ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1337 : ปฏิกิริยาลูกโซ่
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1337 : ปฏิกิริยาลูกโซ่
ทันใดนั้น เวนเดลล์ตระหนักว่าน่องของมันกำลังสั่นระริก ประหนึ่งมิอาจรองรับน้ำหนักตัวได้อีกต่อไป
หลังออกจากยูโทเปีย มันเคยจินตนาการถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด นั่นคือการตายอย่างกะทันหันและไร้เหตุผล
อย่างไรก็ดี มันไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบกับผู้คนของยูโทเปีย ภายในกรุงเบ็คลันด์อันกว้างใหญ่
แถมอีกฝ่ายยังชักชวนให้กลับไปยังยูโทเปียอีกครั้ง
สำหรับเวนเดลล์ นี่คือฝันร้ายสุดสะพรึง และการที่ยังไม่สติแตกไปในทันที คือเครื่องพิสูจน์ว่าจิตใจของมันเข้มแข็งเพียงใด
เวนเดลล์เผยท่าทีกระอักกระอ่วนอย่างสงวนกิริยา
“ช่วงนี้ผมงานยุ่ง…”
ตำรวจชื่อไบลส์กล่าวต่อ
“การพิจารณาคดีจะเกิดขึ้นในอีกสองสัปดาห์ นี่คือเอกสารที่เกี่ยวข้อง”
ขณะพูด มันยื่นเอกสารในมือให้เวนเดลล์
ใจจริง เวนเดลล์ไม่อยากรับ แต่ก็จำต้องทำ
ไบลส์ก้าวถอยหลัง
“สิ่งนี้มีอนาคตของหญิงสาวคนหนึ่งเป็นเดิมพัน ผมหวังว่าคุณจะเป็นพยานให้เธอได้”
“ผมไม่รับปาก…” เวนเดลล์ตอบแบ่งรับแบ่งสู้
ไบลส์ไม่กล่าวเพิ่มเติม เพียงก้มศีรษะคำนับและกล่าว
“ผมจะรอคุณที่ยูโทเปีย หวังว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง”
กล่าวจบ มันหันหลังกลับ เดินออกจากบ้านตรงไปทางถนน
ระหว่างนั้น คล้ายกับเวนเดลล์ถูกแช่แข็งเป็นรูปปั้น มันเอาแต่ยืนแข็งทื่อโดยไม่กะพริบตา
ผ่านไปราวสิบวินาที ประหนึ่งมันเพิ่งตื่นจากฝันร้าย ร่างกายปราศจากเรี่ยวแรงจนล้มลงโดยใช้มือขวาพิงประตู
เมื่อสักครู่ มันหวาดกลัวจากก้นบึ้ง กังวลว่าไบลส์จะใช้กำลังบังคับพากลับไปยังยูโทเปียที่ไม่มีอยู่จริง
และถ้าเป็นเช่นนั้น เวนเดลล์ไม่มีทางเดาได้ว่าตนจะกลับออกจากยูโทเปียได้อีกหรือไม่ บางทีอาจหายตัวไปตลอดกาล
เมื่อเทียบกับการตายอย่างกะทันหัน จุดจบอันน่าสะพรึงและยากคาดเดา ทำให้มันยิ่งทวีความหวาดผวา
ต้องรีบแล้ว รีบแจ้งไปยังเบื้องบน! บอกให้พวกเขาจับกุมตำรวจจากยูโทเปียและสอบสวนเกี่ยวกับเมืองประหลาดนั่น จากนั้นก็หาวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุด! เวนเดลล์ได้สติกลับมา พยายามมองหาเรื่องดีในเรื่องร้าย และเตรียมแจ้งเจ้าหน้าที่ MI9 ที่คอยเฝ้าจับตามองตน
แต่ทันใดนั้นเอง มันฉุกคิดถึงปัญหาสำคัญ ในบทสนทนาเมื่อครู่ มันไม่พยายามหาโอกาสส่งสัญญาณบอกกับเจ้าหน้าที่ MI9 ที่ซุ่มดูอยู่ว่าตำรวจนายนี้มีปัญหา หรือไม่พยายามประวิงเวลาจนอีกฝ่ายพบความผิดปรกติ และยังไม่ได้ใช้ความเป็นมืออาชีพของเจ้าหน้าที่ข่าวกรองเพื่อถามกลับไปว่า ไบลส์พักอยู่ในโรงแรมใด และเตรียมกลับรถไฟรอบไหน
มันตกใจและลนลานเสียจนเอาแต่ตอบโต้ไปตามจิตใต้สำนึก เลือกทางที่ปลอดภัยกับตัวเองที่สุด
คิดถึงตรงนี้ เวนเดลล์เดินออกจากประตูบ้าน มองไปยังทิศทางที่ไบลส์ตรงไป แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของอีกฝ่าย
ตำรวจจากยูโทเปียรายนี้กลมกลืนเข้ากับรถม้าและคนเดินถนนเรียบร้อยแล้ว
เวนเดลล์ถอนสายตากลับ จ้องเอกสารในมือด้วยความไม่สบายใจ
“หลังจากนี้สองสัปดาห์ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่ไปเป็นพยานที่ยูโทเปีย?”
ยิ่งเวนเดลล์ครุ่นคิด มันก็ยิ่งทวีความหวาดกลัว แข้งขาอ่อนแรงลงอีกครั้ง ก่อนจะรีบส่งสัญญาณบอกเพื่อนร่วมงานที่คอยซุ่มดูอยู่เพื่อแจ้งความผิดปรกติ
…
เขตตะวันตก บ้านเลขที่ 9 ถนนเบลลอตโต้
หลังทราบจากบาร์เทนเดอร์ว่า มีชาวยูโทเปียเดินทางมายังเบ็คลันด์ ซิลตกใจเจือสับสน
ก่อนหน้านี้ เธอเคยสันนิษฐานเบื้องต้นไว้ว่า ยูโทเปียคงซ่อนอยู่ในที่ลับ หรือไม่ก็เป็นเมืองกึ่งจริงกึ่งมายา ทางเข้าออกเป็นแบบสุ่ม เพื่อให้บุคคลภายนอกเข้าไปและกลับออกมาได้
ส่วนคำถามที่ว่า เหตุใดถึงต้องให้บุคคลภายนอกผ่านเข้าออก เธอเขาว่าคงเป็นเงื่อนไขของพิธีกรรม
ดังนั้น ตามความเข้าใจของหญิงสาว ชาวยูโทเปียจึงไม่ควรออกจากบ้านเกิดมายังโลกภายนอก
นี่ก็เป็นข้อกำหนดของพิธีกรรม? ชาวเมืองเป็นใครกันแน่? สาวกมิสเตอร์ฟูล? พวกพ้องของเกอร์มัน·สแปร์โรว์? หลังจากสอบถามรูปลักษณ์ของตำรวจยูโทเปียที่มาเยือน ซิลเดินทางกลับสำนักงานใหญ่ MI9 เนื่องจากยังขาดข้อมูลเพิ่มเติม พลางลังเลว่าจะส่งลูกน้องออกไปสืบสวนขยายผลดีหรือไม่
เธอไม่แน่ใจว่ามิสเตอร์เวิร์ลต้องการให้เกิดผลลัพธ์ดังกล่าวไหม ด้วยเกรงว่านั่นอาจกระทบกับพิธีกรรมของอีกฝ่าย
หลังจากเดินวนเวียนภายในห้องทำงานสักพัก ซิลวางแผนสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล ให้อีกฝ่ายช่วยถ่ายทอดคำถามไปถึงเดอะเวิร์ล
เมื่อกลับมายังเก้าอี้ สายตาซิลกวาดไปเห็นเอกสารบนโต๊ะ
เป็นรายงานการสืบสวนจากลูกน้องทั้งสองคนของเธอ แง่หนึ่งเป็นการยืนยันว่าผู้โดยสารที่กลับถึงกรุงเบ็คลันด์ปราศจากปัญหา อีกแง่หนึ่งเป็นข้อสงสัยเกี่ยวกับการหายตัวไปของผู้โดยสารบางคน
ผู้โดยสาร… ซิลหรี่ตาลงเล็กน้อย อาศัยสัญชาตญาณของตนเพื่อคาดเดา:
ชาวยูโทเปียคนนั้นมาที่เบ็คลันด์เพราะจุดประสงค์บางอย่าง ไม่ใช่การหลบหนีออกมา และบางที จุดประสงค์ที่ว่านั่นอาจเกี่ยวข้องกับผู้โดยสารที่กลับจากยูโทเปีย…
หรือว่า… ซิลฉุกคิดบางสิ่งได้ รีบนั่งลงและเตรียมสวดวิงวอน
ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“…เชิญ” ซิลลังเลสักพักก่อนจะตอบ
เมื่อประตูเปิดออก ซิลเห็น ‘ล็อก’ เจ้าของเคราแพะและเวนเดลล์ พยานในเหตุการณ์ยูโทเปีย
“พันเอก เวนเดลล์ได้พบคนจากยูโทเปีย อีกฝ่ายมาเยี่ยมถึงหน้าบ้าน!” ล็อกกล่าวตะกุกตะกัก
มันเองก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
อย่างที่คิด… ซิลไม่เพียงไม่ประหลาดใจ ตรงกันข้าม เธอแอบโล่งอก
หญิงสาวจ้องเวนเดลล์
“เขามาเยี่ยมคุณทำไม”
“เขาบอกให้ผมเดินทางไปที่ยูโทเปียเพื่อเป็นพยานในชั้นศาล เกี่ยวกับคดีฆาตกรรมที่ผมเขียนไว้ในรายงาน” เวนเดลล์สงบลงมากแล้ว
จากนั้นก็เสริม
“เขาเป็นตำรวจ ชื่อไบลส์… แต่ผมไม่กล้าถามว่าเขาอาศัยอยู่ที่ใด และจะกลับเมื่อไร ด้วยรถไฟรอบไหน”
เพื่อแสดงความใส่ใจ ซิลลุกขึ้นยืนและทำหน้าครุ่นคิด
“ล็อก ระดมพลสมาชิกในทีมทันที ตามหาคนขับรถม้าที่ทำงานใกล้กับละแวกบ้านเวนเดลล์ รวมถึงคนรับรถม้าสาธารณะในป้ายใกล้เคียงทั้งหมด สอบปากคำว่าเคยพบเห็นไบลส์บ้างหรือไม่ และถ้าพบ ให้พวกเขาระบุปลายทางที่ส่งลง ขณะเดียวกัน ส่งคนไปเฝ้าสถานีรถไฟ สังเกตผู้โดยสารที่ผ่านเข้าออก…”
ออกคำสั่งลูกน้องเสร็จ ซิลหันไปมองเวนเดลล์
“คุณต้องให้ความร่วมมือในการร่างภาพเหมือนของไบลส์”
“ครับ พันเอก” ล็อกและเวนเดลล์ขานรับพร้อมเพรียง
หลังจากพวกมันออกไปและปิดประตู ซิลนั่งลงและเริ่มสวดวิงวอน ไอลีนโนเวล
เพียงไม่นาน เธอได้รับคำตอบจากมิสเตอร์ฟูล และเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังสวดวิงวอนท่ามกลางสายหมอก
เดอะเวิร์ลบอกกับเธอว่า:
“สามารถดำเนินการสืบสวนได้ตามปรกติ… สำหรับข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับพิธีกรรม สามารถหยิบยกขึ้นมาพูดได้หากจำเป็น แต่ต้องรวมอยู่กับข้อสันนิษฐานอื่นอย่างกลมกลืน”
ซิลโล่งใจไปหลายเปลาะ ทำเพียงรอคอยผลการสืบสวนจากลูกน้อง
ตกดึก ล็อกกลับมายังถนนเบลลอตโต้เพื่อรายงานกับซิล
“พวกเราพบคนขับรถม้าที่รับส่งชาวยูโทเปียแล้วครับ!”
“หืม?” ซิลเผยความสนใจ
ล็อกเล่าต่อไป
“ชาวยูโทเปียที่ชื่อไบลส์ เดิมทีเขาขอให้คนรับรถม้าไปส่งที่ท่าเรือ แต่เมื่อรถม้าแล่นไปถึงละแวกใกล้เคียงปลายทาง เขาขอลงกะทันหันและบอกว่าถึงจุดหมายแล้ว… คนขับบอกว่าไม่คุ้นถนนเส้นดังกล่าวเลยสักนิด เขารู้สึกเหมือนกับหลงทาง… แต่เมื่อออกจากถนนเส้นนั้นได้ เขาก็พบว่าสภาพแวดล้อมกลับมาคุ้นเคยอีกครั้ง… คนของเราพยายามให้เขาพาไป แต่เขาบอกว่าหาเท่าไรก็ไม่พบถนนเส้นดังกล่าว”
ซิลพยักหน้าเล็กน้อย ตอบเสียงขรึม
“สอดคล้องกับรายงานเกี่ยวกับทางเข้าออกของยูโทเปีย”
“พันเอก คุณหมายถึงรายงานที่แจ้งว่า ยูโทเปียสามารถเข้าออกจากถนนเส้นใดก็ได้?” ล็อกถามด้วยความทึ่ง
ซิลครุ่นคิดสักพัก
“สำหรับตอนนี้ ให้คิดว่าเป็นแบบนั้นไปก่อน แต่ฉันรู้สึกว่ายังมีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล… อา… ยูโทเปียเชื่อมต่อกับถนนเส้นต่างๆ ด้วยวิธีใด แล้วพวกเราต้องเริ่มสืบจากจุดไหน…”
เมื่อสิ้นเสียง ซิลกล่าวกับล็อก
“ไปบอกกับเวนเดลล์ว่า เขาต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสองสัปดาห์ จนกว่าเอกสารจะหมดอายุ”
“ครับ พันเอก” ล็อกหมุนตัวกลับและเดินออกจากห้องทำงานของซิล
เวนเดลล์ไม่คิดคัดค้านคำสั่งของพันเอกเดียร์ชา อาจกล่าวได้ว่า มันรู้สึกปลอดภัยกว่าหากได้อยู่ในความคุ้มครองของสำนักงานใหญ่ MI9
ที่พักชั่วคราวของมันถูกดัดแปลงจากห้องเวรยาม หน้าต่างมองเห็นสนามหญ้า สวนหย่อม และต้นไม้
เมื่อมองออกไป เวนเดลล์เห็นอีกาสีดำกำลังยืนบนกิ่งไม้ จ้องมองมาทางมันอย่างเงียบงัน
…
แบนชีในยามค่ำคืนมีบรรยากาศมืดสนิท บางครั้งจะได้ยินเสียงร้องจากนกทะเล อีกา หรือนกประเภทอื่น
เวอร์ดูกำลังยืนริมหน้าต่าง มองไปยังท่าเรือทรุดโทรมซึ่งขยับใกล้เข้ามา รวมถึงเมืองซึ่งกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง ภายในใจทวีความตึงเครียดอย่างมิอาจบรรยาย
หลังจากเคว้งกลางทะเลมาหลายวัน เรือที่มันโดยสารกำลังจะจอดเทียบท่าแบนชี
กัปตันแจ้งกับเวอร์ดูว่า พวกมันจะจอดรอเพียงสองชั่วโมงเท่านั้น หากเกินกว่านี้ เวอร์ดูจะถูกทิ้งไว้บนเกาะร้างและต้องรอโดยสารเรือลำถัดไปเพื่อเดินทางกลับ และไม่มีใครทราบว่าเรือลำถัดไปจะมาถึงเมื่อไร
หายใจเข้าออกสักพัก เวอร์ดูดึงสายตากลับ ถอดเสื้อคลุมออก
ถัดมา มันเปิดกระเป๋าเดินทาง หยิบชุดคลุมสีดำทรงโบราณออกมาสวม
ผิวเสื้อคลุมปักด้วยด้ายสีทอง เลี่ยมอัญมณีขนาดเท่าเม็ดข้าวไว้หลายจุด เป็นหนึ่งในสมบัติวิเศษของตระกูลอับราฮัม
หลังจากเตรียมพร้อม เวอร์ดูเดินลงจากเรือโจรสลัดไปยังท่าแบนชี
ระหว่างทาง ชุดคลุมทรงโบราณทวีความรัดแน่น ส่งผลให้ใบหน้าของมันเริ่มม่วงคล้ำและใกล้จะหมดสติ
เวอร์ดูเดินและเดิน จนกระทั่งมาถึงสำนักงานโทรเลขเก่าซึ่งระบุไว้ในแผนที่ที่ซื้อมา ด้านใน มันได้พบรอยเลือดสีแดงสดสองแห่งใจกลางซากอาคารพังถล่ม ดูคล้ายกับคนสองคนถูกบดเป็นซอสเนื้อ
ถัดจากรอยเลือดทั้งสอง บนซากกำแพงที่แตกหัก มันเห็นภาพวาดสัตว์ประหลาดหัวปลาหมึกสวมชุดเกราะ กำลังเดินบนเกลียวคลื่นและถือหอกสามง่าม
เวอร์ดูยกตะเกียงในมือขึ้น เตรียมสำรวจอย่างใกล้ชิด แต่ทันใดนั้น มันรู้สึกว่ามีของเหลวเย็นๆ หยดใส่ลำคอ
มันตกใจจนรีบเอื้อมมือไปสัมผัสตามสัญชาตญาณ และพบว่าของเหลวดังกล่าวมีลักษณะเหนียว ไม่เหมือนกับน้ำฝน ไม่มีสี ไม่ใช่เลือด
เหมือนกับน้ำลาย… หน้าผากเวอร์ดูกระตุกแผ่วเบา มันเงยศีรษะขึ้นเชื่องช้า จ้องมองจุดที่ของเหลวหยดลงมา
ด้านบนมีเพียงผืนฟ้าสีดำอันมืดมิด ปราศจากดวงจันทร์และดวงดาว
……………………………