ราชาซากศพ - บทที่ 114 สถานศึกษาเทียนหยู
บทที่ 114
สถานศึกษาเทียนหยู
“เยี่ยม เป็นเพราะน้องชายพูดแบบนั้น งั้นพวกข้าก็ยินดีรับ เถ้าแก่ยกอาหารมาที….ตามด้วยเหล้าอีกสองขวด” เมื่อชายทั้งสองได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ดวงตาของพวกเขาก็สว่างขึ้น และกล่าวโดยปราศจากความเกรงใจใด ๆ
“ไม่เป็นไร….ค่าอาหาร และเหล้า ข้าจะเป็นคนจ่ายเอง” เมื่อหลินเว่ยพูดจบ เขาก็สอดมือเข้าไปในอ้อมแขน และแสร้งทำเป็นหยิบถุงเงินออกมาจากแขนของเขา ซึ่งมีเหรียญทองมากกว่า 20 เหรียญ และกลิ้งลงไปบนโต๊ะ
“เงินมากเกินไปแล้ว สำหรับอาหารมื้อนี้ เพียงสองเหรียญทองก็พอ” เมื่อเห็นหลินเว่ยควักเงินจำนวนมากในคราวเดียว ทั้งสองคนก็ตกใจและเริ่มพูดคุยกับหลินเว่ยอย่างรวดเร็ว ความแข็งแกร่งของพวกเขาอยู่ในระดับนักดาบเท่านั้น
พวกเขาคิดว่า ตนเองนั้นมีพละกำลังมากกว่าหลินเว่ย แต่ในสายตาของหลินเว่ย พวกเขาไม่ควรค่าแก่การชายตาแล
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สนใจ แต่หลินเว่ยแสร้งเป็นเพียงคนบ้านนอกที่มาจากชนบท ดังนั้นพวกเขาจึงนำเงินคืนให้หลินเว่ย และเหลือเพียงเหรียญทองห้าเหรียญ เพื่อใช้ค่าอาหารและเหล้า
“นายน้อยผู้ร่ำรวย” สภาพของหลินเว่ยนั้น ตกอยู่ในสายตาของเจ้าของร้าน โดยธรรมชาติ เมื่อรู้ว่าเขาเป็นนายน้อยที่ร่ำรวย เถ้าแก่จึงลุกขึ้นมาและยกอาหารนำมาให้ ละลานตาเต็มไปหมด เป็นส่งผลให้โต๊ะของหลินเว่ย เบื้องหน้าเขา เต็มไปด้วยอาหารและเหล้าทุกชนิด
ในเสี้ยววินาที เถ้าแก่คิดว่าเขาต้องได้เหรียญทองทั้งห้าที่หลินเว่ยนำออกมาแน่นอน
“พี่ชายสองคน..ท่านช่วยไขข้อสงสัยของข้าตอนนี้ได้หรือไม่” หลินเว่ยรินเหล้าให้ทั้งสองคน แล้วพูดขึ้น
“แน่นอน เรามาพูดไปกินไปเถอะ น้องชายของข้าใช้เงินมหาศาลขนาดนี้ ข้าไม่ใจร้ายที่ไม่ยอมปริปาก” ชายผู้แข็งแกร่งพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นชายทั้งสองก็มองหน้ากัน และชายผู้แข็งแกร่งก็พูดว่า ” เรื่องทั้งหลาย ข้าจะเป็นคนเล่าให้ฟังเอง!”
แต่สหายของเขานั้นส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ เขารู้จักชายผู้แข็งแกร่งเป็นอย่างดี เขาเป็นคนพูดมาก ในความเป็นจริง หากหลินเว่ยไม่ได้ชวนให้กิน เขาต้องนั่งรอชายผู้แข็งแกร่งเล่าเรื่องจนแสบท้องแน่นอน
หลินเว่ยพยักหน้าและมีท่าทีสนอกสนใจ
“อันที่จริง! ในอาณาจักรเฟิ่งหยูของเรา มีสถานศึกษาชั้นนำอยู่สามแห่ง ได้แก่ สถานศึกษาราชวงศ์เฟิ่งหยูู, สถานศึกษาตระกูลขุนนางหลานหลิง และสถานศึกษาเทียนหยู
เมื่อชายผู้แข็งแกร่งพูดได้เพียงเท่านี้ เขาก็หยุดและคว้าชามเหล้าขึ้นมาจิบ จากนั้นเขากล่าวต่อว่า: “สถานศึกษาระดับสูงสามแห่งโดยสถานศึกษาราชวงศ์เฟิ่งหยูู ถูกจัดตั้งขึ้นโดยราชวงศ์ขององค์จักรพรรดิ โดยมีเหล่าปรมาจารย์คอยสั่งสอนและอำนวยความสะดวกทุกด้าน อย่างไรก็ตามมีเพียงบุตรหลานของตระกูลชั้นนำเท่านั้นที่สามารถเข้าศึกษาที่นั่นได้ อย่างไรก็ตามสถานศึกษาตระกูลขุนนางหลานหลิงเองก็เช่นกัน พวกเขาจะเปิดรับเพียงตระกูลชนชั้นสูงเท่านั้น คนธรรมดาอย่างพวกเรานั้นย่อมถูกปฏิเสธ ”
หลินเว่ยช่วยรินเหล้าและถามขึ้นว่า “แล้วสถานศึกษาเทียนหยูล่ะ?”
สำหรับการรินเหล้าของหลินเว่ย ทำให้ชายผู้แข็งแกร่งพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดต่อว่า:
“สถานศึกษาเทียนหยูนี้! อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรกฎข้อห้าม ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์หรือสามัญชน
พวกเขาก็จะไม่ปฏิเสธผู้ที่จะเข้าศึกษา หากว่าพวกเขาสามารถผ่านการทดสอบ พวกเขาสามารถไปศึกษาที่สถานศึกษาได้ สถานที่แห่งนี้นับว่าเป็นมิตรของศิษย์ภายนอก ”
“เป็นอย่างนั้นนี่เอง!” เมื่อได้ยินเช่นนี้หลินเว่ยก็พยักหน้าอย่างชัดเจน หลังจากเข้าใจเรื่องนี้ เขาก็หมดความสนใจที่จะพูดคุยอีกต่อไป เพราะเขาไม่จำเป็นต้องไปที่สถานศึกษาใด ๆ เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งตามธรรมชาติของเขา
ตราบเท่าที่แก่นคริสตัล สามารถช่วยเขาเลื่อนระดับความแข็งแกร่งได้ เขาวางแผนที่จะเปลี่ยนหัวข้อและถามเกี่ยวกับข้อมูลอื่น ๆ
“อันที่จริง! เหตุผลที่สถานศึกษาเทียนหยูเป็นหนึ่งในสามของสถานศึกษาที่สำคัญ เป็นเพราะปรมาจารย์จิตวิญญาณขั้นจักรพรรดิ หลาย ๆ คนนั้นจบการศึกษาจากสถานศึกษาทุกปี มากกว่าสถานศึกษาอื่น ๆ อีกสองแห่ง ข้าเคยได้ยินคนอื่นพูดแบบนั้น!
สถานศึกษาเทียนหยูแห่งนี้มีวิธีปรับปรุงความแข็งแกร่งทางจิตใจให้แข็งแกร่งด้วยความรวดเร็ว” ชายผู้แข็งแกร่งกล่าวอย่างมีเลศนัย
“ปรับปรุงพลังจิตอย่างรวดเร็ว?” เมื่อได้ยินคำพูดของชายที่แข็งแกร่ง ใบหน้าของหลินเว่ยก็ตกตะลึงและถามอย่างรีบร้อน
“ใช่! ไม่เช่นนั้น…จะสามารถอบรมสั่งสอนปรมาจารย์จิตวิญญาณในเมืองหลวงจำนวนมากได้อย่างไร?
และมีเพียงผู้ที่มีระดับจิตวิญญาณสูงกว่าเท่านั้น ที่สามารถร้องขอการจบการศึกษาได้!
ความแข็งแกร่งนั้นจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าขุนศึกขั้นห้าแน่นอน” ชายคนนั้นกล่าวด้วยความอิจฉา
“ดูเหมือนว่าสถานศึกษาเทียนหยูนั้นเป็นที่ที่น่าสนใจ แม้จะเป็นเพียงการฝึกฝนพลังจิตวิญญาณเท่านั้น แม้ว่าผลจะออกมาดี แต่ก็ต้องใช้เวลาและพลังงานมากมายเช่นกัน” หลังจากฟังคำพูดของชายผู้แข็งแกร่ง หลินเว่ยก็ขบคิดในใจ
สำหรับเขาแล้ว การเร่งฝึกฝนพลังจิตวิญญาณคือเรื่องเร่งด่วน เนื่องจากเกี่ยวพันถึงการเลื่อนระดับของทักษะคืนชีพของโครงกระดูก ถ้าเขาต้องการที่จะอัญเชิญโครงกระดูกขั้นแปด เขาจะต้องฝึกฝนพลังจิตวิญญาณ
หากพลังจิตวิญญาณของหลินเว่ยยังคงแน่นิ่งอยู่ที่เดิม แม้แต่สัตว์อสูรขั้นแปดเอง ก็ไม่สามารถเรียกออกมาได้”
“พี่ชาย…..ข้อกำหนดในการเข้าสถานศึกษาเทียนหยูคืออะไร?” หลังจากตัดสินใจแล้ว หลินเว่ยยังคงถามชายที่แข็งแกร่ง เกี่ยวกับสถานศึกษาเทียนหยู
“ในการเข้าเรียนที่สถานศึกษาเทียนหยู เจ้าต้องผ่านการทดสอบหลายครั้ง ข้ารู้เพียงเรื่องพื้นฐานที่สุด นั่นคืออายุไม่เกินสิบหกปี ในส่วนที่เหลือ ข้าไม่แน่ชัดในเรื่องนี้ คุณสมบัติของข้าไม่ค่อยดี และข้าเองก็ไม่เคยได้เข้าไปที่นั่น ” ชายผู้แข็งแกร่งขมวดคิ้ว
และครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็เขาก็เกาหัวของเขา และพูดถึงความเชี่ยวชาญที่ไม่ค่อยดีเท่าไรของเขา ไร้ซึ่งความอับอายบนใบหน้า
“อายุต่ำกว่าสิบหกปี….ไม่เลว!” หลังจากได้ยินคำพูดของชายที่แข็งแกร่ง หลินเว่ยพยักหน้าและพึมพำกับตัวเอง
“อะไรนะ?” ชายผู้แข็งแกร่งถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร…พี่ชายสถานศึกษาเทียนหยูอยู่ที่ใดกัน หลินเว่ยส่ายหัวและถามต่อ
“สถานศึกษาเทียนหยูตั้งอยู่ในเมืองหลวง รวมทั้งสถานศึกษาอีกสองแห่ง ไม่มีปัญหาเรื่องความขุ่นเคืองในการคัดเลือกศิษย์ เนื่องจากการลงรายชื่อนั้น มีช่วงเวลาที่แตกต่างกัน” สหายของชายผู้แข็งแกร่งนั่งกินอาหารของหลินเว่ยอย่างมีสติ และตอบคำถามของหลินเว่ย
เขารีบอ้าปากพูด…ก่อนที่ชายผู้แข็งแกร่งจะอ้าปาก
“ใช่…สถานศึกษาทั้งสามแห่งนี้มีชื่อเสียงมาก ตราบใดที่เจ้าสามารถค้นพบสถานที่แห่งนั้น หากเจ้าต้องการเข้าศึกษาก็ควรรีบไป แม้ว่าเวลาในการรับสมัครจะไม่ต่ำกว่าหนึ่งเดือน แต่ก็คาดว่าจะใช้เวลากว่าครึ่งเดือน เพื่อไปยังเมืองหลวง และเจ้าสามารถว่าจ้างรถลากสัตว์อสูรได้ แม้ว่าเราจะสามารถเดินทางโดยสัตว์อสูรบินก็ตาม ถ้าล่าช้าเจ้าอาจจะเข้าลงรายชื่อไม่ทัน “เมื่อเห็นว่าสหายของเขา แย่งชิงอธิบายแทนตนเอง ชายผู้แข็งแกร่งไม่ได้รู้สึกรำคาญใจ แต่กลับอธิบายเพิ่มเติม
“ขอบคุณพี่ชายทั้งสอง ข้าจะรีบกลับไปเตรียมตัวที่เมืองหลวงโดยเร็วที่สุด” เมื่อได้ยินคำพูดของชายที่แข็งแกร่ง หลินเว่ยรู้ว่าอีกฝ่ายเดาได้แล้วว่าเขาจะไปเข้าคัดเลือกที่สถานศึกษาแน่นอน หลินเว่ยจึงเอ่ยตามตรงไม่ปิดบัง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและกล่าวคำอำลา ก่อนจากไป เขาวางถุงเงินไว้บนโต๊ะ และหันหน้าออกจากโรงเตี๊ยม ภายใต้คำขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าของอีกฝ่าย