ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 279 หรือแค่ฝันไป
เจียงหลีจะทำอะไรหรือ
ตกปลา!
นางจะรอดูว่าหลังจากตัวเองฆ่าคนไปมากมาย ยังจะมีใครทนไม่ได้และอยากกระโจนออกมาชิงบัลลังก์ไปจากนาง
ครองราชย์ตอนอายุยังน้อย นางก็ต้องทำอะไรบ้าง เพื่อวางรากฐานสำหรับตำแหน่งจักรพรรดินี
…
ณ จวนของตระกูลหรง
ภายในห้องหนังสือของหรงเทียนเผิง เขาเงยหน้าขึ้นมามองหน้าลูกชายที่ตอนนี้ปรากฏตัวอยู่ในห้องหนังสือของเขา จึงพูดจาเหน็บแนม “ลมอะไรพัดพาท่านชายสูงศักดิ์มาที่ห้องของข้าได้ หากจำไม่ผิด เจ้าไม่เคยเข้ามาห้องหนังสือของข้าเป็นเวลาสิบปีแล้ว”
“ท่านพ่อ วางมือเถิด” หรงจิ่งไม่สนใจคำถากถางของท่านพ่อ เพียงแค่อยากจะมาขอร้อง
หรงเทียนเผิงยิ้มเอ่ย “หมายความว่าอะไร?”
หรงจิ่งขมวดคิ้ว “นางเคยปล่อยบ้านเราไปแล้วครั้งหนึ่ง ท่านพ่อทำไมท่านถึงยังดึงดัน ทำเช่นนี้จะทำให้ตะกูลหรงตกต่ำจนไม่มีทางที่จะกลับมารุ่งเรืองได้อีกเลย”
“หุบปาก!” หรงเทียนเผิงไม่สามารถควบคุมสีหน้าได้
เขามองไปทางหรงจิ่งอย่างอาฆาต “ไอ้ลูกอกตัญญู! มีความสามารถที่จะนำพาตระกูลให้รุ่งเรืองได้ แต่กลับกลัวจนหัวหด จะบุกไปก็ไม่กล้าจะถอยหลังก็กลัว! ตอนนี้ แค่เด็กสาวที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ก็กลัวแล้ว! เจ้าไม่เหมาะสมที่จะเป็นลูกของตระกูลหรงข้า”
หรงจิ่งยิ้มอย่างเย็นชา “ท่านพ่อ นางเป็นแค่คนธรรมดาหรือ ท่านเคยเห็นใครที่เพิ่งครองราชย์ สามารถฆ่าคนมากมายโดยไม่กะพริบตาจนเลือดนองแผ่นดินไหม ความกล้าเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีได้”
“แล้วอย่างไร สังหารคนตามอำเภอใจ นางก็เป็นได้เพียงจักรพรรดินีทรราช” หรงเทียนเผิงโต้แย้ง
“มีฮ่องเต้องค์ไหนที่มือไม่เปื้อนเลือดบ้าง” หรงจิ่งกล่าว
หรงเทียนเผิงจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา “เจ้าพูดไม่ผิด หากอยากสำเร็จ ก็ต้องเสียสละ ตระกูลลู่ล้มราชวงศ์โฮ่วจิ้น ก็ไม่ใช่เพราะสละชีวิตลู่อ๋องและภรรยาหรือ ดังนั้น หากตระกูลหรงจะชิงบัลลังก์นั้น การสละชีพก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางกำลังพายเรือทวนน้ำ เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ก็ออกพระราชโองการแปลกประหลาด ทำให้ราษฎรคับแค้น เช่นนี้จะโทษข้าได้อย่างไร ทั้งหมดก็เป็นเรื่องที่นางก่อขึ้นเอง”
“ดังนั้น ท่านพ่อเลยแอบส่งคนไป เพื่อคอยประโคมข่าว เพื่อปลุกปั่นราษฎรใช่หรือไม่” หรงจิ่งพูดตรงไปตรงมาถึงประเด็นที่ทำให้เขาต้องมาในวันนี้
หรงเทียนเผิงสีหน้าเปลี่ยน “ข้าเตรียมการโดยไม่มีการแพร่งพราย ทำไมเจ้าถึงรู้ได้”
หรงจิ่งยิ้มเอ่ย “หากไม่อยากให้คนรู้ก็อย่าทำ”
“ทำไม เจ้าจะเอาไปบอกใคร” กล้ามเนื้อบนใบหน้าหรงเทียนเผิงกระตุก
หรงจิ่งยิ้มอย่าผิดหวัง ในดวงตาของท่านพ่อ เขามองเห็นเพียงความทะเยอทะยานที่ไม่อาจควบคุมได้ ไม่เพียงแต่ท่านพ่อ สายตาของทุกคนในตระกูลหรงก็เป็นเช่นนั้น
พวกเขาบ้าไปแล้ว
เพื่ออำนาจที่ยิ่งใหญ่ ทำให้พวกเขาบ้ากันไปหมด!
พวกเขาคิดว่าจะแย่งชิงอำนาจมาจากหญิงสาวคนหนึ่งเป็นเรื่องที่ง่ายดาย พวกเขาคิดว่าในที่สุดก็ถึงเวลาที่ตระกูลหรงจะแย่งบัลลังก์!
ลู่เจี้ย ท่านไม่น่ารีบจากไปเลย หรงจิ่งได้แต่คิดและถอนหายในใจ
หากลู่เจี้ยยังมีชีวิตอยู่ ยังพอที่จะหยุดความทะเยอทะยานของตระกูลหรงได้ แต่ตอนนี้ลู่เจี้ยไม่อยู่แล้ว ความทะเยอทะยานของตระกูลหรงที่เก็บซ่อนมานาน ก็มิอาจควบคุมมันได้อีกต่อไป ตั้งแต่เจียงหลีสืบราชบัลลังก์ ยิ่งทำให้ความทะเยอทะยานราวกับสัตว์ดุร้ายที่กินคนได้ออกมาจากกรงแล้ว
“ท่านพ่อ บัลลังก์นั้นมันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ” หรงจิ่งหดหู่
หากในร่างกายเขาไม่ได้มีสายเลือดของตระกูลหรงไหลเวียนอยู่ เขาจะเสียใจเช่นนี้ไหม
หรงเทียนเผิงยิ้มอย่างเย็นชา “บัลลังก์นั้น ใครในใต้หล้าไม่อยากนั่งบ้าง เจ้าคุณธรรมสูงส่ง จะทำตัวเป็นท่านชายจิ่งผู้ไม่สนใจอะไรเลย ข้าก็ขี้เกียจจะสนใจเจ้า แต่ทว่า หากเจ้าต้องการให้ตระกูลไม่สนใจเจ้า ตระกูลจะทำอะไร เจ้าก็อย่ายื่นมือเข้ามายุ่ง และก็ไม่ต้องไปช่วยผู้อื่นมาโจมตีตระกูล!”
คำเตือนครั้งนี้ หรงจิ่งฟังออกว่าท่านพ่อเขากังวลใจมากว่าเขาจะช่วยเจียงหลี และหยุดความทะเยอทะยานของตระกูลหรง
มองไปที่ดวงตาอันระมัดระวังเป็นอย่างมากของท่านพ่อ หรงจิ่งยิ้มออกมาเล็กน้อย “ท่านพ่อ ดูแลตัวเองให้ดี” พอพูดจบ เขาหันหลังเดินออกจากห้องหนังสือของท่านพ่อไปอย่างเงียบเหงา
หรงเทียนเผิงมองเขาเดินจากไปและรอจนเงาจางหายไป ถึงพูดอย่างโมโห “ไอ้ลูกอกตัญญู!”
…
ภายในวังหลวง ท้องฟ้ามืดสลัว
เงาของต้นไม้ที่สั่นไหว สะท้อนให้เห็นเงาที่น่ากลัวบนกำแพงพระราขวัง
ภายในสวนบุปผาส่งกลิ่นหอมโชยมา และได้โชยไปทุกมุมของวังหลวง
“วันนี้ลมแรงมาก!”
“ใช่! คืนนี้ลมแรงจริงๆ”
นางกำนัลสองคนที่อยู่ยามเดินทวนลม และเสื้อที่นางสวมใส่ถูกลมพัดจนเกิดเสียงดัง คล้ายกับเสียงของแมลงบิน ทั้งสองจึงช่วยกันประคอง ถือโคมไฟ และก้มหน้าเดินไปข้างหน้า
ด้านหน้า องครักษ์ที่เฝ้าเวรยามในยามค่ำคืนเห็นพวกนาง จึงรีบส่งเสียงบอก “คืนนี้ลมแรง พวกเจ้าไม่ต้องอยู่ด้านนอกนาน รีบกลับเข้าไปในวังเสีย”
“เจ้าค่ะ!”
นางกำนัลส่งเสียงตอบ แล้วรีบเดินจากไป
ตำหนักภายในวังหลวงเงียบสงบมาก ภายห้องบรรทมของเจียงหลี มีเพียงโคมไฟที่ให้แสงสว่างวางอยู่ไกลๆ บรรยากาศภายในห้องถูกความมืดเปกคลุม
ภายในห้องบรรทม ม่านที่ยาวจรดพื้น ถูกลมพัดราวกับร่ายรำอย่างบ้าคลั่ง ไฟในโคมไฟถูกลมพัดและต่อสู่จนถึงวินามีสุดท้าย
ฟิ้ววว
สุดท้ายแล้ว มันก็มิอาจหนีพ้นโชคชะตาไปได้
ชั่วพริบตา ภายในห้องบรรทม ได้มีเงาดำปรากฏ
ลมพัดไม่หยุด ภายในห้องบรรทมมีเงาวิ่งไปมาอย่างรวดเร็ว แต่ทว่า ในความมืด กลับมีเงาคนร่างกายสูงใหญ่ปรากฏขึ้น และค่อยๆ เดินออกมาจากความมืด เขาเดินไปที่ไปที่แท่นบรรทมนั้น
บนแท่นบรรทม เจียงหลีนอนทิ้งตัวอย่างสงบ ราวกับกำลังฝันอยู่จนไม่ได้รู้สึกถึงลมที่พัดมาอย่างบ้าคลั่ง ม่านที่อยู่รอบแท่นพลิ้วไหวตามแรงลม ซึ่งดูงดงามและอ่อนไหว
เงาคนปรากฏอยู่ข้างเตียง เจียงหลียังคงไม่ปฏิกิริยาใดๆ
ผ้าม่านที่อยู่หน้าเงาคนถูกลมพัดจนเปิดออก เปิดให้เห็นใบหน้าที่งดงาม ใบหน้าที่งามจนทำให้ผู้คนที่มองเห็นรู้สึกหวั่นไหว
เขายืนอยู่ข้างเตียงและมองลงมายังคนที่นอนอยู่ คนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงลู่เจี้ย แต่สีหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ เหมือนดั่งมองคนแปลกหน้า
นี่หลังจากเขาย้อนดูความทรงจำ หาตัวคนที่ทำรอยสัญลักษณ์นั่นได้
คือนางที่ทำให้การกลับมาเกิดใหม่ของเขา ยังเกิดห่วงที่ไม่มีวิธีถอนออกไปได้
“ลู่เจี้ย…”
ทันใดนั้น เจียงหลีที่นอนหลับสนิทละเมอพูดชื่อใครคนหนึ่งออกมา
ชายที่ยืนอยู่ข้างเตียง เมื่อได้ยินชื่อที่คุ้นหู ดวงตาที่เป็นประกายของเขาหรี่ลงชั่วขณธ เพียงเพราะเสียงละเมอที่พูดขึ้น ทำให้มีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นกับตัวเขา
ในใจของเขามีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สบายใจ
ความรู้สึกที่ทำให้เสียการควบคุม ทำให้เขาไม่คุ้นชินอย่างมาก แล้วก็ไม่ชอบความรู้สึกนี้อย่างมาก!
เขาค่อยๆ โน้มตัวลง และยื่นแขนออกไป มือที่เรียวยาวค่อยๆ เข้าใกล้คอขาวผ่องและยวนใจของเจียงหลี
ฆ่าเจ้าทิ้ง จะทำให้บ่วงนี้หลุดและไม่เป็นอุปสรรคต่อการฝึกฝนของข้าใช่หรือไม่
นี่คือจุดประสงค์ที่เขามาที่นี่วันนี้
แต่หลังจากเขาสัมผัสไปยังร่างกายที่อบอุ่น ทำให้มือเขาสั่นเล็กน้อย บ่วงภายใจทำให้เขารู้สึกลังเล
การลอบสังหาร ทำให้หญิงสาวที่นอนอยู่ลืมตาขึ้น ดวงตาที่เป็นประกายนั้นราวกับไม่ได้หลับฝัน!
ใบหน้าที่อยู่สายตาตอนนี้ ทำให้ดวงตานางสั่นไหว และเอ่ยอย่างไร้เสียง “ข้ากำลังฝันไปใช่หรือไม่”