ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 11 ถึงขั้นลงมือทำร้ายผู้หญิงเชียวหรือ
ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 11 ถึงขั้นลงมือทำร้ายผู้หญิงเชียวหรือ
สีหน้าของเย่ว์หนานซีแสดงความประหลาดใจในพริบตา
เมื่อกี้นางข้ารับใช้นี่พูดว่าอะไรนะ นางกล้าพูดว่านางเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นงั้นหรือ
ช่างน่าขัน ไร้ยางอาย เกินไปแล้ว!
เป็นข้าที่เป็นคนเอ่ยปากกับท่านพ่อเรื่องการขอถอนหมั้น อีกทั้งท่านพ่อเห็นว่าอำนาจของตระกูลเจียงสิ้นไปแล้ว ท่านจึงมิได้คัดค้าน และเห็นด้วยกับวิธีการของข้าไปโดยปริยาย
เพียงแค่ข้ายังมิได้นำหนังสือขอถอนหมั้นมาให้นางก็เท่านั้น เดิมคิดว่ามีเรื่องจะรบกวนนาง ส่วนเรื่องหนังสือขอถอนหมั้นค่อยส่งตามมาทีหลัง คาดไม่ถึงว่านางจะมาแว้งกัดข้าเสียก่อน เย่ว์หนานซีคิด
“เจียงหลี เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่” เย่ว์หนานซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น นัยน์ตาลึกล้ำ สุดจะหยั่ง
เย่ว์หนานซีในมุมนี้ ทำให้เจียงอวี๋สั่นสะท้านไปทั้งตัว เกิดความหวาดกลัวในใจ แต่นางก็ย่างเท้าเข้าไปหาเขาพร้อมกระตุกชายเสื้อ และเอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า
“พี่หนานซี ท่านอย่าได้โมโหไปเลย น้องหลีมิได้มีเจตนาเช่นนั้นหรอก”
“หุบปากซะ!” เจียงหลีจ้องมองไปที่เจียงอวี๋ด้วยความโกรธจัด
เจียงอวี๋นางหญิงแพศยา วันวันดีแต่ทำตัวน่าสงสาร เสแสร้งว่าไร้เดียงสา มิใช่เป็นเพราะนางหรอกหรือที่หลอกล่อให้เย่ว์หนานซีลุ่มหลง เขาถึงได้เอ่ยปากเรื่องขอถอนหมั้นกับข้า
พวกแม่ลูกตระกูลเหอและคนตระกูลเย่ว์ ดูแคลนเหยียดหยามเจ้าของร่างเดิมนี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องบุญคุณความแค้นของเจ้าของร่างนี้
คนอย่างข้าเจียงหลี รังเกียจคนเสแสร้งจอมปลอมเป็นที่สุดเจียงหลีคิด
“นางข้ารับใช้ต่ำช้า เจ้ากล้าดีมาจากไหน!” ผู้เป็นแม่นางเหอดึงลูกสาวที่ถูกตะคอกจนหน้าซีดมาหลบ
หลังตน พร้อมตะคอกด่าเจียงหลีกลับไป
“หากข้าเป็นข้ารับใช้ต่ำช้าแล้วเจ้าเล่าเป็นสิ่งใด กาฝาก หรือคนเนรคุณกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา”
เจียงหลียิ้มอย่างเย้ยหยัน
“หุบปาก เจ้ามันอกตัญญู เห็นผู้ใหญ่เป็นหัวหลักหัวตอ วาจาก้าวร้าวหยาบคาย ยโสโอหัง ข้าเย่ว์หนาน
ซี ไม่มีทางที่จะตบแต่งคนอย่างเจ้าเป็นภรรยาเด็ดขาด” เย่ว์หนานซีตะคอกด้วยความกราดเกรี้ยว
มือทั้งสองข้างของเขากำแน่นอยูภายใต้แขนเสื้อ ลมปราณเบาๆ สายหนึ่งไหลเวียนอยู่รอบกำหมัดของเขา
เจียงหลียกหัวคิ้วขึ้น ยิ้มอย่างเย้ยหยันพร้อมกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอบคุณท่านจริงๆ ท่านสุภาพบุรุษจอมปลอม คนถือดียกตนข่มคนอื่นเช่นท่าน ข้าไม่ต้องการ!”
หลังกล่าวจบ นางถากถางต่ออีกประโยคเบาๆ ว่า “นึกว่าตนเลิศเลอ เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างจน
ใครๆ ก็ต้องอยากครอบครองหรืออย่างไร”
ประสาทการรับรู้ของเย่ว์หนานซีนั้นรวดเร็วแม่นยำเสมอมา เขาจึงได้ยินทุกคำพูดเสียดสีเย้ยหยันของเจียงหลี
เจียงหลีในอดีตที่อ่อนแอนั้นแสนจะน่าเบื่อหน่าย แต่เจียงหลีในปัจจุบันที่ปากคอเราะร้ายยิ่งทำให้เขาเกลียดชังนางมากยิ่งขึ้น
ยังไม่พอ เจียงหลีกลับไม่หยุดอยู่แค่นั้น
เจียงหลีมองไปที่เย่ว์หนานซีที่โมโหจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สองตาแดงก่ำ และกล่าวต่อไปโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกสามคนได้พูดต่อว่า “ท่านวางใจเถิด หนังสือขอถอนหมั้นที่จะมอบให้นั้นจะถูกส่งไปที่จวนตระกูลเย่ว์ภายในวันนี้อย่างแน่นอน ต่อจากนี้ไป ท่านและข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กันอีก จำไว้ ว่าเป็นข้าที่ขอถอนหมั้นกับท่าน เป็นข้าที่ไม่ต้องการท่าน!”
“บังอาจ!” เย่ว์หนานซีตะคอกด้วยความโมโห
ปล่อยพลังผ่านกำหมัดออกมาท่ามกลางความตะลึงงันของทุกคน เจียงหลีสีหน้าแปรเปลี่ยนในฉับพลัน รู้สึกได้ถึงสายพลังที่แข็งแกร่งกว่านางพุ่งเข้าใส่ในตำแหน่งที่นางยืนอยู่อย่างมิอาจหลบเลี่ยงได้
ตุบ!
ประหนึ่งดั่งค้อนยักษ์ทุบลงที่กลางอก
เจียงหลีรู้สึกได้ว่าซี่โครงส่งเสียงดังลั่น ทันใดนั้นความรู้สึกปวดราวกระดูกหักก็ตามมาในฉับพลัน ร่าง
ของนางถูกกระแทกลอยไปด้านหลังจนชนเข้ากับแผ่นหินด้านใน ประตูของจวนตระกูลลู่อย่างแรง นางกระอักเลือดออกมาสาดลงไปบนพื้นหิน
“เจ้ากล้าดีนัก”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนเหล่าผู้อารักขาตระกูลลู่ไม่ทันได้ตั้งรับ จวบจนร่างของเจียงหลีหล่นลงกระแทกพื้นพร้อมกระอักเลือดออกมา พวกเขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าสงครามน้ำลายได้แปรเปลี่ยนมาเป็นการลงไม้ลงมือแล้ว
มิหนำซ้ำ ยังกล้าทำร้ายคนตระกูลลู่ถึงหน้าบ้าน แม้ว่าเจียงหลีจะเป็นเพียงข้ารับใช้ แต่นางก็ยังถือเป็นข้ารับใช้ของตระกูลลู่ จะให้ใครที่ไหนมาทำร้ายตามอำเภอใจได้อย่างไร
แววตาของผู้อารักขาพลันแข็งกร้าวขึ้นมา ทันใดเขาคำรามออกมาด้วยความโกรธเคืองพร้อมกับปล่อยพลังที่รุนแรงยิ่งกว่าผ่านหมัดพุ่งตรงเข้าใส่เย่ว์หนานซี
ทางฝ่ายเย่ว์หนานซีคิดที่จะตั้งรับหมัดนั้นไว้ เขาหลงนึกว่าตนสามารถตั้งรับไว้ได้
ทว่าเมื่อพลังหมัดอันรุนแรงนั้นมาถึงตัว เขาถึงได้พบว่าตนคิดผิดเสียแล้ว ผิดอย่างมหันต์เลยทีเดียว ความรุนแรงของหมัด ของผู้อารักขาตระกูลลู่สามารถทะลวงเกราะป้องกันของเขาได้อย่างง่ายดาย และปะทะเข้าใส่อกของเขาอย่างแม่นยำ ซี่โครงทั้งแถบแตกร้าว เขากระอักเลือดออกมาไม่หยุด อีกทั้งระยะทางที่ร่างของเย่ว์หนานซีกระเด็นลอยออกไปนั้นไกลกว่าที่ร่างของเจียงหลีกระเด็นไปอย่างแน่นอน
“พี่หนานซี”
เมื่อเห็นเย่ว์หนานซีถูกซัดจนกระเด็นไปไกล เจียงอวี๋พลันหน้าถอดสี รีบวิ่งตามไปที่ร่างของเขา
“ใครบังอาจมาทำร้ายคนตระกูลลู่”
เหล่าผู้อารักขาตะโกนขึ้นอย่างพร้อมเพรียง พร้อมทั้งดาหน้ายืนเรียงแถวกัน เข้ามา แววตาดั่งพญาเหยี่ยวล่าเหยื่อจ้องมองไปยังผู้บุกรุกทั้งสามคน
เย่ว์หนานซีถูกซัดจนสลบ ส่วนเจียงหลีแม้ว่าจะมิได้หมดสติ แต่สภาพก็ไม่ได้ดีกว่าสักเท่าใด นางไอจนกระอักเลือดที่คลั่งค้างออกมาอีกครั้ง
ผู้อารักขาตระกูลลู่ทำให้นางแปลกใจ ถ้าจะว่ากันตามจริง นางเพิ่งจะเข้ามาเป็นคนตระกูลลู่วันแรก แต่เมื่อนางถูกผู้อื่นรังแกพวกเขากลับออกตัวมาปกป้องนาง เจียงหลีคิด
นางเงยหน้าขึ้น มองไปที่แผ่นหลังของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะทำเพื่อตระกูลลู่ หรือทำเพื่อลู่เจี้ย อย่างไรเสียบุญคุณครั้งนี้ได้สลักลงในความทรงจำของนางแล้ว
“ตายแล้ว ตายแล้ว” เย่ว์หนานซีถูกซัดจนสลบ นางเหอซือก็ตาลีตาเหลือก หน้าตาบิดเบี้ยวด้วยโทสะ พลันตะคอกใส่เจียงหลีว่า “เจียงหลี เจ้าตายแน่ เจ้ากล้าทำร้ายความภาคภูมิของตระกูลเย่ว์ คอยดูเถอะ ประมุขตระกูลเย่ว์ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปเป็นอันขาด และตระกูลลู่ไม่มีทางยอมผิดใจกับตระกูลเย่ว์เพื่อข้ารับใช้ อย่างเจ้าเป็นแน่”
การข่มขู่คุกคามของนางนั้นทำให้เจียงหลีหัวเราะออกมาอย่างไร้เสียงด้วยเพลิงโทสะทั้งหมด สองตา เยือกเย็นจนน่าสะพรึง ไม่ว่าในอดีตคนพวกนี้จะเคยทำอะไรกับตน นางก็เพียงมองดูราวกับตนเป็นคนนอกเหตุการณ์ แม้ว่าจะเกลียดชังแต่ก็ไม่เคยคิดที่จะสังหาร
แต่ตอนนี้…
ภายในใจของนางเริ่มคิดที่จะสังหารคนพวกนี้ให้สิ้นซาก! นางในตอนนี้เป็นเพียงหญิงสาวผู้อ่อนแอ แต่เย่ว์หนานซีกลับลงมือต่อนางอย่างเ**้ยมโหด เขาคิดจะสังหารนาง แล้วนางยังต้องยื่นคอรอให้เขามาจัดการงั้นหรือ
เจียงหลียันกำแพงพยุงตัวลุกขึ้น มุมปากยังมีคราบเลือด นางยิ้มเยาะพร้อมกล่าวว่า “ตระกูลเย่ว์? ท่านประเมินตระกูลเย่ว์สูงไปแล้ว!”
เมื่อนางกล่าวจบคงมิรู้ว่าเหล่าผู้อารักขาที่ยืนอยู่ด้านหน้าของนางนั้น นัยน์ตาล้วนส่องประกายด้วยความฮึกเหิม
ใช่แล้ว! ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลเย่ว์ เหตุใดขั้วอำนาจใหญ่อย่างตระกูลลู่จะต้องให้ความสำคัญเล่า
“หมัดนี้ของเย่ว์หนานซี ข้าได้จดจำไว้แล้ว ฝากเจ้าไปบอกเย่ว์หนานซีด้วยว่าวันหน้าข้าจะตอบแทนเขาด้วยตัวข้าเองอย่างสาสม” เจียงหลีสะกดกลั้นความเจ็บปวด ในปากนั้นเต็มไปด้วยเลือด ค่อยๆ เปล่งเสียงออกมาทีละคำ อย่างยากลำบาก
“ไสหัวไป หากยังกล้ามาวางก้ามที่ตระกูลลู่อีก เมืองซูหนานจะไม่มีที่ให้ตระกูลเย่ว์อีกต่อไป!” เสียงหนึ่งที่ทรงอำนาจและอัดแน่นไปด้วยโทสะดังขึ้น
เสียงนี้ เหอซื่อจำได้ดีว่าเป็นเสียงเดียวกับที่ทำให้เย่ว์หนานซีตกใจจนผงะถอยหลังในขณะที่พวกนางเพิ่งมาถึงจวนตระกูลลู่
นางหน้าถอดสี ภายในใจนั้นโมโหจนมิสามารถควบคุมได้ แต่ก็ไม่กล้าเผยออกมา
นางเข้าใจแล้วว่า เจียงหลีข้ารับใช้ที่สมควรตายนางนี้ได้พึ่งใบบุญตระกูลลู่ซึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีอำนาจล้นฟ้า วันนี้จึงเริ่มแสดงความอาจหาญอีกครั้ง
เหอซื่อล้มลุกคลุกคลานไปที่ข้างกายของเย่ว์หนานซีเพื่อช่วยบุตรสาวพยุงร่างที่ไร้สติของเขาขึ้นมา และออกจากจวนตระกูลลู่อย่างทุลักทุเล
เจียงหลีมองส่งพวกเขาจากไปด้วยความเคียดแค้นที่สุมอยู่ในอก
ผู้อารักขาที่เป็นคนนำนางมามองนางด้วยแววตารู้สึกผิด หากมิใช่เพราะเขามิทันระวัง นางก็คงไม่บาดเจ็บคุณชายน้อยให้เขาพานางมา แต่นางกลับได้รับบาดเจ็บ ยิ่งทำให้เขารู้สึกละอายใจต่อคุณชายน้อยยิ่งนัก
“เจ้าไม่เป็นไรมากใช่ไหม กลับไปก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะไปเชิญหมอมารักษา”
สภาพของเจียงหลีในตอนนี้นั้นไม่สู้ดีนัก หมัดนั้นของเย่ว์หนานซีทำให้ซี่โครงของนางได้รับบาดเจ็บ แต่ทว่าก็ได้กระตุ้นพลังสายหนึ่งที่มิใช่ของนางให้ตื่นขึ้น
ณ ตอนนี้ ทั่วทั้งกายนางเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ เรือนกายกระตุกเบาๆ ภาพเบื้องหน้ามืดครึ้มเลือนลาง แต่ทว่านางยังมีสิ่งหนึ่งที่ต้องทำ จะล้มไม่ได้เป็นอันขาด “ช่วยพาข้าไปหาลู่เจี้ยที” เจียงหลีกล่าว