ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 360 ไปกระตุกหนวดเสือใครเข้าล่ะ
จะฆ่าข้าหรือ หลังจากที่เจียงหลีเปลี่ยนใบหน้าใหม่ รอยยิ้มพิลึกก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนางและเดินโผงผางไปที่ประตูเมือง
กลัวพวกเขาจะคิดว่าหลังจากนางสังหารคนแล้วจะหลบหนีไปไม่กล้ากลับมาชิ่งตูอีก
อาจเป็นไปได้ว่าตระกูลไป๋เซี่ยงเป็นผู้ริเริ่มคำสั่งจับกุมแล้วถูกติดประกาศไปตามถนนหนทางกลับราชวงศ์จยาเซียนแล้ว
ผู้คนต่อแถวรอทหารยามตรวจตราก่อนแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปในเมือง
เจียงหลีอ่านใบติดประกาศ นอกจากประกาศจากทางการของเป่ยโหรวแล้วข้างๆ กันยังมีติดประกาศตบรางวัลจากตระกูลไป๋เซี่ยงอีกด้วย
หินวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อน เจียงหลีเบะปากด้วยความรังเกียจ นางมีค่าแค่นี้เองหรือเนี่ย
“หยุด!” เสียงของทหารยามดังมาจากข้างหน้า เจียงหลีหยุดฝีเท้าแล้วมองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ทหารยามผู้นั้นเปรียบเทียบใบหน้านางอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากยืนยันแล้วว่านางไม่ใช่คนในรูปวาดจึงหลีกทางให้เจียงหลีเดินเข้าไป “คนต่อไป”
เมื่อเข้ามาในเมืองอย่างปลอดภัยแล้วเจียงหลีอดยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากตัวเองไม่ได้ เชียนเหยียนพันหน้านี่ดีจริงๆ ลู่เจี้ยหยิบของสิ่งนั้นออกมา กลับไปข้าต้องตบรางวัลให้อย่างงามสักหน่อยแล้ว เมื่อหาข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผลในการทำตัวไร้สาระแล้วดวงตาของเจียงหลีหรี่ลงและยิ้มจนดวงตาเหมือนพระจันทร์เสี้ยวสองดวง
ในเมื่อถูกป่าวประกาศไปแล้ว เจียงหลีก็ไม่อาจเดินไปเรือนรับรองซื่อฟางได้อย่างสง่าผ่าเผยอีกแล้ว เรือนรับรองซื่อฟางเป็นเสมือนสถานทูตรับรองทูตจากต่างประเทศและได้รับการคุ้มกันโดยทหารยามที่อยู่รอบๆ คณะทูตที่มาเป่ยโหรวครั้งนี้ต่างลงทะเบียนกันหมดทุกคน ตอนนี้นางกลับมาพร้อมรูปลักษณ์แปลกหน้า ต้องถูกกักอยู่ด้านนอกประตูแน่ๆ แล้วอาจจะดึงดูดให้พวกเป่ยโหรวเกิดความสงสัยได้
เจียงหลีก็เลยเดินเล่นตามถนนก่อนสักพักแล้วสุ่มเลือกโรงน้ำชาสักโรงเพื่อเข้าไปหาที่นั่ง
ทางด้านลู่เสวียน
ฮ่องเต้เป่ยโหรวนยังต้องการลู่เจี้ยอยู่ ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยห่วงความปลอดภัยของเขาเท่าใดนัก
ขณะเดียวกัน ณ พระราชวังเป่ยโหรว ลู่เสวียนเข้าพบเป่ยเหมินเวยเพียงลำพัง
เหวินเหรินชิ่งชิ่งหายเข้ากลีบเมฆไม่รู้ไปไหน
“ฝ่าบาทเรียกข้ามา มีเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” พอนั่งลงแล้วลู่เสวียนก็เอ่ยถาม จิตใจของเขากระวนกระวายไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ท่าทางนั่งไม่ติดเก้าอี้ทำให้เป่ยเหมินเวยยิ้มขำกว่าเดิมหลายเท่า “ดูท่าทางหยวนหวังประหม่ามาก ท่านคงเป็นห่วงความปลอดภัยของนางกำนัลนั่นมากสินะ”
“เซ่าจวินโตมากับข้า ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นนายบ่าวกันแต่กลับเหมือนพี่น้องกันมากกว่า นางถูกตระกูลไป๋เซี่ยงรังแกข่มเหงเยี่ยงนี้ ข้ากลับไม่มีปัญญาช่วย จะไม่ให้ข้ากระวนกระวายเป็นห่วงได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” ลู่เสวียนบ่นด้วยความขุ่นเคือง
เป่ยเหมินเวยยกยิ้มเล็กน้อย “เรื่องก็ผ่านไปแล้ว ชิ่งชิ่งเล่าให้ข้าฟังทุกอย่างแล้ว คราวนี้ตระกูลไป๋เซี่ยงทำเกินกว่าเหตุจริงๆ หาโอกาสโลภแย่งเอาของในมือแม่นางเซ่าจวินแล้วยังใส่ร้ายแม่นางเซ่าจวินอีก เพียงแต่ว่าหยวนหวังท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ท่านออกมา”
“เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” ลู่เสวียนมีสีหน้างุนงง
รอยยิ้มอบอุ่นของเป่ยเหมินเวยยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่แววตากลับเป็นประกายวูบไหว “เช้านี้ ข้าได้รับข่าวด่วนจากตระกูลไป๋เซี่ยง คนในตระกูลของพวกเขาที่ล่วงหน้าไปฝึกประสบการณ์ก่อนถูกฆ่าตายทั้งหมดแล้วฆาตกรก็คือ แม่นางเซ่าจวิน พวกเขายังให้ข้าออกหมายจับให้ความร่วมมือกับตระกูลพวกเขาในการตบรางวัลและเตรียมการเพื่อจับตัวแม่นางเซ่าจวิน”
“เป็นไปไม่ได้!” ลู่เสวียนตกตะลึงลุกยืนขึ้น
เป่ยเหมินโหรวมองสีหน้าเขาอย่างละเอียดแล้วเอ่ยกับเขาอย่างเห็นด้วย “ใช่น่ะสิ ข้าก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ แม่นางเซ่าจวินเป็นเพียงนางกำนัลจะเอาปัญญาที่ไหนไปฆ่าคนของตระกูลไป๋เซี่ยงมากมายขนาดนี้”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ตระกูลไป๋เซี่ยงต้องใส่ร้ายแน่ๆ” ลู่เสวียนรีบเอ่ยขึ้น
“ใส่ร้ายหรือ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดซะทีเดียว” เป่ยเหมินเวยส่ายหน้าช้าๆ “คนของตระกูลไป๋เซี่ยงตายนั้นเป็นเรื่องจริง”
ลู่เสวียนหน้าถอดสี สุดท้ายเขาก็นั่งลงไปอีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้นฝ่าบาทเรียกข้ามาเพื่ออะไร เมื่อตามจับเซ่าจวินไม่ได้ก็จะส่งกระหม่อมไปรับโทษแทนที่ตระกูลไป๋เซี่ยงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“มิใช่หรอก! หยวนหวังเป็นแขกของข้า ข้าจะส่งตัวท่านไปตระกูลไป๋เซี่ยงได้เยี่ยงไร” เป่ยเหมินเวยเอ่ยตอบ
ลู่เสวียนมองเขาอย่างสงสัยด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “เช่นนั้นฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
เป่ยเหมินเวยรู้สึกขบขันกับรูปลักษณ์ที่ไร้เดียงสาของเขาและพูดด้วยน้ำเสียงที่ปลอบโยน “ไม่ต้องกังวลตระกูลไป่เซี่ยงพึ่งพากิจการใหญ่ของพวกเขามาหลายปี พวกเขามีรากฐานที่ลึกซึ้งโดยที่ไม่เห็นหัวข้าอยู่ในสายตา เกี่ยวกับเรื่องของแม่นางเซ่าจวิน ทางการไม่เพียงแต่พยายามอย่างเต็มที่แต่จะให้ความคุ้มครองที่เหมาะสมด้วย ส่วนข้าคิดว่าแม่นางเซ่าจวินน่าจะหนีกลับไปราชวงศ์จยาเซียนเสียก่อนแล้ว”
นางไม่ทำเช่นนั้นหรอก นางน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในชิ่งตู ลู่เสวียนไม่พอใจลึกๆ แต่เบื้องหน้ากลับแสดงสีหน้าขอบคุณออกมา
“ฝ่าบาทเมตตาช่วยเหลือเช่นนี้จนข้าไม่รู้จะขอบพระทัยเยี่ยงไรดี”
เมื่อกล่าวไปถึงจุดนั้น เป่ยเหมินเวยก็ยิ้มลึก “หยวนหวังกล่าวเช่นนี้ช่างดูห่างเหินและเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าเป็นถึงอนาคตพ่อตาของท่าน มองลูกเขยเสมือนลูกชายแท้ๆ จะเป็นอะไรไปเล่า”
มุมปากของลู่เสวียนกระตุกอย่างแรง ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่ก้มหน้าราวกับเขินอายเล็กน้อย
เป่ยเหมินเวยคิดว่าเขาเป็นคนขี้อาย จึงหยอกเขาอย่างเป็นกันเอง “เสี่ยวเสวียน เจ้าคิดว่าชิ่งชิ่งเป็นอย่างไรบ้าง หลายวันมานี้ พวกเจ้าคลุกคลีกันทั้งวันทั้งคืน นับว่าร่วมเป็นร่วมตายกันในการฝึกประสบการณ์ นางเป็นผู้หญิงที่ดีมาก”
“หา” ดูเหมือนลู่เสวียนจะตกใจกับคำพูดของเขา จึงเงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าไร้เดียวสา ถุ๊ยๆๆ ช่างกล้าเรียกคุณชายน้อยเสี่ยวเสวียน ข้าสนิทกับเจ้าด้วยรึ
“เอาล่ะๆ อย่าพึ่งพูดเรื่องนี้เลย” เป่ยเหมินเวยปัดมือ ทันใดนั้นเขาก็มีสีหน้าสงบลงแล้วเอ่ยถามด้วยแววตาห่วงใย “เพียงแต่ ข้าก็ยังเป็นห่วงท่านอยู่ดี”
“เป็นห่วงข้าด้วยเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” ลู่เสวียนถามด้วยสีหน้ามึนงง
เป่ยเหมินเวยส่ายหน้า “ท่านน่ะ ช่างไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเอาเสียเลย ท่านควรเป็นรัชทายาทเพียงผู้เดียวของราชวงศ์จยาเซียนและท่านควรได้สืบทอดบัลลังก์ของราชวงศ์จยาเซียน แต่ตอนนี้กลับตกไปอยู่ในเงื้อมมือของสตรีนางหนึ่ง ตำแหน่งองค์ชายผู้สูงศักดิ์ของท่านจึงทำได้เพียงถูกกีดกันออกจากอำนาจ ไร้ความสามารถสมตามคำเล่าลือ”
ลู่เสวียนมองเขาด้วยความประหลาดใจ
สายตาที่จ้องมองมาของเป่ยเหมินเวยมีความหมายลึกซึ้ง “ตอนนี้ ท่ายังเป็นเพียงองค์ชายที่ไร้ความสามารถสมตามคำเล่าลือ แต่ต่อจากนี้ไปล่ะ จักรพรรดินีแห่งจยาเซียนที่ฆ่าคนตายอย่างโหดเหี้ยมจะปล่อยท่านไปง่ายๆ หรือ”
“เป็น…เป็นไปได้หรือ” ลู่เสวียนเอ่ยขึ้นอย่างกังวลใจ
เป่ยเหมินเวยยกมือขึ้นตบบ่าเขาเบาๆ แล้วไม่พูดต่ออีก “ท่านยังเด็ก มีหลายเรื่องที่ท่านไม่เข้าใจ เอาล่ะ เราไม่คุยเรื่องนี้ก่อนดีกว่า ชิ่งชิ่งเล่าว่าท่านวิ่งกระหืดกระหอบมา คงลำบากท่านแล้ว ข้าเตรียมเหล้ายาปลาปิ้งให้ซะดิบดี เรากินไปพลางคุยไปพลางกันดีกว่า”
พอตกดึก เจียงหลีปรากฏตัวที่ด้านนอกตระกูลไป๋เซี่ยง
เมื่อมองไปที่อาคารคล้ายปราสาทข้างหน้า เจียงหลีก็ยิ้มเยาะ
“เงา คืนนี้เราไปจวนตระกูลไป๋เซี่ยงสักหน่อย” หลังจากเจียงหลีเอ่ยจบ ร่างของเงาก็มาปรากฏตัวที่ข้างกายเจียงหลี
หลิงไซว่หนึ่งคน หลิงจงหนึ่งคน แอบลักลอบเข้าในจวนตระกูลไป๋เซี่ยงนั้นไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง
แต่ทว่า การมาครั้งนี้ของเจียงหลี ไม่ได้มาฆ่าใครแต่มาเพื่อ…
“ไฟไหม้!”
“ไฟไหม้แล้ว!”
“รีบตามคนมาดับไปเร็วเข้า!”
“…”
แสงไฟอันโชติช่วงส่องสว่างบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ปราสาทของตระกูลไป๋เซี่ยงสว่างไสวเหมือนยามกลางวันและไฟก็ลุกลามอย่างรวดเร็ว และเกือบทุกครั้งในปราสาทถูกปกคลุมไปด้วยไฟและอาคารที่สวยงามวิจิตรก็ถูกไฟไหม้
คนในตระกูลนับไม่ถ้วนต่างพากันวิ่งหนีไฟกันอย่างโกลาหล ความอับอายเรื่องอื้อฉาวแบบนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
……………………….