ราชาซากศพ - บทที่ 139 ปล้นชิงซึ่งหน้า
บทที่ 139
ปล้นชิงซึ่งหน้า
“เอาล่ะ ….ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะไม่รั้งเจ้าไว้ แต่ข้าจะให้คนทำความสะอาดห้องของเจ้าเป็นประจำ เมื่อเจ้ามีเวลา เจ้าสามารถจะมาพักสักสองสามวัน และข้าจะเลี้ยงดูปูเสื่อเจ้าเป็นอย่างดี”
เมื่อหลงเถิงได้ยินคำพูดของหลงม่อ เขาก็ไม่รั้ง หลินเว่ยให้อยู่ต่อ แค่เมื่อหลินเว่ยมีเวลาว่างก็เดินทางมาที่นี่ได้
“ท่านลุงหลง……หลินเว่ยเอ่ยเรียกหลงเถิงและกล่าวอย่างไม่แน่ใจ พลางขมวดคิ้ว
“หลินเว่ย…..เอาล่ะ ปล่อยให้เขาทำไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจไป อยากมาที่นี่เมื่อไรก็ได้ ถ้าเขาไม่ให้เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะตีขาเขาให้หัก.” หลงม่อพูดอย่างเอาแต่ใจ
“ …… !ฮ่าฮ่าๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหลงม่อ ริมฝีปากของหลงเถิงก็กระตุกไม่หยุด อย่างไรก็ตามหลงม่อนั้นหัวเราะอย่างมีความสุข
“อืม! เจ้าหนู…ต้องระมัดระวังอยู่เสมอ หลงเถิงกล่าวร่ำลาหลินเว่ย จากนั้นหลินเว่ยจึงตอบกลับมาว่า ท่านลุงเองก็เช่นกัน” จากนั้นหลินเว่ยก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มและแสดงความเคารพ
“ไปเถอะ……หลงม่อโบกมือและกล่าวบอกหลินเว่ย
หลินเว่ยพยักหน้าหันหลังกลับและออกไปโดยไม่กล่าวลา จากนั้นเขาก็หลบออกจากจวนเจ้าเมืองเป่ยเฟิง จากนั้นเขาก็ปะปนกับฝูงชนและหนีออกจากเมืองเป่ยเฟิง
ครึ่งเดือนต่อมา หลินเว่ยปรากฏตัวอีกครั้ง นอกสถานศึกษาเทียนหยู ในร่างที่เต็มไปด้วยฝุ่นโคลน แม้ว่าเสี่ยวเฟยจะสามารถพาเขาไปที่สถานศึกษาโดยตรงอย่างสะดวกสบาย เพื่อลดปัญหาที่ไม่จำเป็น หลินเว่ยเลือกพื้นดินว่างเปล่าเพื่อลงจากหลังของเสี่ยวเฟย จากนั้นก็เก็บเสี่ยวเฟยเข้าไปในแหวนเวท และวิ่งไปที่สถานศึกษาอย่างรวดเร็ว
“เด็กคนนี้….ช่างอดทนเหลือเกิน”
ท่าทางการเดินเข้ามาของหลินเว่ย ตกอยู่ในสายตาของบุคคลที่ชื่อว่าเป็นรองผู้นำสถานศึกษาปรมาจารย์เฉียน
เมื่อเขากลับมาที่ลานชั้นใน หลินเว่ยเดินตรงไปที่ห้องโถงกงเต๋อ และพบว่าหวังฉีนั่งรอ อีกฝ่ายมีความสุขมากที่เห็น หลินเว่ยกลับมาอย่างปลอดภัย เขาจึงสั่งยุติงานที่ทำอยู่ในมือทันที
“ศิษย์พี่อาวุโส!” หลินเว่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ดีแล้วที่เจ้ากลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่เจ้านั้นหายไปนานมากจนข้าหวั่นใจ ตอนนี้ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าสบายดี ข้าเลยวางใจ” หวังฉีมองขึ้นและลงที่หลินเว่ย และพูดอย่างมีความสุข
“ขอบคุณท่านมากสำหรับความห่วงใย ข้ามาหาท่านเพื่อส่งมอบภารกิจ ข้าต้องการให้ท่านพาข้าไปหาผู้อาวุโสหลี่และผู้อาวุโสหลิว ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะรายงานให้พวกเขารับทราบ” หลินเว่ยพูดอย่างสุภาพกับหวังฉี
จากนั้นใบหน้าของเขาก็ฉายแววจริงจัง
เมื่อเห็นการแสดงออกของหลินเว่ย หวังฉีรู้ว่าหลินเว่ยไม่ได้ล้อเล่น ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าอย่างรีบร้อน
หลี่หยุนและหลิวเฟิง ผู้อาวุโสผู้ดูแลห้องโถงกงเต๋อ นั้นอาศัยอยู่ในห้องโถงตามปกติ หลินเว่ยเดินตามหวังฉีและเข้าไปในทางเดิน จากห้องโถงไปยังด้านหลัง และเดินออกมาที่ด้านนอก พบห้องที่สร้างจากศิลาจำนวนมากมาย ในเวลานี้ประตูศิลาส่วนใหญ่ของห้องเหล่านี้ถูกเปิดออก มีเพียงห้องศิลาเพียงสองห้องเท่านั้นที่ถูกปิดสนิท
“ศิษย์น้อง! ห้องฝึกอบรมทั้งสองนี้ เป็นสถานที่ที่ผู้อาวุโสทั้งสอง ที่กำลังฝึกฝนอยู่ เจ้ารอที่นี่สักครู่ ข้าจะรายงานให้อาวุโสทราบ” หวังฉีมองไปที่หลินเว่ยและกำชับเขา เขารีบเดินอย่างรวดเร็ว ไปยังห้องศิลาประตูตะวันตกที่ปิดสนิท
จากนั้นหยิบป้ายหยกจากแขนเสื้อของเขา แล้ววางลงบนประตูซีกตะวันตก หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถอดป้ายหยกออกจากประตูตะวันตกโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็หันไปที่ประตูห้องศิลาที่ปิดสนิท และเดินไปทำท่าทางเช่นเดิมอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็เก็บป้ายหยกและกลับไปหาหลินเว่ย
“ผู้ช่วยศิษย์อาวุโส! ท่าน?” หลินเว่ยถามด้วยความงงงวย
เมื่อได้ยินคำถามของหลินเว่ย หวังฉีรู้ว่าหลินเว่ยกำลังจะถามอะไร จากนั้นเขาจึงส่ายหัวและพูดว่า “ศิษย์น้อง ข้าได้แจ้งผู้อาวุโสสองคนแล้วว่า เจ้าต้องรอสักครู่ ”
หวังฉีกล่าวว่า: “เนื่องจากไม่มีสถานที่ที่จะสื่อสารกับผู้คนภายในห้อง ดังนั้นเราจึงใช้วิธีนี้!
หลังจากนั้นไม่นาน หลินเว่ยก็เห็นว่าประตูศิลาของห้องศิลาทั้งสองเปิดออก และมีร่างสองร่างออกมาในเวลาเดียวกัน มันคือหลี่หยุนและหลิวเฟิง
“หลินเว่ย! หวังฉีส่งข้อความมาว่า” เจ้ากำลังตามหาเราทั้งสองคน มีบางอย่างที่สำคัญ ข้าจึงรีบออกมาหาเจ้า” หลี่หยุนเดินไปหาหลินเว่ย และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่หลี่หยุนพูดจบ หลิวเฟิงที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็พูดว่า “ใช่…เจ้าต้องการความช่วยเหลือจากเราทั้งสองคนหรือไม่? ขอเพียงเอ่ยออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวเฟิง หลินเว่ยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม หยิบหนังสัตว์ออกมาจากแหวนมิติ ยื่นให้หลิวเฟิง และพูดว่า “อาวุโสทั้งสองนี่คือสิ่งที่ท่านปู่….ขอให้ข้ามอบให้พวกท่าน โปรดรับไว้แล้วพวกท่านจะรู้เอง.”
“ปู่ของเจ้า?” หลิวเฟิงซ่อนความงงงวยบนใบหน้าของเขา และมองอีกฝ่ายกับหลี่หยุน จากนั้นเขาก็คลี่หนังสัตว์และเปิดดูด้วยกันทั้งสองคน
สิ่งที่ หลินเว่ยหยิบออกมา เป็นจดหมายที่เขียนโดยหลงม่อ ซึ่งอธิบายสถานการณ์ของภารกิจเป็นหลัก โดยปกติ เขาไม่ต้องการให้หลินเว่ยได้รับโทษเนื่องจากงานไม่บรรลุ ท้ายที่สุดหลินเว่ยก็เป็นหลานชายของเขา และเรื่องนี้เกี่ยวพันกันถึงลูกชายของเขา
เมื่อพวกเขาเห็นว่าจดหมายนี้ถูกเขียนโดยหลงม่อ พวกเขาก็ประหลาดใจ หลิวเฟิงยิ่งร้อนรนมากขึ้น และพูดด้วยความประหลาดใจ “ท่านผู้นำงั้นหรือ…..เป็นไปไม่ได้! เขาเป็นชายชราดูเหมือนว่าจะมีหลานสาวเพียงคนเดียว ข้าไม่เคยได้ยินมาว่าเขามีหลานชาย!
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดเจ้าไม่ได้บอกพวกเราก่อน
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวเฟิง และได้เห็นการแสดงออกของพวกเขาอีกครั้ง หลินเว่ยรู้ว่าพวกเขาคิดเหมือนกันกับ หลงเถิงในตอนแรก หลินเว่ยจึงเกาหัวและพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ: “เอ๊ะ! ผู้เฒ่าทั้งสองเข้าใจผิด ข้าเป็นหลานชายที่ท่านปู่พึ่งรับเข้ามาไม่นานมานี้”
หลังจากรู้เหตุผล หลิวเฟิงก็ยกนิ้วโป้งขึ้นทันทีและกล่าวด้วยความชื่นชม: “กลายเป็นหลานชายตัวน้อย! ข้าจะบอกเจ้า! อาวุโสหลงนี่ร้ายกาจมาก เขาเป็นคนมีความคิด และประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร รู้ว่าไม่สามารถรับเจ้าเป็นศิษย์ได้ แต่สามารถรับเจ้าเป็นญาติมิตรได้ ”
“อืม! ร้ายกาจ! ร้ายกาจจริง ๆ หลี่หยุนครุ่นคิด
“แค่ก!”เมื่อได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด ใบหน้าของหลินเว่ยก็ฉายแววแห่งความลำบากใจ หลังจากเขาแสร้งไอเล็กน้อย เขาก็พูดว่า “อาวุโสทั้งสองคนท่านคิดมากเกินไป ปู่ของข้าและอาจารย์ยังคงปฏิบัติกับข้าเหมือนเดิม เนื่องจากท่านปู่หลงเป็นพี่เขยของอาจารย์ ข้าจึงนับว่าเป็นหลานของเขา ไม่มีอะไรที่ทำผิดกฎ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย หลี่หยุนก็ขมวดคิ้วและพูดด้วยใบหน้างงงวย “ตามกฎงั้นหรือ?”
“ใช่ หลินเว่ยพยักหน้าและกล่าวขึ้น
“หลิวเฟิง…..เหตุใดข้าไม่รู้เรื่องนี้ เจ้าล่ะ?” หลี่หยุนเห็นท่าทางของหลินเว่ย เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาหันศีรษะ และมองไปที่หลิวเฟิงเขาถามด้วยความงุนงง
“ข้าเองก็ไม่รู้! ผู้นำหลงเป็นศัตรูกับอาวุโส ซางกวนฮ่าวหยางมาโดยตลอด เขาสนิทกันตั้งแต่เมื่อใดกัน?” หลิวเฟิงเกาหัวของเขาและพูด
“เป็นเรื่องจริง?” เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของหลินเว่ยก็สับสนและเขาไม่รู้ว่าเรื่องใดที่เป็นเรื่องจริงกันแน่
“แค่กๆ! มาเถอะ อาวุโสทั้งสอง เราไม่ต้องพูดถึงผู้อาวุโสหลงอีกต่อไปแล้ว มาคุยกันเกี่ยวกับภารกิจของหลินเว่ยในครั้งนี้ว่า…..เราจะทำอย่างไรดี?” หวังฉีไอสองครั้งและทำให้หลินเว่ยนั้นรอดพ้นการสืบสาวราวเรื่องได้
“ใช่….ใช่! ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้….อีกต่อไป” หลิวเฟิงพยักหน้าซ้ำ ๆ และกล่าวด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย
“อืม! มันง่ายมากที่จะจัดการภารกิจของหลินเว่ย เนื่องจากจดหมายรับรองของอาวุโสหลง เราจะเขียนรายงานพร้อมกับจดหมายจากอาวุโสหลงและส่งไปที่ส่วนกลาง” หลี่หยุนพยักหน้าและกล่าวขึ้น
“ตกลง….หวังฉีช่วยพาหลินเว่ยไปรับคะแนนหยุนหลี่กับข้า จะเอาจดหมายของอาวุโสหลงไปรายงานรองท่านผู้นำอาวุโส” หลิวเฟิงพยักหน้าและกล่าวกับหวังฉี
ขอบคุณท่านมาก หลินเว่ยกล่าวด้วยความเคารพ
“เรื่องเล็ก…. นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย เจ้าติดตามหวังฉีไป! ที่เหลือให้พวกเราสองคนจัดการ” หลิวเฟิงโบกมือและกล่าวย้ำ
หลังจากที่หลินเว่ยจากไปแล้ว หลิวเฟิงและหลี่หยุนก็ออกจากที่นี่ และไปรายงานผู้นำอาวุโส
หลังจากมอบหมายงานเสร็จแล้ว หลินเว่ยก็รับงานหลายร้อยงานในคราวเดียว หลังจากที่คัดเลือกมาแล้วอย่างถี่ถ้วนระยะเวลางานครึ่งปี และจากนั้นเขาก็ออกจากสถานศึกษาอีกครั้ง
ในเวลานี้ หลินเว่ยไม่รู้ว่า……….มีคนที่มารออยู่หน้าบ้านพักเขามาหลายวันแล้ว
“พี่สาว! ท่านควรกลับไปกับข้าก่อนดีกว่า! หากเขาไม่กลับมาเล่า ท่านจะรออย่างโง่เขลางั้นหรือ?” ซางกวนหรูผิงพูดกับหญิงสาวอีกคนที่หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ
“เรื่องนี้…!” เมื่อได้ยินคำพูดของน้องสาว ซางกวนหรูเสวี่ยก็เริ่มสั่นคลอนในใจของนาง และแสดงสีหน้าลังเล
“หรือว่า ข้าควรกลับไปก่อน สักสองสามวันข้าค่อยกลับมาใหม่! พี่สาวข้าเก็บห้องไว้ให้ท่านแล้ว! เราไม่ได้เจอกันนานแล้ว ปู่และข้าคิดถึงท่านมาก หากหลินเว่ยมาแล้วค่อยมาพบเขายังไม่สาย ซางกวนหรูผิงเอ่ยโน้มน้าวซางกวนหรูเสวี่ย จนนางเริ่มหวั่นไหวอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงเอ่ยชักชวนอีกครั้ง
“จริงเหรือ…..เขาไม่อยู่จริง ๆ หรือ?” ซางกวนหรูเสวี่ยมองไปข้างหน้า เพื่อเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
“ใช่….ข้าสัญญากับท่าน เป็นเพราะเขาช่วยท่านไว้ท่านเลยชอบเขางั้นหรือ?” ซางกวนหรูผิงเห็นการแสดงออกบนใบหน้าของซางกวนหรูเสวี่ย นางจึงไม่พอใจหลินเว่ย ตอนนี้นางอารมณ์เสียมากขึ้น เมื่อเห็น ซางกวนหรูเสวี่ยไม่สนใจนาง
“ยัยตัวเหม็น! เจ้าพูดว่าอะไรกัน….ใครจะไปสนใจผู้ชายคนนั้น ข้าแค่อยากจะขอบคุณเขา เพราะเขาไม่เพียงช่วยชีวิตข้า แต่ยังช่วยชีวิตศิษย์ของข้าด้วย ข้าอยากจะขอบคุณเขา มันจะผิดอะไรกัน ? “เมื่อได้ยินซางกวนหรูผิงพูดแทงใจดำ ซางกวนหรูเสวี่ยจึงเอ่ยดุด่า.
ซางกวนหรูผิงลูบหน้าผากของนางและพูดขึ้นว่า: “พี่สาว! ข้าผิดเอง! ข้าเข้าใจผิด ท่านต้องสัญญาว่า จะไม่ไปพึงพอใจหลินเว่ย ข้าไม่มีทางยอมให้เขามาเป็นพี่เขยของข้าแน่นอน ”
เมื่อได้ยินคำว่า “พี่เขย” ออกมาจากปากของซางกวนหรูผิง หัวใจของซางกวนหรูเสวี่ย ปรากฏร่องรอยที่อธิบายไม่ได้ ใบหน้าของนางแสดงร่องรอยของความเขินอาย แสร้งทำเป็นโกรธและหันมาดุซางกวนหรูผิง
ทั้งสองคนต่อสู้และทะเลาะกัน จากนั้นกลับไปที่บ้านพักของซางกวนฮ่าวหยาง หลังจากนั้นซางกวนหรูผิงพาซางกวนหรูเสวี่ยไปดูห้องที่เตรียมเอาไว้ให้ สุดท้ายซางกวนหรูเสวี่ยติดตามซางกวนฮ่าวหยาง และบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องที่หลินเว่ยช่วยชีวิตนางเอาไว้
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ซางกวนฮ่าวหยางก็มีความสุขมาก เขาถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่หลินเว่ยนั้นไม่อยู่ เขาตั้งใจว่าจะตอบแทนหลินเว่ยอย่างดี เมื่อเขากลับมา
หลินเว่ยในตอนนี้ย่อมไม่รู้เรื่องนั้น ในเวลานี้เขาเต็มไปด้วยความบ้าพลัง งานก่อนหน้านี้ งานทั้งสี่ที่เขาเลือกมาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานที่กำจัดโจรภูเขาได้เสร็จสิ้นลงไป เพราะความสัมพันธ์ระหว่างหลงม่อและหลงเถิง
ในความคิดของเขาคะแนนสมทบเหล่านี้ รวมถึงคะแนนก่อนหน้านี้ ยังมีน้อยเกินไปสำหรับเขา ดังนั้นเขาจึงรับภารกิจมาเพิ่มทันที หากมีเวลาเขาก็ต้องการที่จะรับงานเพิ่ม เพื่อแลกกับคะแนนสะสมในการฝึกฝน
ถึงกระนั้น ตราบเท่าที่เขาทำภารกิจทั้งหมดในครั้งนี้ คะแนนสะสมที่จะได้รับมา ก็เพียงพอสำหรับเขาที่จะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้
เนื่องจากภารกิจของหลินเว่ยนั้นไม่ได้มีทิศทางเดียวกัน แต่ครอบคลุมทั่วทั้งอาณาจักรเฟิ่งหยู ดังนั้นหลินเว่ยจึงใช้งานเสี่ยวเฟยในการเดินทางไปแต่ละที่ด้วยความรวดเร็ว
…………
อาณาจักรเฟิ่งหยูทางตอนใต้,เมืองอู่โฮว่, หุบเขาอู่เฟิง แอ่งน้ำกลางหุบเขาลึก
“โฮก … !”เสียงคำรามดังลั่นสนั่นป่า
“ปัง!” เสียงระเบิดดังขึ้นตามมาติด ๆ
“งานที่ 100 เสร็จสมบูรณ์แล้ว ไม่คาดคิดว่าเวลาจะผ่านไปเร็วขนาดนี้ ตอนนี้ผ่านมาเกือบ 5 เดือนแล้ว ข้าเพิ่งเสร็จทำภารกิจเสร็จไปหนึ่งร้อยงาน และยังเหลืออีกกว่า 30 งาน ดูเหมือนว่าข้าจะต้องเร่งมือแล้ว” หลินเว่ยมองไปที่ร่างที่ร่วงหล่นของสัตว์อสูร และครุ่นคิดกับตัวเอง
เป็นเวลากว่าสี่เดือนแล้ว ที่หลินเว่ยออกจากสถานศึกษาเทียนหยู หลินเว่ยได้เดินทางไปยังสถานที่หลายแห่งในทิศตะวันออก และตะวันตกของอาณาจักรเฟิ่งหยู ในตอนนี้เขาอยู่ที่ชายแดนทางใต้ ของอาณาจักรเฟิงหยู ในภารกิจที่เหลือของเขา เป้าหมายที่ต้องทำนั้น….. อยู่ในหุบเขาอู่เฟิง
“นี่คือสัตว์อสูรขั้นเจ็ด งูมีปีก! พระโพธิสัตว์คุ้มครอง….. สัตว์ร้ายเช่นนี้ถูกสังหารแล้ว”
“ใช่! ว่ากันว่าปีกของงูตนนี้มีค่ามาก หากเจ้านำมันออกไปประมูล เจ้าจะสามารถหาหินหยวนระดับกลาง จำนวนนับล้านได้อย่างง่ายดาย”
“ไม่ต้องชักช้า รีบจัดการเก็บมันเดี๋ยวนี้เลย”
“อาวุโสจู้ นี่คือหินหยวนนับล้าน! หากท่านไม่ต้องการแต่อย่าขวางทางพี่น้องที่กำลังจะร่ำรวยได้!”
“ใช่ อาวุโสจู้ สามารถแบ่งหินหยวนจำนวนหนึ่งล้านหยวน แบบง่ายดาย แต่ละคนจะได้รับอย่างน้อย 5,000 ก้อน ถ้าท่านไม่ต้องการก็สละสิทธิ์ไปได้เลย ส่วนแบ่งของท่านจะถูกแบ่งให้พี่น้องเท่า ๆ กัน”
“เจ้า…!” เมื่อเห็นว่าฝูงชนนั้นเตะเขาออกจากงานชิ้นนี้ ผู้เฒ่าจู้ฉีโกรธจนตัวสั่น และเขาเดินหนีด้วยใบหน้าบึ้งตึง
เมื่อเห็นว่าไม่มีการคัดค้านอีกแล้ว ชายที่พูดก่อนหน้านี้ก็เดินไปหาหลินเว่ยอย่างรวดเร็ว และร้องบอกหลินเว่ยว่า: “เจ้ากล้าสังหารเหยื่อของเรา ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่”
ขณะที่หลินเว่ยตกอยู่ในภวังค์ จู่ ๆ เสียงที่ไม่นึกไม่ฝันก็ลอยเข้าหู และขัดจังหวะความคิดของเขา
แม้ว่าหลินเว่ยกำลังคิดถึงเรื่องต่าง ๆ แต่เขาก็ไม่เคยผ่อนคลายความระมัดระวัง เขาได้ค้นพบการมีอยู่ของคนเหล่านั้นแล้ว อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่าในเวลานั้นคนเหล่านี้น่าจะเป็นสมาชิกของกองทหารรับจ้างที่มาที่นี่ เพื่อทำภารกิจ ดังนั้นหลินเว่ยไม่ได้ให้ความสนใจกับพวกเขา
แต่มันกลับเกิดเรื่องแล้ว คนเหล่านี้ตัดสินใจที่จะปล้นของจากเขา รู้หรือไม่ว่า งูมีปีกตัวนี้ เป็นเป้าหมายภารกิจของเขา ซึ่งมีมูลค่าคะแนนสะสม 5,000 แต้ม
หลินเว่ยรู้สึกรำคาญเมื่อถูกขัดจังหวะ อีกฝ่ายหนึ่งหน้าด้านหน้าทน พูดว่าหลินเว่ยปล้นเหยื่อของพวกเขา ความโกรธของเขาพุ่งขึ้นจากก้นบึ้ง แต่หลินเว่ยในใจของเขา เขามองว่าคนเหล่านี้เป็นคนตายไปแล้ว
เมื่อหลินเว่ยมองไปรอบ ๆ เขาเห็นคนกลุ่มขนาดใหญ่ เดินมาหาเขาอย่างช้า ๆ มีจำนวนมากประมาณ 100 หรือมากกว่านั้น เสื้อผ้าของพวกเขาดูคล้ายกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาจากสถานที่เดียวกัน สิ่งที่หลินเว่ยสนใจมากที่สุด คือรถลากสัตว์ร้ายสองตน
ที่ล้อมรอบพวกเขา รถลากทั้งสองนี้ถูกห่อด้วยผ้าสีดำอย่างแน่นหนา และรถสัตว์แต่ละคันทำจากบันไดสองสามขั้นดูหรูหรา
“เจ้าเป็นใครกัน….งูมีปีกตัวนี้ เป็นเหยื่อของเจ้างั้นหรือ? หลินเว่ยถาม
“แน่นอน พวกเราอยู่ในกลุ่มทหารรับจ้างปีศาจทมิฬ ข้าเป็นหัวหน้ากองทหาร กัวเหวิน เจ้าน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับกองทหารรับจ้างปีศาจทมิฬของเรา?” กัวเหวินซึ่งอยู่ห่างจากหลินเว่ยไม่ถึง 50 เมตรหยุดฝีเท้า และกล่าวอย่างหยิ่งผยอง
“ ……”
เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย หลินเว่ยก็พูดไม่ออกไปสักพัก จากนั้นก็พูดโดยไร้อารมณ์ว่า: “กองทหารรับจ้างปีศาจทมิฬ? ไม่…..ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“อะไรนะ…..ไม่เคยได้ยินมาก่อน……ฮ่าฮ่าฮ่า เหล่าพี่น้อง เขาบอกว่าเขาไม่เคยได้ยินเรื่องทหารรับจ้างทมิฬของเรา” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย กัวเหวินก็ตะลึงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา เขาหันศีรษะและพูดกับเพื่อนที่อยู่ข้างหลังเขา
หลังจากหัวเราะ กัวเหวินก็หันไปมองหลินเว่ย และพูดด้วยความรังเกียจ: “เด็กชายกองทหารรับจ้างกัวเหวินของเราเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ดีที่สุดในเขตอู่โฮว่ ข้าไม่สนใจว่า เจ้าจะรู้จักหรือไม่ แต่ข้าบอก เจ้ามันเป็นเรื่องร้ายแรงมาก ที่เด็กชายอย่างเจ้ามาปล้นเหยื่อ
ของกองทหารรับจ้างปีศาจทมิฬ ตอนนี้เจ้ามีสองทางเลือก จะตายอยู่ที่นี่หรือมอบร่างของงูมีปีกและกระเป๋ามิติที่อยู่บนตัวเจ้า แล้วจากไป
เมื่อได้ยินคำพูดของกัวเหวิน หลินเว่ยก็โกรธแทบตาย เขาเม้มริมฝีปากและพูดด้วยความรังเกียจ: “กองทหารรับจ้างทมิฬ ข้าคิดว่าเจ้าจะเรียกกองทหารรับจ้างอันธพาลน่าจะดีกว่า เป็นเรื่องไร้ยางอายมาก ทำไมเจ้าต้องหาข้อแก้ตัวมากมาย เพื่อต้องการร่างของงูมีปีกและกระเป๋ามิติของข้า
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ยไม่เพียง แต่กัวเหวินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนอื่น ๆ ที่อยู่เบื้องหลังเขาด้วย พวกเขามองไปที่หลินเว่ยราวกับว่าพวกเขากำลังมองดูคนโง่
“เจ้าโง่…..อะไรนะ เจ้ากล้าตะโกนต่อหน้าพวกเรามากมายขนาดนี้ เจ้าคงไม่คิดว่าข้าล้อเล่น ?เอาล่ะ ไม่ต้องพูดมาก เราจะส่งเจ้าไปตาย” กัวเหวินฟื้นคืนสติและพูดด้วยความรังเกียจ
“เอาล่ะ! อย่าพูดมาก จะทำอะไรก็รีบทำ ข้ารีบ หลินเว่ยพูดอย่างไม่อดทน
“ให้ตายเถอะ! อย่าคิดว่าการฆ่างูมีปีกได้ ทำให้เจ้าคิดว่าตนเองนั้นมีพลังมาก ข้าคิดว่าเด็กคนนี้น่าจะมีพลังระดับขั้นราชาแห่งการต่อสู้ เขาสังหารงูมีปีกตัวนี้มาก่อนและเขาจะต้องได้รับบาดเจ็บ ไปกับข้าและสังหารเด็กคนนั้น “เมื่อได้ยินคำพูดของ หลินเว่ย กัวเหวินก็แสร้งทำเป็นโกรธ แต่เขาก็แอบพาคนของเขา เข้าไปรุมทำร้ายหลินเว่ยอย่างลับ ๆ