ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 350 อ้าว ไหนล่ะความตื่นตาตื่นใจ
“กลองหินอะไร” เจียงหลีขมวดคิ้วถาม
“เจ้าไม่รู้ก็ไม่ควรรู้ หากรู้แล้วเกรงว่าเจ้าจะเป็นอย่างข้า มองข้ามทุกสิ่งข้างกายเพียงเพื่อแสวงหาสิ่งลวงตา” โครงกระดูกหลิงจงเอ่ยตอบ
“…” เจียงหลีอยากจะกระอักเลือด
มีการบอกเล่าครึ่งๆ กลางๆ เยี่ยงนี้ด้วยหรือ
นางหันสายตากลับมาแต่ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เพียงแต่เอ่ยถาม “เจ้าเสียแรงชักจูงข้ามาถึงที่นี่ คงไม่ใช่เพราะเหงาเลยหาเพื่อนสนทนาเล่าเรื่องหรอกกระมัง”
“แน่นอนว่าข้ามีเรื่องขอร้องเจ้า” โครงกระดูกเองก็มิปิดบังต่อไป
“ไหนเจ้าว่ามาซิ” เจียงหลีกลับมาขี้เกียจเอนกายพิงไม้ไผ่ ยกมือขึ้นกอดอกแล้วมองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ค่ายกลที่เนี่ยนซือสร้างเอาไว้นั้นทำลายยากมาก หากไม่ใช่หลิงซือที่มีอาณาเขตระดับปรมาจารย์แล้วก็ต้องเป็นเนี่ยนซือที่มีความสามรถเก่งกาจมิแพ้กัน”
เจียงหลีหรี่ตาแต่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
ตอนนั้นที่ทางหลุดพ้นออกมาจากค่ายกลของลู่เจี้ยเพราะได้รับความช่วยเหลือจากเฟิงสิงอวิ๋น ตามที่
หลิงจงผู้นี้ได้กล่าวมา ขั้นบำเพ็ญของเฟิงสิงอวิ๋นเหนือกว่าหลิงจงใช่หรือไม่ ไม่ เป็นไปไม่ได้ แม้กระทั่งหนานอู๋เฮิ่นยังไม่บรรลุหลิงจงเลยแล้วเฟิงสิงอวิ๋นจะเป็นไปได้เยี่ยงไร มีทางเดียวคือเขาอาจจะฝึกพลังจิตไปพร้อมกันด้วย และคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับลู่เจี้ยอีกด้วย
“เจ้าฝึกเป็นเนี่ยนซือ แม้อาณาเขตยังไม่พอแต่ยังมีพลังช่วยเหลือมากกว่าข้าซึ่งน่าจะสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้ เมื่อทำลายค่ายกลได้แล้วขอความกรุณาแม่นางฝังกระดูกของข้าไว้ข้างภรรยาข้าด้วยเถิด พอทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วข้าจะไม่รวบรัดเอาเปรียบแม่นางอีก”
“อ้อ แล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง” เจียงหลีถามหยอกเล่น
“หากข้าดูไม่ผิดล่ะก็ ขั้นบำเพ็ญเนี่ยนซือของแม่นางคงไม่พ้นระดับเนี่ยนเจี้ยงขั้นต่ำหรอกกระมัง”
เจียงหลีไม่ตอบ แต่สีหน้าของนางก็อธิบายทุกอย่างหมดแล้ว
“ขอเพียงแม่นางยอมช่วยข้า ข้าจะถ่ายทอดพลังจิตที่ภรรยาข้าทิ้งไว้ให้กับเจ้า หลังจากดูดซับพลังแล้วขั้นบำเพ็ญเนี่ยนซือของเจ้าก็จะยกระดับสูงยิ่งขึ้น แม้แต่กระทั่งอาจสามารถบรรลุถึงขั้นเนี่ยนไซว่ก็เป็นได้ ส่วนข้ามีเวทย์อาคมมอบให้เพื่อเป็นสิ่งตอบแทน นอกจากนี้ยังมีน้ำศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งซึ่งข้าได้มาจากการสำรวจหลังจากรับมันไปแล้วมันเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อและจากร่างธรรมดาให้กลายเป็นกล้ามเนื้อน้ำแข็งและกระดูกหยกได้ มันมีพลังป้องกันตัวเองและยังสามารถชำระไขกระดูกและฝึกพรสวรรค์ได้อีกด้วย”
“สิ่งล้ำค่าถึงเพียงนี้ เจ้าทำใจยกให้ข้าได้หรือ” เมื่อเจียงหลีได้ฟังข้อเสนอก็ใจเต้นระส่ำ
ไม่พูดไม่ได้เลยว่าของขวัญสามชิ้นที่หลินจงผู้นี้ได้กล่าวมาล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาทั้งสิ้น
“พูดตามจริง มีเพียงแต่สตรีที่สามารถใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์ เดิมทีข้าคิดไว้ว่าจะเอาให้ภรรยา แต่…”
เจียงหลีเข้าใจถ่องแท้ ของล้ำค่าชิ้นนี้ยังไม่ทันถึงมือ ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาดันร้าวฉาน สุดท้ายจึงไม่ได้มอบของล้ำค่าชิ้นนี้ให้
“เก็บไว้ก็เสียดายนัก ในเมื่อสหายน้อยมีบุญคุณต่อพวกข้าสองสามีภรรยา มอบมันให้เจ้าก็สมควรแล้ว”
“เหตุใดถึงเลือกข้า แค่เพราะข้าเป็นเนี่ยนซือหรือ” เจียงหลีถามอีกครั้ง
“สุสานโบราณ เดิมทีเป็นสถานที่ๆ พวกข้าสองคนต้องการหวนคืนสู่ปรโลก ก่อนตายพวกข้าสัญญาไว้ว่าจะฝังร่างไปพร้อมกัน สุสานลวงข้างนอกเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น ส่วนที่แห่งนี้เป็นที่ๆ ภรรยาของข้าใช้พลังจิตสร้างเอาไว้แล้วมันคือสวรรค์ของพวกเรา แต่ว่าข้า เฮ้อ! การขุดพบสุสานโบราณในดินแดนหนานฮวงนั้น ทั้งยังดึงดูดผู้คนให้เข้ามา อย่างน้อยคนเหล่านั้นก็เป็นถึงเนี่ยนซือ และการปรากฏตัวของเจ้ามันจุดประกายความหวังในใจข้าจริงๆ”
เจียงหลีนิ่งเงียบไม่พูดจา ยังคงพิงอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ
โครงกระดูกเอ่ยต่อ “หากเจ้ายอมช่วยข้า นอกจากสามสิ่งที่ให้สัญญาเจ้าแล้ว ข้าจะบอกเรื่องที่ทำให้เจ้าตื่นตาตื่นใจ หากเจ้าสามารถรับมันเอาไว้ได้ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการฝึกฝนในอนาคตของเจ้า”
“ความตื่นตาตื่นใจอันใดรึ” เจียงหลีเอ่ยถาม
โครงกระดูกกลับหมกเม็ด “ในเมื่อเป็นความตื่นตาตื่นใจ แน่นอนว่าต้องรอให้เจ้าเปิดเผยด้วยตัวเอง”
“…” มุมปากของเจียงหลีกระตุกยิกๆ
“เจ้าเล่าเรื่องกลองหินต่อสิ ข้าจะได้รีบช่วยให้เจ้าสมปรารถนา” เจียงหลีวกกลับมาเรื่องที่ค้างไว้
“ทำไมล่ะ” หลิงจงยังคงพิรี้พิไรไม่ยอมเปิดเผย
“ไม่บอกหรือ ข้าก็ไม่บังคับ เช่นนั้นข้าขอลาก่อน ของล้ำค่าที่เจ้าสัญญาก็เก็บไว้ให้เนี่ยนซือที่เข้ามาคนต่อไปเถอะ” เมื่อสิ้นเสียงเจียงหลีก็ลุกขึ้นยืนจะหมุนตัวออกไป
“รอเดี๋ยว!” น้ำเสียงของหลิงจงฟังดูกระตือรือร้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
รอเดี๋ยวอย่างนั้นหรือ เจียงหลีรอเขาตั้งนานไม่รู้เท่าไหร่ ยังจะให้รอต่อไปอีกหรือ เบ้าตาของโครงกระดูกที่มองในกระท่อมตลอดเวลาก็หันมามองนาง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงความอ่อนโยนในเบ้าตาของเขา
“เจ้าอยากรู้ข้าก็จะบอกเจ้า แต่ข้าอยากเตือนเจ้าสักคำ ตำนานกลองหิน เจ้าฟังเป็นเรื่องเล่าก็พอ หากเจ้าหลงใหลงมงาย เกรงว่าต่อไปเจ้าจะมานึกเสียใจทีหลังอย่างข้า” ในที่สุดหลิงจงก็ยอมประนีประนอม
“เจ้าเล่ามาสักที” เจียงหลีไม่สนใจคำเตือนของเขาเลยสักนิด
หลิงจงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้ม “ตำนานเล่าว่า ในยุคโบราณกาลอันไกลโพ้น ดินแดนทั้งเก้ารวมกันเป็นปึกแผ่นเรียกว่าต้าฮวง อยู่มาวันหนึ่งจู่ๆ ก็มีกลองหินร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า กลองหินได้แตกออกเป็นเก้าเสี่ยงตกลงไปตามที่ต่างๆ ในต้าฮวง ดินแดนของต้าฮวงถูกแบ่งเป็นเก้าส่วนโดยกลองหินก็เลยเรียกว่าจิ่วฮวง นับแต่นั้นมาก็ไม่เห็นกลองหินอีกเลย บางครั้งก่อให้เกิดการเข่นฆ่าเพราะเนื่องจากข่าวลือว่าบนหน้ากลองหินได้สลักอวิชชาเอาไว้ หากมีคนสามารถรวบรวมกลองหินทั้งเก้าส่วนและบรรลุอวิชชาได้สมบูรณ์ก็จะสามารถทะลุมิติหลุดพ้นจากจิ่วฮวงเพื่อไปสู่อีกโลกหนึ่งได้”
เจียงหลีได้ฟังก็ตกตะลึง นางพึ่งเคยได้ยินตำนานกลองหินเป็นครั้งแรก
เห็นได้ชัดว่าตำนานเช่นนี้ หากบำเพ็ญไม่ถึงขั้นก็มิอาจรู้ได้เลย
“ข้าลุ่มหลงมัวเมาเพราะตำนานกลองหิน ดินแดนทั้งเก้าของจิ่วฮวงแผ่ไพศาลและทุกดินแดนมีพื้นที่กว้างใหญ่ ส่วนหนานฮวงเป็นดินแดนที่เล็กและอ่อนแอที่สุดในจิ่วฮวงและเป็นดินแดนที่แห้งแล้งในสายตาของคนอีกแปดดินแดน ข้าเคยไปซีฮวงและตงฮวงเพื่อทำความเข้าใจ ได้เห็นกฎการแข่งขันที่โหดร้ายยิ่งกว่าหนานฮวง บางครั้งได้ข่าวคราวของกลองหิน ข้าต้องการกลองหินที่ตกลงมายังหนานฮวง เพื่อขจัดความยกจนข้นแค้นในดินแดนหนานฮวง”
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นพ่อพระมาโปรดหรืออย่างไร” เจียงหลีเอ่ยขัดเขาด้วยความหยามหมิ่น เห็นได้ชัดว่ามิอาจต้านทานกิเลศจากกลองหินได้ อยากมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าใครแล้วยังจะวาดฝันให้ตัวเองเป็นวีรบุรุษอีก
“เจ้าจะคิดอย่างไรก็ช่าง ถึงอย่างไรข้าเกิดมาก็มิเคยหากลองหินเจอแล้วยังจะสูญเสียคนรักไปอีก ต่อให้เสียใจก็ไร้ประโยชน์ ข้าเล่าจบแล้วเจ้าก็ควรทำตามสัญญาสักที”
“ข้าต้องทำอย่างไร” เจียงหลีไม่ถามให้มากความอีก ในเมื่อรู้เรื่องราวของกลองหินแล้ว ต่อไปหากมีโอกาสค่อยหาข้อพิสูจน์
“เจ้าต้องใช้พลังจิตทำลายค่ายกล ข้าจะใช้พลังวิญญาณที่เหลือช่วยเจ้าอีกแรง” หลิงจงกระตือรือร้นขึ้นมา
นี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เจียงหลีทำตามที่เขาบอกโดยการปล่อยพลังจิตออกมากลายเป็นหมัดพุ่งโจมตีค่ายกล ทันใดนั้นก็มีพายุก่อตัวขึ้นที่ด้านหลังของนาง นางรู้สึกถึงพลังที่น่าเกรงขามซึ่งติดอยู่กับพลังจิตของนางและทุบผนึกค่ายกลด้วยหมัดเดียว
“สำเร็จแล้ว! ที่เหลือลำบากเจ้าแล้ว” หลิงจงกระตุ้นนาง
เจียงหลีรู้สึกแปลกๆ แต่ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ คิดว่าเขาคงแค่ตื่นเต้น เมื่อนำกระดูกของหลิงจง เข้าไปในห้องด้านใน นางจึงเห็นผู้หญิงนอนอยู่บนเตียงชัดเจน ตอนนี้มันเป็นเพียงโครงกระดูก
“สิ่งของตามที่ข้าสัญญากับเจ้าวางอยู่บนโต๊ะ เจ้ารีบหยิบไปซะ ยังมีความตื่นตาตื่นใจรอเจ้าอยู่” หลิงจงที่นอนเคียงข้างภรรยาเอ่ยเร่งเร้านางอีกครั้ง
เจียงหลียิ่งสงสัยในใจแต่ยังคงเชื่อแล้วเดินเข้าไปหยิบกล่องทั้งสามที่วางบนโต๊ะใส่กระเป๋าเอาไว้
เมื่อนางเสร็จสิ้นทุกอย่างก็รู้สึกใต้เท้าว่างเปล่า ฟ้าดินหมุนเคว้ง กระท่อมไม้ไผ่และโครงกระดูกต่างมลายหายไปต่อหน้าต่อตานาง นางเองก็ร่วงลงไป ท่ามกลางความโกลาหลนางมองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองตกลงมายังห้องหนึ่งในสุสานใหญ่ แล้วใต้ร่างของนางก็มีกลุ่มคนตระกูลไป๋เซี่ยงกำลังจ้องมองนางอยู่
…………………………………