ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 351 โดนต้มจนเปื่อย! สุสานถล่ม
โดน! ต้ม! จน! เปื่อย!
สมควรตาย!
ถ้าตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับเหล่าพยัคฆาของตระกูลไป๋เซี่ยงที่จ้องเขมือบ เจียงหลีก็รู้ชัดเจนว่ากำลังเผชิญกับอะไร นางก็แทบระเบิดตัวเองแล้วไปเกิดใหม่ซะให้รู้แล้วรู้รอด
ความตื่นตาตื่นใจอะไรกัน นี่มันเรื่องสยองขวัญต่างหากเล่า
เพียงแต่ตอนที่นางเข้าใจขึ้นมาแล้วกลับคิดไม่ตกว่าเหตุใดหลิงจงผู้นั้นถึงทำเยี่ยงนี้ เวลานี้ ก่อนหน้านี้เขามีความผิดปกติบางอย่างก็ช่างประจวบเหมาะลงตัวเหลือเกิน
…
“ฮูหยิน ในที่สุดข้าก็ได้ดูแลเจ้าและเคียงข้างเจ้าแล้ว คนพวกนี้ที่เข้ามารบกวนเรา ข้าจะให้พวกเขาอยู่เฝ้าสุสานของเราดีหรือไม่ รวมไปถึงแม่สาวน้อยนั่นด้วย…เฮ้อ”
โครงกระดูกส่งเสียงหัวเราะเยือกเย็น “ของที่ข้ามอบให้ฮูหยินมันสลายไปแล้วไม่มีทางให้ใครหรอก แม้นางจะช่วยเราสองสามีภรรยา แต่ข้าก็ทำตามสัญญามอบสิ่งของให้นางแล้ว ในเมื่อนางไร้ความสามารถออกไปจากที่นี่ไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว เจ้าว่าถูกไหม ฮูหยิน”
…
“รีบมาดูกระเป๋าในมือของนางเร็วเข้า”
“กระเป๋าตุงขนาดนั้น ต้องใส่สมบัติในสุสานมากมายเลยทีเดียว”
“…”
ในขณะที่ร่วงลงมาเจียงหลีก็ได้ยินเสียงพวกนี้ลอยเข้าหู นางจึงเอาของขวัญตอบแทนสามชิ้นยัดใส่กระเป๋าก็ถูกโยนออกมา ตอนนี้สองแขนของนางกอดกระเป๋าเอาไว้แน่น
แล้วร่างก็ล้มลงอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของนางในสุสาน คนของตระกูลไป๋เซี่ยงก็ได้เข้ามารายล้อม
ทำไมคนในตระกูลไป๋เซี่ยงหลายคนถึงได้มารวมตัวกันที่นี่ เจียงหลีไม่ทันคิดถึงคำถามนี้ นางออกแรงหมุนเอวเปลี่ยนทิศทางการลงตัวกลางอากาศ เหยียบส้นเท้าตัวเองเพื่อยืมแรง เพียงพริบตาเดียวก็ทะลุผ่านไปทางด้านหลังคนกลุ่มนั้นแล้วทิ้งตัวลงพื้นอย่างมั่นคงสวยงาม
“หืม”
คนในตระกูลไป๋เซี่ยงค่อยๆ หันตัวมองไปที่นาง
“เซ่าจวิน!”
ทันใดนั้นเจ้าของทั้งสองเสียงก็วิ่งลอดผ่านด้านหลังพวกตระกูลไป๋เซี่ยงมาปรากฏตรงหน้านาง
เจียงหลีมองสองคนนั้นที่ปรากฏออกมาด้วยดวงตาเป็นประกาย
หัวใจที่หลงตื่นเต้นลดลง นางรีบสำรวจลู่เสวียน เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บจึงถอนสายตากลับมา
“เจ้าไปไหนมา” ลู่เสวียนรีบเข้าไปหาเจียงหลีแล้วกระซิบถามเสียงต่ำแต่สายตาของเขากลับมองพวกตระกูลไป๋เซี่ยงที่อยู่ตรงข้ามอย่างระแวดระวัง
เหวินเหรินชิ่งชิ่งเองก็ยืนข้างเจียงหลีเพื่อแอบปกป้องทั้งสองเอาไว้ข้างหลังตัวเอง “พวกเจ้าจะทำอะไร” นางเป็นถึงองค์หญิงเป่ยโหรว เมื่อถามแบบนี้กับคนในตระกูลไป๋เซี่ยงย่อมมีเหตุผลเป็นธรรมดา
เจียงหลีไม่แทรกเหวินเหรินชิ่งชิ่งแล้วส่ายหน้าให้กับคำถามของลู่เสวียนเพื่อสื่อว่าเอาไว้ค่อยคุยกันทีหลัง
ลู่เสวียนเห็นดังนั้นก็ไม่ถามให้มากความอีก จากนั้นไปยืนเคียงบ่าเคียงไหล่เจียงหลี แววตาเฉียบคมมองไปที่พวกตระกูลไป๋เซี่ยง เขาเอ่ยเตือนเสียงเบา “คนในตระกูลไป๋เซี่ยงพวกนี้ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ ต้องระวังด้วย”
สายตาของเจียงหลีวูบไหว นางคาดเดาในใจ หรือว่าช่วงที่แยกกันพวกเขาสองคนจะปะทะกับคนในตระกูลไป๋เซี่ยง มิน่าล่ะ สีหน้าที่เหวินเหรินชิ่งชิ่งตอนมองพวกไป๋เซี่ยงถึงไม่ค่อยสู้ดีนัก
ทางด้านตระกูลไป๋เซี่ยงที่กำลังเผชิญกับคำถามของเหวินเหรินชิ่งชิ่งส่วนใหญ่ต่างนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด
แต่ทว่ากลับมีผู้สูงอายุก้าวออกมายิ้มให้เหวินเหรินชิ่งชิ่งแล้วแสดงความเคารพ “องค์หญิง หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ จู่ๆ แม่นางผู้นี้ปรากฏตัวกลางสุสาน พวกกระหม่อมก็แค่มองอย่างสงสัยยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เหวินเหรินชิ่งชิ่งหัวเราะเย็นชาด้วยสีหน้าหยามเหยียด “นั่นเพราะพวกเจ้ายังมาไม่ทันอย่างไรเล่า”
คนผู้นั้นไม่โกรธและยังหยัดยิ้ม “องค์หญิงตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ออกไปจากสุสานโบราณกันก่อนเถอะ”
ในขณะที่เหวินเหรินชิ่งชิ่งเตรียมจะพูดต่อ เจียงหลีก็ลดเสียงต่ำแล้วเอ่ยขึ้นข้างหลังนาง หลังจากที่ถูกผีเฒ่านั้นต้มจนเปื่อย นางคิดว่าลูกไม้ต่อไปที่ผีเฒ่าวางไว้คงไม่ง่ายขนาดนั้น
ถึงอย่างไรก็ตามออกไปจากสุสานโบราณก่อนจะเป็นการดี
เมื่อเหวินเหรินชิ่งชิ่งได้ยินที่เจียงหลีพูดแววตาก็วูบไหวเล็กน้อยจึงพยักหน้าอย่างไม่คิด จากนั้นนางจึงหันไปเอ่ยกับคนในตระกูลไป๋เซี่ยง “ในเมื่อพวกเจ้าไม่ได้ทำอะไร เช่นนั้นก็หลีกทางซะ พวกข้าจะไปแล้ว” ทางออกของสุสานอยู่ทางด้านหลังของพวกตระกูลไป๋เซี่ยง
แต่ทว่าเมื่อสิ้นเสียงของนาง พวกตระกูลไป๋เซี่ยงกลับไม่ขยับหลีกทางให้สักนิด แม้กระทั่งยังแสดงแววตายียวน
เหวินเหรินชิ่งชิ่งหัวเราะประชดประชัน “ทำไม ไม่อยากหลีกทางให้หรือ หรือว่าพวกเจ้าคิดจะฆ่าคนเฝ้าสมบัติของสุสาน”
คำพูดเหล่านี้ทำให้สายตาของทุกคนในตระกูลไป๋เซี่ยงเย็นชาขึ้นมา พวกเขาเข้ามาเสาะหาสมบัติในสุสานโบราณไม่น้อยแล้วก็ได้ของมาบ้างแต่กลับไม่ใช่สมบัติล้ำค่า สิ่งของที่ฝังร่วมกับศพและสถานะของหลิงจงไม่ได้สอดคล้องกัน การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของนางในตอนนี้ กระเป๋าตุงๆ ในมือ เห็นได้ชัดว่าต้องได้ของดีมาแน่จะให้พวกเขาทำใจปล่อยไปได้อย่างไร
แต่ทว่าความคิดก็คือความคิด อย่างไรก็ตามพวกเขายังไม่ทันได้ทำอะไร ตอนนี้ยังถูกเหวินเหรินชิ่งชิ่งปรามาสอีก ไอสังหารของพวกคนในตระกูลไป๋เซี่ยงแผ่ขยายปกคลุมร่างของทั้งสาม
“หลีกไป!” เมื่อรู้สึกถึงไอสังหารที่เฉียบคม เหวินเหรินชิ่งชิ่งก็ตวาดลั่นอีกครั้ง
คนที่เคยพูดกับนางก่อนหน้านี้เม้มมุมปากและหรี่ตาลง เขายกมือขึ้นช้าๆ เคลื่อนไหวให้ตระกูลของเขาขยายกางออกทั้งสองข้างและตัวเขาเองก็ถอยกลับไปด้านหนึ่ง
ในไม่ช้าทุกคนในตระกูลไป๋เซี่ยงก็แยกย้ายกันไปทั้งสองฝ่ายโดยเว้นทางไว้ตรงกลาง
“พวกเราไป” เหวินเหรินชิ่งชิ่งกดเสียงต่ำบอกสองคนที่อยู่ข้างหลัง
นางก้าวไปก่อนเพื่อนำเจียงหลีและลู่เสวียนออกไปด้านนอกสุสาน
เจียงหลีเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความสำคัญในเวลานี้และทิ้งทุกอย่างไว้ให้เหวินเหรินชิ่งชิ่งจัดการ นางเพียงแค่คว้ากระเป๋าไว้และปกป้องมันไว้ในมือของนาง
แม้นางจะถูกผีเฒ่านั้นหลอกแต่เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกตรวจสอบ สิ่งของทั้งสามชิ้นนั่นต้องเป็นของจริงแน่นอน โดยเฉพาะพลังจิตอันบริสุทธิ์ที่เนี่ยนซือผู้นั้นทิ้งเอาไว้ให้ ผีเฒ่าไม่มีทางปลอมมันขึ้นมาแน่ มิฉะนั้นในฐานะที่นางเป็นเนี่ยนซือต้องรับรู้และสัมผัสได้บ้าง
“องค์หญิง ทำไมพระองค์ถึงเดินกับคนนอกได้ สู้มาร่วมทางกับพวกเราไป๋เซี่ยงมิดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเหวินเหรินชิ่งชิ่งเดินไปถึงหน้าคนนั้น จู่ๆ เขาก็เอ่ยชี้แนะ
เหวินเหรินชิ่งชิ่งหยุดฝีเท้า แลตามองเขาครู่หนึ่งด้วยสายตาเย็นชาและดูถูก “อย่าลืมสิ พวกเขาเป็นถึงพระราชอาคันตุกะของฝ่าบาท”
แต่คนผู้นั้นกลับเอ่ยขึ้นและหัวเราะ “องค์ชายหยวนหวังย่อมเป็นพระราชอาคันตุกะของฝ่าบาท แต่นางกำนัลรับใช้ที่มากับเขากลายเป็นพระราชอาคันตุกะของฝ่าบาทตั้งแต่เมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ”
ชิ้งๆๆ
ทันทีที่เสียงของเขาลดลงสมาชิกของตระกูลไป๋เซี่ยงที่ยืนอยู่ทั้งสองข้างก็ปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมาทีละคนและแสงสีทองก็ปรากฏรอบตัวพวกเขาราวกับว่าพวกเขาจะปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เพื่อต่อสู้ได้ทุกเมื่อ
“เจ้า”
ตู้มๆๆ
ทันใดนั้นเสียงของการเคลื่อนไหวของพื้นดินในสุสานโบราณได้ขัดจังหวะคำพูดของเหวินเหรินชิ่งชิ่ง
การสั่นสะเทือนใต้ฝ่าเท้า ผนังกำแพงสุสานและพื้นปรากฏรายแตกร้าวอย่างรวดเร็วนั้นทำให้ทุกคนหน้าถอดสี
เจียงหลีหรี่ตา “สุสานใกล้ถล่มแล้ว! รีบวิ่งเร็ว!”
ทันทีที่นางพูดจบก็คว้าเสื้อลู่เสวียนพาวิ่งออกไป และนับว่าเหวินเหรินชิ่งชิ่งตอบสนองรวดเร็วหรือว่านางไม่ได้สงสัยในคำพูดของเจียงหลีจึงรีบวิ่งตามหลังนางออกไปจากห้องโถงสุสาน
พวกตระกูลไป๋เซี่ยงตกตะลึงไปชั่วขณะยังคงหวาดผวากับการพังทลายของสุสาน คนที่พูดก่อนเห็นว่าพวกเขาทั้งสามคนเข้าไปในทางเดินของสุสานแล้วรีบตะโกนว่า “ไล่ตามไป…”
……………………………………….