ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 132 เป็นไปไม่ได้!
เขาชี้ไปที่คนของสถาบันไป๋หยวนซึ่งยืนอยู่ด้านหลังสุด
คนที่ถูกเลือกถึงกับชะงัก แววตาปรากฏความดุร้ายทันที ดูเหมือนว่าการที่ถูกเลือกเป็นคนแรกเป็นการหยามเกียรติยิ่งนัก
“พ่อหนุ่มน้อย เจ้าชักจะจองหองไปแล้วนะ” เขาเดินออกไปยืนตรงข้ามจิ่งเยี่ย
“หลงชิง! เขาเป็นบุคคลที่อยู่ในอันดับสามของการจัดอันดับเด็กใหม่เชียวนะ! กลับถูกท้าทายก่อนคนแรก”
“เฮ้ ก็ดูเอาสิทั้งแปดคนที่ก้าวออกมานี้ ใครไม่อยู่ในสิบอันดับแรกบ้างเล่า”
“…”
“อ่า!”
ทางนี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังมิทันจะจบ ก็ได้ยินเสียงร้องอันน่าเวทนาทันที ทันใดนั้น ร่างของชิงหลงก็บินลอยออกจากสังเวียนและกระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรง
!
ท่ามกลางสถานการณ์ที่เงียบงัน
มันเร็วมาก!
ซึ่งไม่มีใครทันเห็นว่าจิ่งเยี่ยแห่งสำนักหลิงอู่ออกอาวุธเช่นไร และบุคคลที่อยู่ในอันดับสามของการจัดอันดับเด็กใหม่แห่งสถาบันไป๋หยวนก็พ่ายแพ้ไปเสียแล้ว
ดวงตาของเจียงหลีหดเล็กลงอย่างรวดเร็วพลางมองไปที่จิ่งเยี่ยซึ่งกำลังยืนตัวตรงบนสังเวียน เขายังนิ่งเงียบเช่นเดิม ใบหน้าที่เย็นชาและรูปหน้าอันคมชัดของเขาปราศจากความทุกข์หรือความสุข ราวกับว่าชัยชนะในตอนนี้มิได้สำคัญอะไรกับเขาเลย
พอการแข่งขันจบลงอย่างรวดเร็ว ไป๋หลี่เฟิ่งเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เขา
ความเฉยเมยของจิ่งเยี่ยราวกับว่าเป็นการปิดกั้นตัวเอง แตกต่างจากความโดดเดี่ยวลำพังของไป๋หลี่เฟิ่งที่ดูเหมือนข่มใจตัวเองด้วยท่าทีที่แข็งกร้าว
“เจ้าขึ้นมา” จิ่งเยี่ยยกมือขึ้นอีกครั้งแล้วชี้ไปที่บุคคลที่สอง
คนที่ถูกเขาชี้ สีหน้าซีดขาวทันที ขาทั้งสองสั่นเล็กน้อย ความแข็งแกร่งของจิ่งเยี่ยเกินขอบเขตความสามารถของเขาที่จะรับมือไว้
เขาก้าวขึ้นไปแล้ว ซึ่งผลคงไม่สู้ดีนัก
ท่ามกลางสายตาที่จับจ้อง เขาทำได้เพียงกัดฟันแล้วเดินขึ้นไป
แน่นอนว่าผลที่ออกมาไม่เกินความคาดหมาย การออกอาวุธของจิ่งเยี่ยยังเร็วมากเหมือนเดิมจนมวลชนไม่ทันได้ตั้งตามองเลย และบุคคลนั้นก็กระเด็นออกจากสังเวียนอีกครั้ง
ชัยชนะติดต่อกันถึงสองครา ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของอู๋เชียนชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสายตาที่เขามองไปหาหนานอู๋เฮิ่นนั้นแฝงไปด้วยความยั่วยุ
แล้วทางหนานอู๋เฮิ่นล่ะ
เขามิได้ใส่ใจการยั่วยุของอู๋เชียนเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมองหน้าจิ่งเยี่ยด้วยความสนใจ
รอบที่สาม!
รอบที่สี่!
รอบที่ห้า!
รอบที่หก!
…
จิ่งเยี่ยเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยกระบวนท่าเดียว ฉากที่คุ้นเคยเช่นนี้ ทำให้ผู้คนของสถาบันไป๋หยวนนึกถึงเหตุการณ์การต่อสู้ครั้งที่ผ่านมาของเจียงหลี ทั้งสองคนนี้ ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร ก็เอาชนะศัตรูเพียงท่าเดียว
ท้ายที่สุด การปรากฏตัวของไป๋หลี่เฟิ่ง ก็ทำให้ความเ**้ยมโหดของเจียงหลีสิ้นสุดลง แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ในตอนท้าย แต่เขาก็ยังทำลายธรรมเนียมนี้ไปเสียแล้ว
บัดนี้ จิ่งเยี่ยแห่งสำนักหลิงอู่ ใครจะเป็นคนทำลายธรรมเนียมนี้ได้
การพ่ายแพ้ถึงหกรอบติดต่อกัน ทำให้สีหน้าของคณาจารย์และลูกศิษย์ของสถาบันไป๋หยวนแย่ลงไปมาก ขณะที่ กลุ่มคนจากสำนักหลิงอู่กลับดูหยิ่งผยอง จมูกของพวกเขาแทบจะทะยานถึงฟ้าแล้ว
ใครหรือ
ขณะนี้ สายตาของคณาจารย์และลูกศิษย์แห่งสถาบันไป๋หยวนจ้องมองไปที่เจียงหลีกับไป๋หลี่เฟิ่ง ซึ่งเหลือเพียงสองคนเท่านั้นที่ยังมิได้ลงแข่ง
“ตาเจ้าแล้ว” จิ่งเยี่ยเอ่ย
คราวนี้เขาชี้ไปที่ไป๋หลี่เฟิ่ง
ไป๋หลี่เฟิ่งเงยหน้าขึ้นช้าๆ พลางมองไปที่เขา ภายใต้แววตาที่โดดเดี่ยวนั้นเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ เขาเดินขึ้นสังเวียนแล้วปล่อยชิงเฟิ่งออกไปทันที
ดูเหมือนว่าเขาจะรับรู้ได้ถึงการคุกคามจากจิ่งเยี่ย
ขณะนี้ ไป๋หลี่เฟิ่งกำลังเผชิญกับการต่อสู้อย่างหนักหน่วง แต่จิ่งเยี่ยกลับยืนนิ่งคงเดิม ซึ่งแม้แต่วิญญาณยุทธ์ก็ยังมิได้ปล่อยออกมาให้เห็นเลย
การหยามเกียรติเช่นนี้ ทำให้ดวงตาของไป๋หลี่เฟิ่งหม่นหมอง และทำให้เจียงหลีถึงกับขมวดคิ้ว
ตู้มมม!
การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้ว ไป๋หลี่เฟิ่งเริ่มโจมตีก่อนท่ามกลางพลังอำนาจของจิ่งเยี่ย
ร่างและเงาของชิงเฟิ่งปกคลุมเขาทั้งสองคน แต่ทว่า ดูเหมือนจิ่งเยี่ยจะมิได้รับผลกระทบใดๆ และระหว่างการโจมตีของไป๋หลี่เฟิ่งอย่างต่อเนื่องนี้ เขากลับรับมือได้อย่างไม่ต้องเปลืองแรง
บรรดาคณาจารย์และลูกศิษย์แห่งสถาบันไป๋หยวนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่การพ่ายแพ้ต่อการออกอาวุธเพียงครั้งเดียวแล้ว
แต่ทว่า ระหว่างที่พวกเขากำลังโล่งใจนั้น ทั้งสองคนต่างออกอาวุธไปเพียงสองกระบวนท่า กระบวนท่าที่สาม ทุกคนต่างเห็นเงาสีครามบินออกมาจากสังเวียน
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!
มวลชนของฝั่งสถาบันไป๋หยวนต่างอยู่ในความโกลาหลว่าไป๋หลี่เฟิ่งแพ้ได้อย่างไร โดยทักษะพรสวรรค์ของวิญญาณยุทธ์ที่เก่งกาจยังมิทันได้ใช้เลย
แม้แต่วิญญาณยุทธ์ของฝ่ายตรงข้ามก็ไม่สามารถบีบบังคับให้เขาปล่อยมันออกมา!
เดิมทีไป๋หลี่เฟิ่งเป็นเด็กใหม่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดของสถาบันไป๋หยวน หากไม่ใช่เพราะเจียงหลี เขาคงได้เป็นราชาหน้าใหม่ของปีนี้อย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้เล่า
กลับถูกเด็กหนุ่มของสำนักหลิงอู่เอาชนะได้ภายในสามกระบวนท่าเลยหรือ
ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นการพ่ายแพ้ถึงสองครั้งติดภายในวันเดียว
บริเวณโดยรอบเข้าสู่สภาวะเงียบสงบ พวกเขามองไปที่ไป๋หลี่เฟิงซึ่งกำลังลุกขึ้นจากพื้น โดยไม่รู้เวลานี้เขาควรพูดอะไรออกมาดี
“ฮ่าๆ ไป๋เหนี่ยวเฉาเฟิ่ง ก็ได้เพียงเท่านี้เอง” คำพูดถากถางของอู๋เชียนดังขึ้นอย่างระคายหู
เจียงหลีหันหลังกลับมามองเขา โดยหัวเราะเยาะในใจพลางเริ่มเดินไปที่สังเวียนก่อน
แม้ว่านางจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไป๋หลี่เฟิ่ง แต่ทุกคนล้วนเป็นลูกศิษย์จากสถาบันเดียวกัน เมื่อมีคนมาหาเรื่องถึงถิ่น นางจะทนได้อย่างไร
“ถึงตาข้าแล้ว” นางยืนอยู่ตรงข้ามจิ่งเยี่ยแล้วเอ่ยด้วยเสียงเรียบ
จิ่งเยี่ยชนะเจ็ดรอบติดต่อกัน เหลือนางเพียงคนเดียวแล้วใช่หรือไม่ หากนางแพ้อีกครั้ง ทางฝั่งสถาบันหลิ่งอู่ก็จะได้รับรางวัลชนะเลิศแบบไร้พ่ายเป็นคนแรก
“จิ่งเยี่ยแสดงออกได้ไม่เลวเลยทีเดียว ยึดหยัดมุมานะต่อไป” เสียงของอู๋เชียนลอยเข้ามา
หนานอู๋เฮิ่นกล่าวในเวลาเดียวกันว่า “กุญแจสำคัญของการแลกเปลี่ยนศิลปะการต่อสู้ระหว่างกันคือ การสั่งสมประสบการณ์ เจ้าไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับผลแพ้ชนะมากเกินไป” ประโยคนี้ ไม่รู้ว่าพูดให้แก่เจียงหลีที่กำลังอยู่บนสังเวียน หรือเหล่าบรรดาผู้ถูกเลือกที่ได้รับความพ่ายแพ้กันแน่
แต่ทว่า หลังจากเขาพูดจบ ไป๋หลี่เฟิ่งซึ่งวางแผนจะเดินจากไปในตอนแรก ก็หยุดเดินแล้วยืนนิ่งอยู่ด้านล่างสังเวียนพร้อมกับมองดูคนทั้งสองบนสังเวียน
จิ่งเยี่ยมองไปที่เจียงหลีและยังคงนิ่งเงียบเหมือนเช่นเคย
แต่ทว่า บัดนี้เจียงหลีกลับมิได้รู้สึกถึงความมุ่งมั่นที่เขาอยากจะต่อสู้กับตน ในทางกลับกัน อารมณ์ที่เขาแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว กลับทำให้นางมิอาจคาดเดาได้
เจียงหลีขมวดคิ้ว จิ่งเยี่ยผู้นี้ช่างแปลกเกินไปแล้ว “หากเจ้าไม่ยอมออกอาวุธ งั้นข้าออกก่อน” พูดเพียงเท่านี้ นางก็ออกกระบวนท่าก้าวล่องหน ออกหมัดคู่ และรวบรวมพลังวิญญาณ
“หมัดพิฆาตขั้นหกกก!”
“ฝ่ามือพันคลื่นนน!”
เงาหมัดและรอยฝ่ามือเคลื่อนเข้าหากันและประสานเชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อ แล้วพุ่งเข้าใส่จิ่งเยี่ย ขณะที่ บริเวณขาของจิ่งเยี่ยกลายเป็นเงาลวงตาคอยหลบหลีกการโจมตีของเจียงหลีอย่างชาญฉลาด เพลานี้ ร่างและเงาของทั้งสองคนบนสังเวียนเคลื่อนที่อย่างไม่สามารถคาดเดาได้และรวดเร็วจนผู้คนมิอาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เกรงว่ามีเพียงผู้ที่ฝึกฝนจนเป็นหลิงเจี้ยงขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะมองพวกเราสองคนออก
มีกำลังความสามารถจริงๆ ด้วย
หลังจากสัมผัสไปแล้วหลายกระบวนท่า เจียงหลีจึงประเมินในใจ นางรู้สึกได้ว่าศักยภาพของจิ่งเยี่ยมีมากกว่านี้ ถึงขั้นพอๆ กับตนเลยด้วยซ้ำ หากเป็นเช่นนี้ ก็สามารถท้าทายผู้ที่มีระดับเหนือกว่าได้แล้ว
“ผ่านสามกระบวนท่าไปแล้ว!”
ด้านล่างสังเวียน มีใครบางคนอุทานออกมา
ทันใดนั้น มีแสงสีทองสว่างส่องประกายที่ด้านหลังของจิ่งเยี่ย ราวกับว่าเขากำลังจะปล่อยวิญญาณยุทธ์ออกมา ขณะเดียวกัน ด้านหลังของเจียงหลีก็ปรากฏร่างของเลี่ยเทียนซื่อเช่นกัน
“เลี่ยเทียนนน!”
ทักษะการต่อสู้ที่เก่งกาจถูกใช้และกำลังพุ่งเข้ากดดันจิ่งเยี่ย
ตู้มมม!
เสียงดังลั่น ร่างของจิ่งเยี่ยถูกเลี่ยเทียนซื่อโจมตีจนกระเด็นหลุดออกไป ทำให้แสงสีทองที่อยู่ด้านหลังของเขาสลายไปทันทีและเลือดก็ไหลร่วงกลางอากาศ
“เป็นไปไม่ได้!” ฉากนี้ถึงกับทำให้ใบหน้าของอู๋เชียนแสดงอาการดุร้ายออกมา
เจียงหลีก็ตะลึงงันเช่นกัน เมื่อเห็นจิ่งเยี่ยบินลอยออกไป จึงตกใจทันที…