามลำพังท่ามกลางความว่างเปล่าไร้ก้นบึ้ง ตึกระฟ้าสูงใหญ่ทยอยผุดขึ้นเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงรถยนต์และผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาจำนวนนับไม่ถ้วน
จากบรรดาฉากเหล่านั้น ภายในหอพักธรรมดาย่านที่อยู่อาศัย หน้าต่างบานหนึ่งกำลังส่องแสงสลัวที่เกิดจากหลอดไฟประหยัดไฟ
นี่คือเมืองเก่าที่ไคลน์มักเข้ามาหลบอยู่ในช่องว่างประวัติศาสตร์ก่อนยุคสมัยที่หนึ่ง เป็นบ้านที่มันเคยพักอาศัย
มองไปรอบตัวสักพัก ไคลน์ถอนหายใจพร้อมกับเสกให้ทุกสิ่งสลายไปต่อหน้า
อา เราใช้พลังของปราสาทต้นกำเนิดได้หลายส่วนแล้ว… พิจารณาจากจุดนี้ เราจะใกล้เคียงกับราชาเทวทูตในตอนที่อยู่บนมิติหมอก… ไม่เพียงเท่านั้น อำนาจที่แสดงออกมาไม่ถูกกำจัดเฉพาะขอบเขต ‘ปาฏิหาริย์’ แต่ยังรวมถึงส่วนหนึ่งของ ‘จอมเวทท่องมิติ’ และ ‘ม้าไม้ชะตากรรม’ …
และถ้ากลับไปยังโลกความจริง เรายังดึงพลังบางส่วนออกมาใช้ได้โดยตรง ต่อให้ไม่นำออร่าปราสาทต้นกำเนิดห่อหุ้มร่างกาย… กล่าวคือ เราสามารถจำลองอาณาจักรเทพของตัวเองและได้รับพลังทัดเทียมกับลำดับ 1… น่าเสียดาย บนโลกความจริง เรายังไม่สามารถใช้พลังพิเศษในระดับสูงของเส้นทางนักจารกรรมและผู้ฝึกหัดได้… ไคลน์ประเมินสถานการณ์พลางจ้องไปยังรังไหมโปร่งใสที่แขวนอยู่ด้านบนประตูแห่งแสงไอลีนโนเวล
ชายหนุ่มยังไม่คิดจะปล่อยคนข้างในออกไป เพราะท้ายที่สุดคงหนีไม่พ้นการตกเป็นเครื่องมือของอามุนด์
หลังจากยืนยันสถานการณ์ในทุกแง่มุม ไคลน์กลับมาที่วังโบราณและนั่งบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล
มันจำได้ว่าความทรงจำบางส่วนของตนถูกผนึกไว้ จึงเรียกแผ่นกระดาษออกจากกองขยะ
เมื่อเปิดอ่าน ดวงตาไคลน์หรี่ลงเล็กน้อย ริมฝีปากขยับขึ้นลงพลางพึมพำเสียงต่ำ:
“วันวาน เทพภายนอก อวกาศ พระผู้สร้าง เหนือลำดับ… อย่างนี้นี่เอง…”
ในวินาทีนี้ ชายหนุ่มเพิ่งเข้าใจความหมายของศึกระหว่างทวยเทพที่เพิ่งจบลงไปอย่างถ่องแท้ เข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดวันสิ้นโลก และเข้าใจว่าเหตุใดเจ็ดเทพจารีตถึงอนุญาตโดยนัยให้มีจักรพรรดิมืดถือกำเนิด แถมยังไม่แยแสการกลับมาของวิญญาณมารเทวทูตสีชาด
จากข้อมูลของเลียวนาร์ดและมิสจัสติส โลเอ็นเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะในที่สุด ดูเหมือนว่าเทพสงครามคงถึงคราวร่วงหล่นแล้ว… กล่าวคือ เทพธิดาประสบความสำเร็จ แต่เราไม่ทราบว่าพระองค์กลายเป็นเหนือลำดับแล้วหรือยัง หรือยังขาดเงื่อนไขใดอีก… ไว้ค่อยเรียกอาโรเดสออกมาสอบถามสถานการณ์ปัจจุบันทีหลัง… คิดถึงตรงนี้ ไคลน์นึกทบทวนรายละเอียดในอดีตและปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน
พระแม่ธรณีที่ยังไม่ทราบว่าตัวจริงเป็นใคร สวมรอยเป็นราชินีคนยักษ์โอมีเบล่าได้นานหลายพันปีโดยที่ไม่ถูกเปิดโปง… สิ่งนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้หากปราศจากความช่วยเหลือจากพลังปกปิด… ให้ตายสิ เทพธิดาวางแผนมาตั้งแต่ปลายยุคสมัยที่สองเลยหรือ?
ทำไมเราถึงรู้สึกว่าพระองค์น่ากลัวยิ่งกว่าอามุนด์เสียอีก…
อา แต่พลังปกปิดทำได้เพียงซุกซ่อนร่องรอยและตบตาผู้ที่พยายามสอดส่องหรือทำนายถึง ไม่น่าจะช่วยให้แปลงโฉมได้แนบเนียน… การที่พระแม่ธรณีสามารถสวมรอยเป็นโอมีเบล่าโดยไม่ถูกเทพสงครามสงสัยเป็นพันปี คงจะมีปัจจัยอื่นร่วมอยู่ด้วย… หรือว่าใครบางคนช่วยให้เธอขโมยชะตากรรมของราชินีคนยักษ์มาเป็นของตัวเอง? ในสมัยนั้น บุคคลเดียวที่มีอำนาจในขอบเขตดังกล่าวและแข็งแกร่งพอที่จะทำได้ ไม่ใช่ใครนอกจากเทพสุริยันบรรพกาล พระผู้สร้างรุ่นที่สอง บิดาของอามุนด์และอาดัม…
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง หมายความว่าเทพธิดาและเทพสุริยันบรรพกาลสมคบคิดกันมานานแล้ว จนกระทั่ง ‘มหาต้นกำเนิด’ ตื่นขึ้นในร่างของพระผู้สร้างรุ่นที่สอง… นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเทวทูตมืดซาสเรีย ถึงเลือกสมคบคิดกับเทพธิดาเป็นคนแรก แน่นอนว่าพลังในขอบเขต ‘ซ่อนเร้น’ ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญในแผนการ…
นับตั้งแต่ได้รับเอกลักษณ์ของเส้นทางมรณา เทพธิดาก็เริ่มวางกับดัก… ในแง่หนึ่ง พระองค์ต้องการให้เราเข้ายึดอำนาจของนิกายวิญญาณฝ่ายมรณาเทียมในกรุงเบ็คลันด์เพื่อให้ไม่มีใครทราบถึงความผิดปรกติ แต่ในอีกแง่หนึ่ง พระองค์ก็ไม่จัดการกับคนหรือสิ่งของที่อาจทำให้ข้อมูลดังกล่าวรั่วไหลออกไป ส่งผลให้ในสายตาเทพสงคราม พฤติกรรมของเทพธิดาจึงดูเหมือนพยายามปกปิดเป็นความลับ แต่ทำไม่สำเร็จเพราะร่างหลักกำลังยุ่งอยู่กับการยึดครองเอกลักษณ์ จนมิอาจควบคุมปัจจัยต่างๆ ได้ทั่วถึง…
หลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นการยอมให้จอร์จที่สามเถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืด หรือช่วยให้เราทำลายพิธีกรรมของอีกฝ่าย เทพธิดามิได้สนใจผลลัพธ์ของเหตุการณ์สักเท่าไร เป้าหมายที่แท้จริงของพระองค์มีเพียงการแสดงให้เทพตนอื่นเข้าใจว่า พระองค์ไม่สามารถแทรกแซงโลกความจริงได้มากนัก เพราะกำลังยุ่งอยู่กับการยึดครองเอกลักษณ์ของเส้นทางมรณา…
ยังมีรายละเอียดอีกมากที่คล้ายคลึงกัน…
สำหรับเทพสงคราม เนื่องจากมีความเข้าใจในตัวเทพธิดาอย่างลึกซึ้ง ท่านย่อมไม่หลงติดกับได้ง่ายนัก จึงเลือกที่จะเปิดศึกด้วยการสั่นคลอนหลักยึดเหนี่ยวของเทพธิดาเสียก่อน เพื่อให้ดวงวิญญาณและจิตใจเกิดความปั่นป่วน เมื่อเทพธิดาต้องทุ่มพลังไปกับการยับยั้งการกัดกร่อน นั่นจึงเป็นเวลาที่จะบุกเข้าไปโจมตีเทพธิดาพร้อมกับพระแม่ธรณี…
และนั่น… ทำให้ท่านติดกับเทพธิดาเข้าอย่างจัง…
กล่าวอีกนัยหนึ่ง จุดประสงค์ที่แท้จริงของพฤติกรรมต่างๆ ของเทพธิดามิใช่การวางกับดักโดยใช้เอกลักษณ์ของเส้นทางมรณาเป็นเหยื่อล่อ แต่เพื่อให้เทพตนอื่นมุ่งความสนใจไปที่ประเด็นดังกล่าว โดยที่ไม่มีใครเอะใจว่าตัวพระแม่ธรณีคือปัญหา…
น่ากลัวอะไรเช่นนี้…
ไคลน์ถอนหายใจจากก้นบึ้ง มันตระหนักว่าสองพี่น้องอาดัมและอามุนด์ยังเป็นรองเทพธิดาอยู่หนึ่งก้าวในแง่ความน่าสะพรึง
ชายหนุ่มส่ายหน้าพลางเสกปากกาและกระดาษ เขียนเตือนตัวเองลงไปว่า:
“จงจำไว้เสมอว่าเราคือเขา ไม่ใช่ท่าน”