ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 414 ลองส่งเสียงเรียกดูซิ
“หลิวหลี! ”
เมื่อมองไปยังร่างเล็กๆ ที่ล้มลง หัวใจของเจียงหลีก็กระตุกอย่างรุนแรง
ร่างของนางสลายไปและเมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง นางได้กอดเจ้าเปี๊ยกไว้ในอ้อมอกอย่างระมัดระวังและลูบขนที่ดำจางเบาๆ
“มันยังเล็กมาก…” ดวงตาของเจียงหลีดูสับสนและปวดใจ
หลิวหลีมีขนาดเล็กมากและดูเหมือนเพิ่งเกิดมาได้ไม่นาน แต่กลับมีพลังมากถึงเพียงนี้ ต้องใช้พละกำลังไปจำนวนมากอย่างแน่นอน
เจียงหลีรู้เรื่องนี้ดี จึงยิ่งรู้สึกทุกข์ใจ
หลิวหลีปกป้องนาง!
“เจียงหลี พวกเราไปกันเถอะ!” ชิงหว่านดึงสติและเดินเข้าไปเร่งเจียงหลี นางมองไปรอบๆ อย่างกังวลเพราะกลัวว่าคนกลุ่มอื่นจะปรากฏตัวอีก
เจียงหลีเม้มริมฝีปากพยักหน้า อุ้มเจ้าเปี๊ยกเดินออกไปพร้อมกับชิงหว่านอย่างรวดเร็ว
พวกนางไม่ได้กลับไปที่ตลาดทันที แต่ค้นหาสถานที่เงียบสงบแทน เพื่อซ่อนสัญลักษณ์สีทองบนหน้าผาก จากนั้นค่อยกลับไปที่ตลาดแห่งนี้อย่างเงียบๆ เมื่อพบกับโรงเตี๊ยม จึงเปิดห้องพัก
เฮ้อ เมื่อปิดประตูห้องลง ชิงหว่านถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ต่อจากนี้ไปเราไม่จำเป็นต้องแสดงตัวต่อสถานที่สาธารณะอีกแล้ว ซ่อนตัวอยู่ในตลาด และรอให้ครบสี่สิบเก้าวันด้วยความสบายใจ”
“ก่อนหน้านี้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ขึ้นในถ้ำสวรรค์ หลังจากนี้ ข้ากลัวว่าผู้คนจะแตกตื่น เช่นนั้นพวกเราพักฟื้นตัวกันที่นี่” เจียงหลีวางเจ้าเปี๊ยกไว้บนเตียงก่อนจะหันไปหาชิงหว่านแล้วกล่าว
ชิงหว่านพยักหน้า
แต่นางลังเลอยู่พักหนึ่งและถามว่า “แล้วซู่ซินล่ะ หัวใจของนางอำมหิตเกินไป หลังจากออกไปแล้ว พวกเราต้องรายงานต่อท่านประมุข”
เจียงหลียิ้ม ด้วยความไร้เดียงสาของนางจึงไม่ได้ปริปากพูดว่าถูกหรือผิด “เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
ชิงหว่านไม่มีทางเลือกอื่น พยักหน้าและออกจากห้องของเจียงหลี
หลังจากที่นางจากไป แสงเย็นเยือกกวาดผ่านดวงตาของเจียงหลี นางหลับตาและรับรู้ถึงตำแหน่งของซู่ซิน จากนั้นก็ลืมตาขึ้นและยิ้มอย่างเย็นชา
ระยะเวลาในสิบวันหรือครึ่งเดือน พลังวิญญาณของซู่ซินไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้ ช่วงเวลานี้ นางซ่อนตัวอยู่ในตลาดและไม่ยอมปรากฏตัวอย่างแน่นอน
เจียงหลียิ้มและเก็บเรื่องซู่ซินไว้ เดินกลับไปที่เตียง ถอดรองเท้า ขึ้นเตียงอย่างนุ่มนวล และกอดเจ้าเปี๊ยกไว้ในอ้อมอกอย่างระมัดระวัง
“เจ้าเปี๊ยก การต่อสู้ที่เพิ่งเกิดขึ้น เจ้าทำงานหนักแล้วและคงใช้พลังไปไม่น้อย พักผ่อนเถอะ” เจียงหลีกระซิบข้างหูขณะที่ลูบขนของมัน
นางไม่รู้ว่าเจ้าเปี๊ยกเสียพลังไปมากเท่าไหร่ แต่ต้องสูญเสียไปมากอย่างแน่นอน ถึงหมดแรงถึงเพียงนี้
เดิมทีคิดว่ามันเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานตัวเล็กๆ กลับไม่คิดว่าจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ เจียงหลีรู้สึกกังวลในใจ คิดไปคิดมา จึงรวบรวมพลังวิญญาณไว้บนฝ่ามือ และใช้พลังวิญญาณของตนหล่อเลี้ยงเดรัจฉานตัวน้อยโดยหวังว่าจะช่วยมันได้
เจ้าเปี๊ยก ตกลงเจ้าเป็นสัตว์ดุร้ายอะไรกันแน่ เมื่อเข้านอนด้วยความงุนงง เจียงหลียังคงมีคำถามในใจ
…
ในความมืด เจียงหลีดูเหมือนจะเข้าสู่ความฝันอีกครั้ง
เพียงแต่ความฝันในครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมาเล็กน้อย ในความฝันไม่โศกเศร้าอีกต่อไป
“ลู่เจี้ยหรือ” ในความฝันของเจียงหลี มองไปยังชายที่นอนตะแคงและกระซิบ “เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายหรือ”
คราวนี้ชายในฝันดูเหนื่อยมาก เผยให้เห็นถึงความอ่อนแอ
ทันใดนั้น ชายร่างสูงก็หันกลับมาเหยียดแขนยาว และโอบนางไว้ในอ้อมแขน
ตุ๊บๆ …
เจียงหลีฟังเสียงการเต้นของหัวใจใน หน้าอกของเขาเรียบเนียนและทรงพลัง
“คนดี อย่ากังวลไป ข้าสบายดี แค่เหนื่อยเล็กน้อย” เซ่าตี้หลับตาและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา คางของเขากดศีรษะของเจียงหลีและลูบเบาๆ
เหนื่อยหรือ
เจียงหลีรู้สึกงุนงงเล็กน้อย “ในฝันก็เหนื่อยได้หรือ” ทันใดนั้น ดวงตาของนางกลอกไปมาหลายรอบและยิ้มถามอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ท่านไปเกิดใหม่ที่ไหน และทำอะไรจนรู้สึกเหนื่อยในฝันเช่นนี้”
“อืม ไปฆ่าคนมา” เซ่าตี้กล่าวด้วยเสียงนิ่งสงบ
“…” ปากของเจียงหลีกระตุกเล็กน้อยและไม่เชื่อ “ท่านกลับชาติมาเกิดได้ไม่นาน เด็กน้อยอย่างท่านจะฆ่าคนได้หรือ”
เซ่าตี้นิ่งเงียบ หลับตาพักผ่อนต่อ แต่มุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทางที่แฝงไปด้วยความรักและความเอ็นดู
เจียงหลีพิงอกเขา โดยไม่ได้หยอกล้อเขาต่อ เพียงแต่พูดกับตัวเองว่า “ลู่เจี้ย ท่านคิดถึงข้าใช่หรือไม่ ถึงอาศัยความฝันเพื่อมาพบกับข้า ท่านพ่อ ท่านแม่และญาติมิตรของชาตินี้ดีกับท่านหรือไม่ รังแกท่านหรือไม่ ร่างกายของท่านยังคงเหมือนเดิมหรือไม่”
“ทุกอย่าง…เรียบร้อยดี” ชายคนนั้นตอบเสียงแผ่วเบา
เจียงหลีได้ยินความอ่อนหวานจากน้ำเสียงของเขาโดยรู้ว่าเขาไม่ได้โกหก จึงยิ้มอย่างพอใจ “นอนเถอะ ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว”
“อืม”
…
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงหลีทราบว่าสามารถนอนหลับในฝันได้
เมื่อนางตื่นขึ้นมา กลับไม่ได้อยู่ในความฝัน แต่กลับสู่โลกแห่งความจริง ลู่เจี้ยไม่ได้กอดนางนอน แต่นางกลับกอดเจ้าเปี๊ยกขนปุยอวบอ้วนไว้ในอ้อมอก
ทันใดนั้น นางรับรู้ถึงดวงตาที่งดงามคู่หนึ่งกำลังจ้องมองนางอยู่
เจียงหลีลดสายตาลง สบตามันและมองเห็นเจ้าเปี๊ยกกำลังลืมตา
“หลิวหลี เจ้าตื่นแล้ว” เจียงหลียิ้มอย่างมีความสุข
เจ้าเปี๊ยกมองไปที่นางและพยักหน้าเล็กน้อย เด็กโง่ ใช้พลังวิญญาณของตนหล่อเลี้ยงเขา ถ้าหากเขาตื่นไม่ทันเวลา คงจะใช้พลังวิญญาณของนางจนหมด
“ขอบใจเจ้านะ!” เจียงหลีกล่าวอย่างกะทันหัน
ความสงสัยปรากฏขึ้นในดวงตาที่งดงาม
รูปลักษณ์ที่น่ารักของมันทำให้เจียงหลีรู้สึกใจอ่อนและยกมันขึ้นมาวางไว้บนหน้าอกของตน
กรงเล็บน้อยๆ ทั้งสี่สัมผัสไปที่หน้าอกอันนุ่มนวลทั้งสองอย่างไร้เดียงสา แต่เจ้าเปี๊ยกกลับตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ
“ขอบใจที่ช่วยข้า!” เจียงหลีเสยขนบนหน้าผากของมันจนยุ่งเหยิง รูปลักษณ์ที่น่ารักของมัน ทำให้อดไม่ได้ที่อยากจะปู้ยี่ปู้ยำมัน
โชคดีที่เจียงหลียังคงมีจิตใจที่ดีงาม และคิดอยู่เสมอว่าเจ้าเปี๊ยกคือผู้ช่วยชีวิตนาง ตอนลงมือจึงไม่ได้รุนแรงนัก ขณะที่เจ้าเปี๊ยกยอมจำนน โดยไม่ตอบโต้
ความรักและความเอ็นดูที่เก็บซ่อนเอาไว้เช่นนี้ เป็นสิ่งที่เจียงหลีคาดไม่ถึง
“ใช่แล้ว! แท้จริงแล้ว เจ้าไม่ใช่เจ้าเปี๊ยกใบ้ เจ้าเปล่งเสียงออกมาได้หนิ!” ทันใดนั้น เจียงหลีนึกถึงเสียงจิจิ๊ด ที่น่ารัก ดวงตาจึงได้เปลี่ยนเป็นขี้เล่น
!
ทันใดนั้น เจ้าเปี๊ยกรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล
จริงๆ เล้ยยย!
ทันใดนั้น เจ้าเปี๊ยกก็รู้สึกได้ถึงเงาเหนือศีรษะ เงยหน้าขึ้นและมองเห็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์เย้ายวนลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับยิ้มเยาะใส่ตน “มา เรียกให้พี่สาวฟังอีกครั้งซิ”
ไม่เอา!
เจ้าเปี๊ยกปฏิเสธโดยไม่ลังเลในใจ จะส่งเสียงที่น่าอัปยศอีกครั้งได้อย่างไร หากไม่ใช่ว่าตอนนั้นสถานการณ์คับขัน มันจะ…
“มาเถอะ เรียกอีกครั้งเดียว อย่าเขินอายไปเลย ข้าคิดว่าเสียงนั้นน่ารักมาก และเข้ากับรูปลักษณ์ของเจ้าเป็นอย่างดี” เจียงหลีหลอกล่อ
ไม่เอา!
เจ้าเปี๊ยกปิดปากอย่างแน่วแน่และไม่ยอมจำนน
เมื่อมองเห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิ ดวงตาที่สดใสของเจียงหลีฉายแววเจ้าเล่ห์และนิ้วของนางได้จี้ที่ใต้รักแร้ของเจ้าเปี๊ยกเบาๆ “หากเจ้าไม่ร้อง ข้าคงต้อง…”
!
เจ้าเปี๊ยกลืมตาขึ้นอย่างกะทันหันและทนกับความจั๊กจี้ไว้ไม่ไหว จึงได้ส่งเสียงร้อง จิจิ๊ดดด! ออกมาโดยไม่รู้ตัว