ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ - ราชันเร้นลับ 1392 : วันวานไม่ย้อนกลับมา
- Home
- ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ
- ราชันเร้นลับ 1392 : วันวานไม่ย้อนกลับมา
สติของเลียวนาร์ดกลับมายังโลกความจริงภายในห้องถัดจากวิหารรัตติกาลประจำไบลัมตะวันออก
มันเงียบไปหลายวินาที ก่อนจะหยิบกาแฟเย็นชืดด้านหน้าขึ้นมาจิบอย่างละเมียดละไม
รสขมเติมเต็มในช่องปาก สติของมันค่อยๆ ตื่นตัวอย่างเชื่องช้า
“ตาแก่ วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ท้ายที่สุด เลียวนาร์ดอดไม่ได้ที่จะถาม
เงียบงันสักพัก พาลีส·โซโรอาสเตอร์ตอบด้วยอารมณ์หลากหลาย
“ข้อผิดพลาดร่วงหล่นแล้ว”
ข้อผิดพลาด… เลียวนาร์ดเกือบนึกไม่ออกว่าข้อผิดพลาดที่ชายชรากล่าวถึงเป็นใคร
วินาทีถัดมา มันมิอาจเก็บซ่อนความประหลาดใจ เกือบลืมแม้กระทั่งการหรี่เสียงขณะถาม
“อามุนด์?”
นี่คือเทพแท้จริงตามหลักสามัญสำนึก!
“อืม” เสียงของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ฟังดูชรากว่าปรกติ “ระบุให้ชัดเจนก็คือ ร่างต้นของอามุนด์ร่วงหล่น”
เลียวนาร์ดไม่มีกะจิตกะใจจะจำแนกรายละเอียดในคำพูดอีกฝ่าย เพียงถามอย่างไม่เชื่อหู
“เป็นไปได้ยังไง… ไม่มีสัญญาณอะไรเลยสักอย่าง”
ก่อนหน้านี้ มันเคยเห็นความผิดปรกติทั้งก่อนและหลังการร่วงหล่นของเทพสงคราม ทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบไปทั่วโลก แถมยังทำให้เกิดสัตว์วิเศษ สัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ และเขตอันตรายจำนวนมาก
แต่เมื่อครู่ ความผิดปรกติมีเพียงสองเรื่อง:
ประตูและหน้าต่างปิดตัวเอง; และคล้ายกับตนหลงลืมในบางสิ่ง
อย่างหลังสามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันของทุกคน ซึ่งก็ไม่ได้แปลกขนาดนั้น
พาลีส·โซโรอาสเตอร์ลดเสียง
“เขาน่าจะร่วงหล่นภายในปราสาทต้นกำเนิด”
ในปราสาทต้นกำเนิด? เลียวนาร์ดตกตะลึง
สถานที่ที่ตนเพิ่งเข้าร่วมชุมนุมเมื่อครู่ก็คือปราสาทต้นกำเนิด!
เคยมีสงครามทวยเทพเกิดขึ้นที่นั่น? อามุนด์บุกรุกปราสาทต้นกำเนิดสำเร็จ? ท่ามกลางกระแสความคิด สีหน้าเลียวนาร์ดค่อยๆ เคร่งขรึม
“ตาแก่ นั่นคือเหตุผลที่มิสเตอร์ฟูลบาดเจ็บและต้องหลับใหลหรือ”
“เขากำลังจะหลับใหล?” พาลีสถามกลับ
น้ำเสียงคล้ายกับไม่ได้ประหลาดใจมากนัก
เลียวนาร์ดอืมในลำคอ
“เขาเรียกชุมนุมด่วนด้วยเหตุผลดังกล่าว”
พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบไปหลายวินาที
“การตัดสินใจหลับใหลของพระองค์เกี่ยวข้องกับศึกระหว่างเทพเมื่อครู่จริง และเป็นผลมาจากการบุกรุกของอามุนด์ แต่เหตุผลสำคัญมิใช่เพราะได้รับบาดเจ็บ หากแต่เป็นเพราะถูกกัดกร่อน”
“กัดกร่อน?” เลียวนาร์ดโพล่งด้วยความประหลาดใจ
ในระดับของมิสเตอร์ฟูล ยังมีการกัดกร่อนใดที่ขจัดไม่ออกด้วยหรือ?
พาลีส·โซโรอาสเตอร์กลับมาใช้น้ำเสียงเดิม
“ทุกสิ่งมีความเป็นเทพอยู่ในตัว ผู้ที่พึ่งพาความเป็นเทพเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่ง จะไม่มีวันหลุดพ้นจากพันธนาการของความเป็นเทพ… เรื่องนี้เกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเจ้า ข้า หรือแม้กระทั่งเดอะฟูล… อา บางทีพวกเราควรเลิกเรียกพระองค์ว่าเดอะฟูล ตัวท่านในปัจจุบันมีสถานะเทียบเท่าครึ่งราชันเร้นลับ”
ราชันเร้นลับ… เลียวนาร์ดนั้นมีความรู้เกี่ยวกับตราประทับทางจิตในตะกอนพลังมากกว่าครึ่งเทพระดับเดียวกัน แต่องค์ความรู้ของมันยังคงมีจุดบอดในเนื้อหาระดับสูงที่อาจนำมาซึ่งการกัดกร่อน ดังนั้นแม้จะเคยได้ยินชายชราเอ่ยถึง ‘ราชันเร้นลับ’ มาก่อน แต่มันก็ไม่เคยเข้าใจความหมายของคำดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน เลียวนาร์ดสามารถยืนยันได้ว่า มิสเตอร์ฟูลได้ก้าวข้ามลำดับ 0 ไปแล้วและสามารถปลิดชีพเทพแท้จริงได้ง่ายดาย เป็นข้อมูลที่อ้างอิงจากปากพระองค์เองในการชุมนุม และได้รับการยืนยันซ้ำโดยชายชรา
เลียวนาร์ดฉลาดพอที่จะไม่ถามซักไซ้ เพียงเปลี่ยนกลับมายังประเด็นเดิมด้วยเสียงต่ำ
“ตาแก่ แล้วทำไมไคลน์ถึงต้องหลับใหลตามไปด้วย? มีวิธีปลุกให้ตื่นเร็วๆ ไหม?”
น้ำเสียงของพาลีสเผยความประหลาดใจ
“นี่เป็นเรื่องในระดับทวยเทพ เทวทูตที่แก่ชราและอ่อนแออย่างข้าจะทราบได้เช่นไร? สำหรับวิธีการปลุก กระทั่งเดอะฟูลก็ยังไม่มีทางออก แล้วนับประสาอะไรกับข้า?”
เลียวนาร์ดเงียบไปสักพัก หยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบอีกหนึ่งครั้ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง มันลังเลเล็กน้อยก่อนจะถาม
“ตาแก่ คุณสามารถขโมยความสามารถพิเศษของคนอื่นได้ไหม”
พาลีส·โซโรอาสเตอร์พ่นลมหายใจ
“คำว่า ‘ความสามารถพิเศษ’ เป็นนิยามที่กว้างเกินไป เมื่อจำแนกประเภทไม่ได้ ย่อมขโมยไม่ได้… แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด นั่นยังพอเป็นไปได้”
“…ช่างมัน” เลียวนาร์ดตัดสินใจไม่ขโมยพรสวรรค์ของคนอื่นเพื่อช่วยให้ตนบรรลุภารกิจที่ค่อนข้างมาก
พาลีส·โซโรอาสเตอร์เสริมกึ่งขำ
“หากเจ้ามองว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ดี จงลองมองหาคนยากจนที่มีพรสวรรค์ตามที่เจ้าต้องการและยื่นข้อแลกเปลี่ยน จ่ายให้เงินเขาเพื่อแลกกับการสูญเสียพรสวรรค์”
“ฟังดูเหมือนกับ… ขายวิญญาณให้ปีศาจ” เลียวนาร์ดแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา
พาลีส·โซโรอาสเตอร์หัวเราะแห้ง
“มีวิธีที่ง่ายกว่านั้น จ้างคนที่มีพรสวรรค์มาช่วยเจ้าทำงานที่ต้องการ”
“…ตาแก่ ทำไมถึงไม่รีบบอกให้เร็วกว่านี้?” เลียวนาร์ดมองเห็นแสงแห่งความหวังทันที
พาลีสหัวเราะในคอ
“เรื่องง่ายๆ แบบนี้คิดเองไม่เป็นหรือ? ข้านึกว่าเจ้าตัดตัวเลือกนี้ออกไปก่อนจะถาม”
เลียวนาร์ดไม่สนใจคำเย้ยหยันของชายชรา เพียงครุ่นคิดอย่างจริงจังเพื่อค้นหาวิธีที่เป็นไปได้
แต่เพียงไม่นาน มันเริ่มรู้สึกผิดและกระอักกระอ่วน ราวกับตนพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ
ในเรื่องแบบนี้ เราควรทำด้วยตัวเอง… แทนที่จะขอให้คนอื่นช่วยเขียนกวีแทน เราต้องเขียนขึ้นมาเอง… คิดถึงตรงนี้ เลียวนาร์ดลุกขึ้นยืนทันทีและเดินไปทางประตู
“เจ้าจะไปไหน?” พาลีสถามด้วยความประหลาดใจเล็กๆ
เลียวนาร์ดขมวดคิ้ว กล่าวหนักแน่น
“ไปร้านหนังสือใกล้ๆ เพื่อซื้อหนังสือรวมบทกวี”
นับตั้งแต่เลื่อนลำดับเป็น ‘ฝันร้าย’ เลียวนาร์ดก็เลิกสนใจหนังสือบทกวีที่เคยซื้อเก็บไว้ในอดีต ปล่อยให้พวกมันเป็นเพียงของแต่งบ้าน แต่เมื่อกลายเป็นจอมอาคมวิญญาณ มันเริ่มกลับมาสะสมบทกวีเกี่ยวกับวิญญาณเพื่อค้นหาอันที่เหมาะสมสำหรับการ ‘ร่าย’ ระหว่างต่อสู้ สร้างผลลัพธ์เหนือธรรมชาติที่มีประโยชน์กับตัวเอง
แต่เมื่อเดินทางมายังทวีปใต้ เลียวนาร์ดมิได้หยิบหนังสือบทกวีติดตัวมาเลย จำได้เพียงสองสามบทที่ท่องบ่อยในอดีต
ช่างน่าขัน ทั้งที่เป็นอาวุโสใหญ่แล้ว เรากลับยังต้องเข้าร้านขายหนังสือกวี… เลียวนาร์ดถอนหายใจเงียบ ย่างก้าวเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น
พาลีส·โซโรอาสเตอร์ที่ไม่เข้าใจว่า เลียวนาร์ดจะซื้อหนังสือรวมบทกวีไปทำไม ถามหลังจากผ่านไปสักพัก:
“นี่คือคำสั่งของเดอะฟูล?”
“ใช่ เพื่อทำให้ตำนานในบางเรื่องโด่งดัง” เลียวนาร์ดตอบเรียบง่ายขณะเปิดประตู
พาลีสเงียบไปอีกครั้งก่อนจะพูด
“นอกจากการเขียนกวี เจ้ายังต้องเพิ่มความใส่ใจในภารกิจล้อมโจมตีและกำราบโรงเรียนกุหลาบ”
เลียวนาร์ดเดินไปตามบันไดจนกระทั่งเข้าสู่ถนน เหลียวซ้ายแลขวามองคนเดินถนนพลางพยักหน้ารับอ่อนโยน
“อา”
ขณะเดินไปที่ร้านหนังสือ มันรู้สึกประหนึ่งได้กลับไปอยู่ทิงเก็นอีกครั้ง เป็นช่วงเวลาสมัยยังเป็น ‘นักกวีเที่ยงคืน’ ตอนนั้นเลียวนาร์ดก็ต้องเดินฝ่าถนนพลุกพล่านเช่นนี้เพื่อไปซื้อ ‘กวีนิพนธ์โลเอ็นโบราณ’ และ ‘รวมบทกวีดังของโรซายล์’
…
กรุงเบ็คลันด์ วิหารฤดูเก็บเกี่ยว ย่านทิศใต้ของสะพาน
หลังจากเอ็มลิน·ไวท์ได้สติกลับมา มันพบว่าตนกำลังยืนหน้าหน้าต่าง
ด้านนอก ดวงอาทิตย์ส่องแสงสลัว ดอกไม้พืชพรรณกำลังผลิบาน
สำหรับการหลับใหลของมิสเตอร์ฟูล เอ็มลินมีความรู้สึกแตกต่างจากชาวชุมนุมทาโรต์คนอื่นเล็กน้อย
กล่าวคือ นอกเหนือจากความรู้สึกหน่วง ใจหาย เศร้า และสับสน มันสัมผัสได้ว่าอนาคตจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น
ภายในตระกูลผีดูดเลือด มาร์ควิสและเอิร์ลบางตนค่อนข้างแก่ชรา แม้อายุขัยที่เหลือจะมากกว่าเหล่าครึ่งเทพในระดับเดียวกันหลายเท่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นช่วงบั้นปลาย ในสถานการณ์ดังกล่าว พวกมันเลือกที่จะหลับใหลเพื่อยืดอายุขัยออกไป และผลลัพธ์ก็ค่อนข้างดี
ดังนั้น วิธีแก้ปัญหาด้วยการนอนไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเอ็มลิน มันเชื่อว่าสถานะดังกล่าวยังห่างไกลจากความตายหรือร่วงหล่น หากค้นพบวิธีการที่ถูกต้อง มิสเตอร์ฟูลก็สามารถตื่นขึ้นได้อีกครั้ง
จ้องมองฉากด้านนอกหน้าต่าง เอ็มลินครุ่นคิดกับตัวเอง
“มิสเตอร์ฟูลหลับใหลไปแล้ว และวิวรณ์จากท่านต้นตระกูลก็มักถูกรบกวน พระองค์คงให้ความช่วยเหลือเราได้ไม่บ่อยครั้งนัก…”
จมอยู่กับความเงียบงันสักพัก เอ็มลินถอนหายใจ
อย่างที่คิด ในท้ายที่สุด เราต้องเผชิญหน้าและแบกรับมันด้วยตัวเอง…
นี่คือชะตากรรมของผู้กอบกู้…
เมื่อกล่าวถึงคำว่า ‘ผู้กอบกู้’ เอ็มลินเผยรอยยิ้มจิกกัดตัวเอง
จากนั้น มันทวนคำภายในใจ:
เราต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น
ขณะความคิดดังกล่าวแล่นผ่าน เสียงของหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ดังมาจากด้านหลัง:
“ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว”
เอ็มลินหันหลังกลับและพบนักบวชในชุดคลุมสีน้ำตาลที่สะพายดาบยักษ์ไว้ด้านหลัง
ดาบยักษ์ยาวกว่าความสูงของเอ็มลิน และกว้างเกือบเท่าเอวของเอ็มลิน
ผนวกกับร่างกายใหญ่โตของหลวงพ่อ บรรยากาศคุกคามดูน่าสะพรึงราวกับของจริง
ในฐานะเอิร์ลผีดูดเลือด เอ็มลินผงะเล็กน้อยก่อนจะกลับเป็นปรกติ ขานรับอย่างอ่อนโยน
“ตกลง”
ในวันนี้ พวกมันจะออกเดินทางไปยังทวีปใต้เพื่อเข้าร่วมภารกิจล้อมโจมตีโรงเรียนกุหลาบ
ขานตอบเสร็จ เอ็มลินฉุกคิดบางสิ่ง จึงรีบเสริม
“รออีกครึ่งวัน”
มันต้องการเรียกประชุมผีดูดเลือดทั่วกรุงเบ็คลันด์เป็นการด่วน เพื่อปรึกษาหารือเบื้องต้นเกี่ยวกับการก่อตั้งบริษัทยา
บิชอปยูทรอฟสกี้ไม่ถามสิ่งใด เพียงพยักหน้ารับ:
“กลับมาหาผมเมื่อพร้อม”
เอ็มลินจ้องมองแผ่นหลังของหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ที่เดินเข้าไปในส่วนลึกของวิหาร จากนั้นก็หันกลับมายังเหล่าผีดูดเลือดที่จะติดตามตนไปยังทวีปใต้ด้วยกัน
“เรียกประชุมผีดูดเลือดทุกตนในเบ็คลันด์เป็นการด่วน ข้าต้องการหารือบางสิ่ง”
“ขอรับ ท่านเอิร์ล” ผีดูดเลือดตอบสนองอย่างนอบน้อม
เมื่อพวกมันแยกย้าย เอ็มลินมองกลับไปด้านหลังและพบกับตราศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตภายในวิหาร – เป็นภาพของทารกที่ถูกวาดอย่างเรียบง่าย รายล้อมไปด้วยสัญลักษณ์อย่างรวงข้าว ดอกไม้ และน้ำพุ
นั่นทำให้เอ็มลินเข้าสู่ภวังค์ทันที
มันจำไม่ได้แล้วว่า ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ตนใช้เวลาในห้องนอนน้อยลง เล่นกับตุ๊กตาน้อยลง หรือแม้กระทั่งงานอดิเรกอย่างการศึกษาประวัติศาสตร์ก็ยังทำด้วยความจริงจังและหวังผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นปุบปับ แต่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงอย่างเชื่องช้าในแต่ละวัน เดือนแล้วเดือนเล่า และเมื่อเอ็มลินฉุกคิดได้ มันก็คุ้นชินกับชีวิตใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว
เอ็มลินถอนสายตากลับ เชิดคางเล็กน้อย ส่ายหน้าอย่างโอหัง:
“นี่คือชะตากรรมของผู้กอบกู้…”
………………………………………………………