ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 121 ต่อให้เหมือนเพียงใดก็ไม่ใช่อยู่ดี
ขอเพียงหลีเอ๋อร์ยอมปกป้องข้า ก็เพียงพอแล้ว!
กลับมาถึงจวนอ๋องลู่ กลับมาถึงเรือนของตน เจียงหลีก็ยังวนเวียนอยู่ในคำพูดนั้นของลู่เจี้ย
“นายหญิง นายหญิง?” อวี้ซูที่สายใช้ข้างกายเรียกอยู่สองสามครั้ง ถึงได้เรียกเจียงหลีที่ใจลอยไม่ได้สติให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ความคิด
“อะไรหรือ” เจียงหลีสีหน้าสับสนมองไปทางอวี้ซู
อวี้ซูถามอย่างสงสัย “นายหญิงกำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ บ่าวเรียกนายหญิงตั้งหลายที อีกอย่าง นายหญิงร้อนหรือเจ้าคะ หน้าแดงมากเลยเจ้าค่ะ! ”
หน้าแดงหรือ!
เจียงหลีใช้สองมือประกบสองแก้มของตนอย่างว่องไว ถูกอวี้ซูทักขึ้นมา นางถึงรู้สึกว่าแก้มของตนนั้นร้อนผ่าวจริงๆ และคอยังแห้งผากไปหมด
“ไปเทน้ำมาให้ข้าแก้วหนึ่ง” เจียงหลีสงบสติอารมณ์แล้วเอ่ยปากสั่ง
อวี้ซูหันกลับแล้วเดินไป
พอในห้องเหลือเพียงเจียงหลีคนเดียว นางถึงได้หงุดหงิดในใจ ให้ตายสิ! ถูกคำพูดประโยคเดียวของเขาเย้าแหย่เอาเสียจนได้
“ขอเพียงข้ายอมปกป้องเขาหรือ ข้าเพียงเห็นว่าเขาน่าเวทนา จึงได้เมตตากรุณาก็เท่านั้น!” จักรพรรดินีนางหนึ่งปากแข็งบ่นพึมพำ
ไม่นานอวี้ซูก็ยกน้ำเดินเข้ามา ส่งมาตรงหน้าเจียงหลี
เจียงหลีรับมา ดื่มไปอึกใหญ่ หลังจากน้ำสะอาดไหลลงสู่ท้อง นางถึงรู้สึกว่าความร้อนรุ่มในร่างกายตนนั้นหายไปบ้างแล้ว
“นายหญิงคืนนี้ในวังเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ พระชายาให้คนส่งแก้วแหวนเงินทอง ผ้าผ่อนไหมแพรมามากมาย บอกว่าแม่นางสร้างผลงานตอนอยู่ในวัง ล้วนแต่เพื่อตบรางวัลให้กับแม่นาง” เห็นว่าเจียงหลีสีหน้ากลับคืนเป็นปกติแล้ว อวี้ซูก็อดถามขึ้นไม่ได้
เจียงหลีนิ่งอึ้งไป เหยียดตัวตรง เงยหน้าขึ้นมองโต๊ะในห้อง มีของรางวัลหลายถาดจัดวางอยู่จริงๆ
แก้วแหวนเงินทองเหล่านั้นเปล่งประกายวาววับ ล้ำค่าราคาแพง
ต้องบอกว่า พระชายาลู่นั้นช่างใจกว้างเสียจริง!
“พระชายารับสั่งไว้ว่า ท่านร่างกายผอมโซอ่อนแอเกินไป จากวันนี้ไป ห้องครัวจะจัดเตรียมอาหารบำรุงแก่นายหญิงทุกวัน นายหญิงจะต้องดื่มน้ำแกงยาตามเวลา บำรุงร่างกายเสียหน่อย” อวี้ซูกล่าวเพิ่มอีก
เจียงหลีมองนางอย่างประหลาดใจ “ข้าอ่อนแอหรือ” นางสามารถทุบตีองค์หญิงรัฐฉู่จนเป็นสภาพเช่นนั้นได้ ยังเรียกว่าอ่อนแออยู่หรือ
อวี้ซูมองสังเกตนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน พยักหน้าอย่างจริงใจ
“…” เจียงหลีหมดคำพูดชะงักค้างไป ก็ได้ หากมองเพียงรูปร่างของนางแล้ว นางก็จำเป็นต้องบำรุงจริงๆ
รูปร่างอันน่าภาคภูมิของข้า! เมื่อไรเจ้าจะกลับมา เจียงหลีโอดครวญอยู่ในใจ แววตาหมดหวังและเฝ้ารอ
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าอันเร่งรีบก็ลอยมาจากด้านนอก
เจียงหลีดวงตาแข็งค้างไป ลางไม่ดีลอยขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ นางและอวี้ซูมองไปนอกประตูพร้อมกัน ก็ได้เห็นอวี้เฉินวิ่งล้มลุกคลุกคลานกระโจนเข้ามา
“นายหญิง นายน้อยรับสั่งว่า ให้นายหญิงรีบไปปรนนิบัตินายน้อยเข้านอนเจ้าค่ะ” อวี้เฉินคุกเข่าลงกับพื้น เงยหน้าขึ้นมองเจียงหลี
ปรนนิบัติเข้านอน?
เจียงหลีอึ้งชะงักไปทันใด รีบลุกขึ้น ลืมใส่รองเท้ารีบร้อนวิ่งออกไป
“นี่! นายหญิง รองเท้า…รองเท้า…” อวี้ซูรีบหยิบรองเท้าของเจียงหลีแล้วรีบร้อนวิ่งตามไป
…
ลู่เจี้ยเกิดเรื่องแล้ว! จะต้องอาการกำเริบอีกเป็นแน่! ขณะที่วิ่งไปทางเรือนของลู่เจี้ยนั้น ในใจของเจียงหลีก็คาดเดาความจริงเกี่ยวกับเรื่อง ‘ปรนนิบัติเข้านอน’ นี้ออก
ทุกวันนี้ฉลากกำกับบนตัวนางนั้น ก็คือสาวรับใช้อุ่นเตียงนอน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เพียงเพื่อปกปิดความจริงเท่านั้น
หากไม่มีความจำเป็นแล้ว ลู่เจี้ยจะไม่เรียกตัวนางเช่นนี้
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ!
เมื่อเจียงหลีพุ่งเข้าเรือนของลู่เจี้ย สาวใช้และบ่าวติดตามในห้องต่างก็ถูกไล่ให้ถอยออกไปก่อนแล้ว บนเตียงใหญ่หลังม่านตาข่ายนั้น มีเงาคนส่ายไปมา
“หลีเอ๋อร์ มานี่” ในน้ำเสียงอดกลั้นของลู่เจี้ย มีความสั่นเครืออยู่เล็กน้อย
ความเจ็บปวดที่สามารถทำให้คนเช่นเขาแทบจะทนไม่ไหว เจียงหลีนั้นนึกไม่ถึงอย่างสิ้นเชิง
นางไม่ได้ลังเลใดๆ เปิดม่านตาข่ายออก แล้วเข้าไปในเตียงใหญ่
บนเตียงนั้น ลู่เจี้ยใส่เพียงเสื้อชั้นใน คอเสื้อคลายออก ผมดกดำปล่อยสยาย สีผิวซีดขาวจนแทบจะโปร่งใส ขนาดริมฝีปากที่ควรจะแดง ยังซีดขาวไป
หน้าผาก แก้ม และผิวที่โผล่ออกมาข้างนอกของเขานั้น มีเหงื่อเกาะตัวเป็นชั้นบางๆ ชั้นหนึ่ง
เห็นเจียงหลีเข้ามา ลู่เจี้ยเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาฝืนยกมือขึ้น โบกมือให้นาง “มานี่”
เจียงหลีนั่งคุกเข่าตรงหน้าเขา ในดวงตาอันสุกสว่างนั้น ผสมปนเปไปกับความกังวล “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
มุมปากที่สั่นเทาของลู่เจี้ยนั้น ยังคงคาบรอยยิ้มเอาไว้อยู่ ในดวงตาใสวาวดั่งเครื่องแก้วคู่นั้น เต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่ไม่มีวันมลาย เขากางสองแขนออกให้เจียงหลี กล่าวเสียงแผ่วเบากับนาง “หลีเอ๋อร์ เข้ามาในอ้อมอกข้า”
เจียงหลีอึ้งไป แต่มิอาจต้านทานความเย้ายวนนี้ได้ จึงกระโจนเข้าอ้อมอกของเขา เพียงแต่ นางคอยย้ำเตือนถึงความอ่อนแอของเขาในขณะนี้ จึงได้ควบคุมยั้งแรงเอาไว้
เมื่อเพิ่งเข้าไปในอ้อมอกของเขา เจียงหลีก็รู้สึกได้ว่าชายหนุ่มนั้นเก็บสองแขนเข้า กอดตนไว้ในอ้อมอกแน่น นางรู้สึกถึงพลังที่คอยทำร้ายร่างกายของชายหนุ่มนี้กำลังถูกตนดึงดูดเข้าไป และยังรู้สึกถึงความหนาวเหน็บและสั่นเทาที่ส่งผ่านสองแขนของชายหนุ่มที่โอบตนไว้แน่นอีกด้วย
“ลู่เจี้ย…” นางตะโกนชื่อชายหนุ่มออกมา ในน้ำเสียงนั้น มีความรู้สึกที่ซับซ้อนอยู่เล็กน้อย
“กลัวจะเสียของ จึงได้สั่งให้คนไปเรียกเจ้ามา” เสียงแผ่วเบาของลู่เจี้ย ลอยลงมาจากบนหัวของนาง
ร่างกายของเจียงหลีเหม่อชะงักไปชั่วขณะ เงยหน้าขึ้นจากอ้อมกอดของเขา แล้วมองไปทางเขา
ลู่เจี้ยมองลง มองดูความประหลาดใจในสายตาของนาง ในดวงตาก็แฝงไปด้วยรอยยิ้ม เขายื่นนิ้วเรียวยาวออกมา จิ้มไปบนปลายจมูกอันสูงโด่งของนางเบาๆ “ในเมื่อพลังนี้มีประโยชน์กับเจ้า มอบให้เจ้าจะเป็นไรไป อีกอย่าง ยังสามารถบรรเทาความเจ็บปวดของข้าได้อีก ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”
“…” ทันใดนั้น เจียงหลีไม่รู้ว่าตนควรจะพูดอะไร ความซาบซึ้งอย่างน่าประหลาดนี้ลุกลามไปทั่วขั้วหัวใจของนาง
แต่ทว่า คำพูดต่อมาของลู่เจี้ยนั้น กลับทำให้ความซาบซึ้งของนางนี้แตกสลายเป็นผุยผง
“ฝึกฝนเนตรญาณอย่างตั้งใจ เจ้าต้องรีบเติบโต ในอนาคตข้ายังต้องการการสนับสนุนจากเจ้าอยู่”
“ข้าจำได้! ไม่ต้องจงใจเตือนสติข้า ท่านรู้หรือไม่ว่าทำเช่นนี้ช่างทำลายบรรยากาศเสียจริง” เจียงหลีสีหน้าโกรธงอน กล่าวกัดฟัน
ลู่เจี้ยหัวเราะไร้เสียง มืออันใหญ่นั้นกดศีรษะเจียงหลีมาแนบชิดกับหน้าอกของตน ไม่ให้นางเห็นความโดดเดี่ยวและสิ่งที่ซ่อนเร้นในดวงตาของเขา
ความรู้สึกได้ก่อกำเนิดแล้ว แต่กลับไม่อาจมีจุดจบที่งดงามได้ แล้วจะให้นางรับรู้ไปใย
รอยยิ้มอันขมขื่นพัดผ่านมุมปากลู่เจี้ยไป แล้วก็ฟื้นคืนท่าทางสงบจิตสบายใจในทันที
…
คืนนี้ เจียงหลีนอนหลับไปในอ้อมกอดของลู่เจี้ย
อาจเป็นเพราะดึงดูดพลังนั้นมาทั้งคืน เมื่อนางตื่นขึ้นมา ก็พบว่าระดับการฝึกเนตรญาณของตนนั้นกลับเพิ่มขึ้นเป็นหลิงซื่อระดับเก้าแล้ว!
อีกยังมีคุณสมบัติพอที่จะดูดวิญญาณยุทธ์ดวงที่สองแล้วด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ในพื้นที่ที่ว่างเปล่านั้น เสี่ยวหมีเจี้ยจื่อก็ยอมรับเจ้านายแล้วในที่สุด นั่นก็หมายความว่า นางไม่จำเป็นต้องเข้าสู่เสี่ยวหมีเจี้ยจื่อผ่านพลังในตัวลู่เจี้ยอีกต่อไป
ต่อจากนี้ไป นางสามารถเข้าถึงเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อได้ด้วยตนเอง!
เพียงแต่…ผลสืบเนื่องที่เกิดขึ้นเดือนละครั้งนั้น ยังคงต้องอาศัยยาขนานดีอย่างลู่เจี้ยนี่!
…
บำรุงฟื้นฟูอยู่ที่เรือนพระชายาลู่ได้สิบกว่าวัน เจียงหลีก็ถูกลู่เสวียนพาออกตำหนักไป บอกว่าจะพานางไปเที่ยวที่แห่งหนึ่ง
และตอนที่พบกับลู่เสวียนนั่นเอง นางถึงได้รู้ว่าเจ้าเด็กดื้อนั่นถูกลงโทษให้คุกเข่าในศาลประจำตระกูล
ต่อมา เพราะพระชายาลู่ขอร้องไว้ จึงได้ปล่อยออกมาก่อน
เมื่อออกมาได้ เจ้านี่ก็เริ่มอยู่ไม่สุขขึ้นมาทันที
“หลียาโถ่ว เร็วเข้า ไปช้าก็ไม่มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว” ระหว่างทาง ลู่เสวียนเร่งเร้าไม่หยุด
เจียงหลีเอามือไขว้หลัง เดินตามไปอย่างสบายใจ ไม่รีบร้อน
ทันใดนั้น คนชุดแดงผ่านไปอยู่ไกลๆ สีสันสดใสดั่งพระอาทิตย์นั้น ทำสายตานางแข็งชะงักไป
“ฮ่าๆ…! ใช้ทองพันแท่งเพื่อแลกกับรอยยิ้มของสาวงาม เรื่องเช่นนี้จะขาดข้าไปได้อย่างไร” เสียงอันบ้าบิ่นนั้นลอยมาจากบนฟ้า
“ฉินเทียนอีเจ้าหมอนั่นมาแล้วจริงๆ!” ลู่เสวียนกัดฟันกล่าวอย่างโกรธแค้น
เจียงหลีหัวเราะออกมาทันใด ถอนหายใจแล้วพูดพึมพำว่า “ต่อให้เหมือนเพียงใด แต่อย่างไรเสียก็ไม่ใช่อยู่ดี ใช่ว่าแค่สวมชุดสีแดงทั้งตัว บ้าบิ่นดื้อรั้นแล้วจะเป็นชิงเกอได้”