ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1295 : ผลสืบเนื่องจากแนวหน้าของสงคราม
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1295 : ผลสืบเนื่องจากแนวหน้าของสงคราม
“อย่าช่วยข้า… อย่าช่วยข้า…”
ไคลน์ที่อยู่บนปราสาทต้นกำเนิดและถือไพ่เดอะฟูลนั้นมีระดับตัวตนทัดเทียมราชาเทวทูต จึงไม่ถูกกัดกร่อนจากการได้ฟังเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตูโดยตรง แต่เนื้อหาของประโยคทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลัง คันไปถึงหนังศีรษะ ดวงตาเบิกกว้าง ยากที่จะระงับความตื่นตระหนกซึ่งถาโถมเข้ามาในใจอย่างกะทันหัน
เดิมที ชายหนุ่มเข้าใจว่ามิสเตอร์ประตูกำลังร้องขอความช่วยเหลือ แต่สิ่งที่มันกำลังได้ยินกลับกลายเป็น:
“อย่าช่วยข้า!”
ขณะไคลน์นั่งเงียบ เสียงที่บางเบาและแหบแห้งเป็นราวกับเข็มเล่มเล็กซึ่งทะลวงเข้ามาในร่างวิญญาณชายหนุ่ม หลังจากส่งเสียงเพรียกอยู่นานกว่าสิบวินาที เนื้อหาเกิดการเปลี่ยนแปลง
“ช่วยข้าด้วย… ช่วยข้าด้วย…”
ในคราวนี้ ภาษาที่ใช้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
“…” ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้าว่างเปล่า นั่งฟังอยู่เกือบราวสิบวินาที
จากนั้นก็ยกเลิกการคงสภาพภาพฉายจากอดีตของ ‘มาสเตอร์คีย์’ และ ‘มงกุฎจันทร์ชาด’ เพื่อให้ห้วงมิติเหนือสายหมอกสีเทากลับสู่ความเงียบสงบตามเดิม
ฟู่ว… ชายหนุ่มสูดลมหายใจยาว ใช้นิ้วเคาะขอบโต๊ะทองแดงพลางพึมพำ
มิสเตอร์ประตูเสียสติไปแล้ว แต่ส่วนที่เสียสตินั้นไม่ใช่บุคลิกที่พยายามตะโกน หากแต่เป็นบุคลิกที่ดูสงบและสามารถสื่อสารกับผู้คนได้อย่างมีเหตุผล… ส่วนหลังสามารถสร้างอิทธิพลกับส่วนแรกได้ในระดับหนึ่ง และบิดเบือนเนื้อหาของการตะโกน?
ในตอนที่มิสเตอร์ประตูได้สติ ท่านจะส่งเสียงตะโกนว่า ‘อย่าช่วยข้า’ … สำหรับราชาเทวทูตที่ถูกเนรเทศมานานกว่าพันปี นี่ไม่ใช่การตอบสนองที่ปรกติแน่นอน เว้นเสียแต่ ท่านจะเชื่อว่าหากตัวเองได้กลับมายังโลกความจริง นั่นจะนำมาซึ่งภัยพิบัติที่ตัวท่านเองก็ไม่ต้องการเห็น… ราชาเทวทูตที่เสียสติโดยสมบูรณ์?
เมื่อผนวกกับข้อเท็จจริงที่ว่า ทุกครั้งที่สื่อสารกัน มิสเตอร์ประตูจะชักชวนให้จักรพรรดิแวะมาเยี่ยมดวงจันทร์ซึ่งอยู่ในการครอบครองของเทพภายนอกเสมอ เราสามารถอนุมานได้ว่า:
มิสเตอร์ประตูที่ถูกเนรเทศไม่ได้รับการปกป้องจากบาเรียที่พระผู้สร้างต้นกำเนิดเหลือทิ้งไว้ ท่านจึงถูกกัดกร่อนโดยเทพภายนอกบางตนจนสูญสิ้นสติไปเกือบทั้งหมด สภาพในปัจจุบันดีกว่าเทพผู้ถูกล่ามเพียงเล็กน้อย…
เส้นทางผู้ฝึกหัดสามารถท่องอวกาศได้ลำดับ 3 และนอกจากนั้น หนึ่งในพระนามของมิสเตอร์ประตูคือ ‘ผู้นำทางแห่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว’ … หรือจะหมายความว่า ก่อนที่ท่านจะถูกเนรเทศ ราชาเทวทูตตนนี้เชื่อมต่อกับเทพภายนอกสักตนและได้รับอิทธิพลมาในระดับหนึ่ง?
เช่นนั้นแล้ว ดินแดนสีแดง อาคารคล้ายพีระมิด และอวกาศในสถานที่ต่างๆ ซึ่งมิสเมจิกเชี่ยนได้เห็นครั้งสุดท้ายก่อนจะตัดการเชื่อมต่อ สิ่งเหล่านั้นมีความหมายว่าอย่างไร? ดูไม่เหมือนกับระบบสุริยะในปัจจุบัน และไม่เหมือนหลุมศพของจักรพรรดิมืด… เป็นแหล่งกบดานของเทพภายนอกที่สร้างอิทธิพลกับมิสเตอร์ประตู? หรือเป็นตำนานที่มิสเตอร์ประตูทิ้งไว้บนดาวเคราะห์ดวงอื่นในตอนที่ประกอบพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นจอมเวทท่องมิติ? จุดยึดเหนี่ยวจิตใจ? น่าจะเป็นอย่างหลัง เพราะมิสเมจิกเชี่ยนมิได้ถูกกัดกร่อนหลังจากเห็นฉากดังกล่าว…
ยิ่งไคลน์ครุ่นคิด หัวใจก็ยิ่งหนักอึ้ง เพราะในบางแง่มุม สิ่งนี้อาจสะท้อนสภาพที่แท้จริงของวันสิ้นโลก
วันสิ้นโลกไม่ใช่สิ่งที่ แค่ไม่คิดถึงหรือทำเป็นไม่รู้ แล้วมันจะไม่เกิดขึ้น!
เข้าใจแล้วว่าทำไมแสงเหลืองเวนิธานถึงทำนายว่า วันที่คำสาปถูกปลดออก นั่นคือหายนะที่แท้จริงของตระกูลอับราฮัม… บางทีการส่งเสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตูซึ่งทำให้ตระกูลอับราฮัมไม่สามารถมีครึ่งเทพเพิ่ม อาจเป็นรูปแบบหนึ่งของการปกป้อง… แม้ว่านั่นจะทำให้ตระกูลอับราฮัมสูญเสียสถานะทางสังคมและทรัพย์สินส่วนใหญ่ไป จนกลายเป็นเพียงตระกูลธรรมดา แต่อย่างน้อยก็ยังรักษาสายเลือดเอาไว้ได้… หึหึ ในคำทำนายดังกล่าว วิธีแก้คำสาปคือการค้นหา ‘ผู้ฝึกหัด’ ที่ได้รับความช่วยเหลือจากตัวตนลึกลับ… ไคลน์หัวเราะในลำคอ มันพบคำตอบที่จะมอบให้กับมิสเมจิกเชี่ยน
มันวางแผนจะให้ฟอร์สบอกความจริงกับอาจารย์เพียงบางส่วน
ประการแรก เน้นย้ำว่ามิสเตอร์ประตูอยู่ในสภาพกึ่งเสียสติและเป็นบุคคลอันตราย ลำพังการสื่อสารเพียงอย่างเดียวก็อาจนำพาความเสี่ยงมหาศาล ประการที่สอง ห้ามบอกพิธีกรรมปลดคำสาปที่สอง ให้พูดแค่การสังเวยครึ่งเทพเส้นทางนักทำนาย นักจารกรรม และผู้ฝึกหัด
ในประเด็นแรก ตระกูลอับราฮัมสามารถเข้าใจได้ว่า เหตุใดบรรพบุรุษของพวกตนถึงเอาแต่ร้องขอความช่วยเหลือโดยไม่สนใจผลลัพธ์ เป็นเพราะอีกฝ่ายสูญเสียเหตุและผลจนทำได้เพียงสิ่งที่เลวร้าย
นั่นจะช่วยขจัดความกังวลภายในใจตระกูลอับราฮัมได้หลายส่วน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายฝืนช่วยเหลือมิสเตอร์ประตูออกมา และเริ่มเปลี่ยนมานับถือมิสเตอร์ฟูลมากขึ้น
สำหรับประเด็นที่สอง ไคลน์จงใจปกปิดเพื่อป้องกันมิให้สมาชิกกลุ่มสุดโต่งที่ไม่มีพลังพอจะประกอบพิธีกรรม หวังพึ่งพาโชคและลองเสี่ยงดวงด้วยความบ้าบิ่น
ในขณะเดียวกัน การแจ้งหนึ่งในสองพิธีกรรมเป็นการทำให้ตระกูลอับราฮัมไว้วางใจฟอร์ส
ไม่ต้องเอ่ยถึง ‘จอมเวทลึกลับ’ ที่เป็นตัวปัญหาสุดๆ ลำพังครึ่งเทพอย่าง ‘จอมเวทพิสดาร’ ก็หาตัวจับได้ยากแล้ว แถมส่วนใหญ่ยังเป็นคนของลัทธิเร้นลับ การพุ่งเป้าไปยังคนเหล่านี้ย่อมทำให้ซาราธขุ่นเคืองใจ แม้ตระกูลอับราฮัมจะมีครึ่งเทพที่สามารถใช้งานสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่พวกเขาก็คงหาเหยื่อมาประกอบพิธีกรรมนี้ไม่ง่ายแน่ และเหนือสิ่งอื่นใด หากจัดการกับ ‘ปรสิต’ โดยไม่ระวัง เป้าหมายดังกล่าวอาจเป็นร่างโคลนของอามุนด์ และนั่นจะไม่ต่างอะไรกับการเสิร์ฟขนมให้บุตรแห่งพระผู้สร้าง…
หลังจากนั้น เราจะให้เดอะเวิร์ลเตือนมิสเมจิกเชี่ยนว่า ให้เธอคอยระวังกลุ่มคนสุดโต่งภายในตระกูลอับราฮัมให้ดี… ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะตอบสนองการสวดวิงวอนของฟอร์ส
…
หลังจากส่งตัวเองกลับสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์และกลับออกมายังโลกความจริง ไคลน์ขึ้นรถไฟไอน้ำเดินทางมายังคอนสแตน เมืองหลวงของแคว้นเลียบทะเล ที่นี่เคยเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของอาณาจักรโลเอ็น และเป็นเมืองหน้าด่านในสงครามที่เพิ่งจบลงไป
…ความเสียหายหนักหน่วงมาก… หลังลงจากรถไฟและออกจากชานชาลา ไคลน์เหยียดตัวมองเข้าไปในเมืองอุตสาหกรรมเบื้องหน้า
แม้ว่าชายหนุ่มจะเพิ่งเคยมาที่นี่ แต่ก็เคยเห็นภาพถ่ายของคอนสแตนจากหนังสือพิมพ์และนิตยสาร
ภาพถ่ายเหล่านั้นเป็นสีขาวดำ บันทึกแทบทุกแง่มุมภายในเมือง
จากบรรดาภาพทั้งหมด มีสามจุดที่สร้างความประทับใจให้ไคลน์:
ประการแรก ที่นี่เต็มไปด้วยปล่องไฟและเตาหลอม ดูราวกับเป็นป่าอิฐที่สร้างโดยฝีมือมนุษย์ สามารถดึงดูดความสนใจของผู้พบเห็นได้เป็นอย่างมาก และเป็นตัวแทนแห่งอุตสาหกรรมได้ดีกว่าเบ็คลันด์
ประการที่สอง มีการใช้คอนกรีตและเหล็กกล้าอย่างแพร่หลายในหมู่อาคาร เป็นสัดส่วนที่หน้าแน่นกว่ากรุงเบ็คลันด์ซึ่งมีความคล้ายคลึงกัน
ประการที่สาม คราบถ่านหินอาจปนเปื้อนในหลายจุด รวมไปถึงผิวหนังและร่างกายมนุษย์ แต่อากาศของที่นี่ดีกว่ากรุงเบ็คลันด์เนื่องจากลมทะเลที่พัดผ่านด้วยความแรง
แต่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเตาหลอมเหล็กสูงตระหง่าน ปล่องไฟ หรืออาคารหลังใหญ่ สิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นบางตาลงอย่างชัดเจน เหลือเพียงซากปรักหักพังที่กระจัดกระจาย
ในทางกลับกัน พื้นที่เขตโรงงานได้รับความเสียหายน้อยกว่าเขตที่อยู่อาศัย เพราะโรงงานเหล็กและคลังอาวุธของที่นี่จำเป็นต่อกองทัพฟุซัค
จำนวนผู้เสียชีวิตคงไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสน… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ยกกระเป๋าเดินทาง เดินลงจากสถานีรถไฟไอน้ำและเข้าสู่เมืองคอนสแตนอย่างเป็นทางการ
ระหว่างทางไปโรงแรม ชายหนุ่มยังคงสวมบทบาทเป็น ‘ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์’ และสุ่มเลือกชายคนหนึ่งในวัยสามสิบตอนต้น
“ผมเป็นนักมายากลพเนจร กลของผมสามารถเติมเต็มความปรารถนาของผู้คนได้ อยากทดสอบดูไหม?” ไคลน์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคนหน้าบาง สามารถเปิดบทสนทนากับคนแปลกหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ชายกำยำชำเลืองด้วยหางตาก่อนจะโบกมืออย่างหัวเสีย
“คุณคืนชีพให้พ่อ แม่ พี่น้องสองคน และลูกหนึ่งคนของผมได้หรือ?”
กล่าวจบ มันไม่รอให้นักมายากลฝั่งตรงข้ามตอบ เพียงรีบเดินไปยังสถานีรถม้าที่ใกล้ที่สุดด้วยท่าทีหงุดหงิดเจือจาง กำปั้นขวาถูกยกขึ้นมาทุบหน้าอกซ้าย
ไคลน์ยังคงยืนในตำแหน่ง ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย เฝ้ามองชายคนดังกล่าวจากไปอย่างเงียบงัน
มันนึกถึงนิตยสารเล่มหนึ่งที่ได้อ่านบนรถไฟไอน้ำ มีหลายหน้าแสดงภาพถ่ายของสถานการณ์ปัจจุบันในสุสานเมืองคอนสแตน
ป้ายหลุมศพเรียงรายจนดูคล้ายปล่องไฟและเตาหลอม ชั้นวางที่บรรจุกล่องเถ้ากระดูกดูเหมือนกับอาคารที่พังถล่มลงไป
คล้ายกับเมืองคอนสแตนทั้งเมืองกลายเป็นสุสาน
หลังจากหุบยิ้ม ไคลน์เดินผ่านน้ำพุที่แห้งแล้งและตรงไปยังโรงแรมที่อยู่ไม่ไกล
ระหว่างทาง มันได้ยินคนเดินถนนจำนวนหนึ่งสนทนากันเกี่ยวกับสถานที่ซึ่งมีผีสิงและสัตว์ประหลาดน่ากลัวโผล่ออกมา
“ในตอนที่เดินผ่านแม่น้ำมารีส ฉันได้ยินเสียงร้องไห้ดังระงมมาจากในน้ำ แต่ก็ไม่กล้ามอง ฉันรีบวิ่งกลับเมืองราวกับสายลม…”
“นั่นยังธรรมดา ฉันเคยเห็นสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นในบ้านเลขที่ 9 ถนนดอกผักตบชวา! บนหน้าต่างของบ้านมีหน้าคน! เป็นใบหน้าที่ซีดมาก!”
“หลังบ้านฉันมีคนเดินถนนหายไปหลายคน รอยเลือดลากยาวไปถึงซากอาคารใกล้เคียง แต่ตำรวจกลับหาศพไม่พบ…”
“น่ากลัวมาก! เทพธิดาคุ้มครองพวกเราด้วย!”
“องค์วายุสลาตัน ได้โปรดช่วยให้ภูตผีและสัตว์ประหลาดเหล่านี้อยู่ห่างจากเราด้วย!”
“นอกจากนั้น ศาลาเทศบาลยังปิดประกาศไว้ว่า ให้ประชาชนรีบแจ้งเหตุกับตำรวจทันทีที่พบเหตุการณ์คล้ายคลึงกัน”
ดูเหมือนว่า สงครามที่เป็นราวกับเครื่องบดเนื้อจะทำให้ซากศพจำนวนมากไม่ถูกปลอบประโลม หลายศพจึงลงเอยด้วยการกลายเป็นผีหรือพรายน้ำ เฮ้อ… โดยส่วนมากแล้วจะเกิดกับผู้ที่ตายโดยไม่เหลือศพ… นอกจากนั้นยังมีผู้วิเศษที่เสียสติหรือกลายพันธุ์… ผู้วิเศษที่ไม่ได้ดื่มโอสถอย่างถูกต้องมักมีความเสี่ยงสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ส่วนมากจะลงเอยด้วยการคลุ้มคลั่ง… เหยี่ยวราตรีและทูตพิพากษาคงกำลังตามเก็บกวาดเรื่องนี้อย่างขยันขันแข็ง แต่สำหรับเมืองใหญ่อย่างคอนสแตน ชาวเมืองอาจต้องทนอยู่ร่วมกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติไปอีกสักระยะ เพราะต้องไม่ลืมว่า ภูตผีและสัตว์ประหลาดบางประเภทเชี่ยวชาญด้านการหลบซ่อน แถมยังมีแนวโน้มที่จะเจ้าเล่ห์… ไคลน์ทำความเข้าใจภาพรวมของคอนสแตน
สำหรับที่นี่ การได้พบพานเหตุการณ์เหนือธรรมชาติจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไป หากแต่เป็นกิจวัตรที่ทุกคนต้องอยู่ร่วม
ในเวลาเดียวกัน ไคลน์เห็นกลุ่มเหยี่ยวราตรีแต่งกายในถุงมือสีแดงและเสื้อกันลมสีดำเดินผ่านสี่แยกด้านหน้าตน แต่ชายหนุ่มไม่รู้จักอีกฝ่ายแม้แต่คนเดียว
นั่นสินะ มหาวิหารสุขสงบคงต้องส่งถุงมือแดงมาช่วยสนับสนุน… หืม แถวนี้มีความผิดปรกติเกิดขึ้น? ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบากับตัวเอง อาศัยสัมผัสวิญญาณนำพา มันหันไปมองอาคารหอพักที่อยู่ด้านหลังซากปรักหักพัง
ด้านหลังมุขหน้าต่างบนชั้นที่สี่ ใบหน้าเน่าเปื่อยกำลังแนบติดกับกระจกพลางจ้องออกมา ของเหลวเหลืองปนสีดำทยอยไหลลงมาตามหน้าต่าง
…………………………………………