ราชินีพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 74 ทำไมต้องกลัวความเป็นความตาย
ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 74 ทำไมต้องกลัวความเป็นความตาย
หน้ามืดหัวหมุน!
พลังวิญญาณที่พุ่งเข้าใส่ด้านหลัง กำลังฉีกร่างของเจียงหลี ทำให้นางกระอักเลือดไม่หยุด
แต่ทว่า นางยังไม่ทันร่วงลงกับพื้น นางก็รับรู้ได้ถึงพลังที่พุ่งมาหานางจากทุกทิศทางพร้อมๆ กัน ไม่มีความปราณีเลยแม้แต่น้อย
เหมือนกับว่าพลังที่บ้าคลั่งนี้ต้องการจะฉีกร่างนางออกเป็นชิ้นๆ!
ท่ามกลางความเป็นความตาย เจียงหลีตะโกนเสียงดัง ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของตนเอง
อ้ากกก
เงาของเลี่ยเทียนซื่อ ปรากฏขึ้นในทันที แสงสีทองส่องสว่างอยู่ที่มุมหนึ่งของเมืองซูหนาน
ปัง ปัง ปัง
พลังที่พุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดนร่างของเจียงหลี ร่างเล็กๆ ของนาง ราวกับใบไม้ที่ร่วงหล่นไปในอากาศท่ามกลางลมหนาว
เงาภาพมายาของเลี่ยเทียนซื่อที่ใหญ่มหึมา โอบกอดนางไว้ ม้วนตัวกลมอยู่ในอากาศ ถูกพลังที่โหดเ**้ยมต่างๆ สาดซัดราวกับลูกบอลยักษ์ที่เด้งไปมาในเมืองซูหนาน
เพียงแต่ว่าพื้นที่ที่โดนพลังของเลี่ยเทียนซื่อ บ้านเรือนพังทลาย จนพื้นเป็นหลุม!
ทว่าเลี่ยเทียนซื่อไม่ใช่วิญญาณยุทธ์ประเภทป้องกัน ถึงแม้ว่าจะอาศัยพลังทั้งหมดที่มันมีมาปกป้องเจียงหลี ท่ามกลางการโจมตีของหลิงเจี้ยงทั้งสี่ ก็ยังยากที่จะไม่ให้เจียงหลีได้รับบาดเจ็บ
นางสีหน้าไม่สู้ดีนัก กระอักเลือดออกมา จนเสื้อสีดำของนางกลายเป็นสีแดง ลวดลายปักสีเงินและสีทองล้วนแต่กลายเป็นสีแดงสด
“เป็นวิญญาณยุทธ์ที่เก่งกาจจริงๆ” หลิงเจี้ยงตระกูลเย่ว์คนหนึ่งตกใจ
ภายใต้การร่วมกันโจมตีของพวกเขาทั้งสี่ ยังไม่ตาย ก็เหนือความคาดหมายมากๆ
“ฮึ ต่อให้เก่งกาจกว่านี้ ก็เป็นเพียงแค่หลิงซื่อ! ตามไป ห้ามให้นางหนีไปอีกเด็ดขาด!” หลิงเจี้ยงอีกคนหนึ่งพูดอย่างเย็นชา ร่างหายแวบไปทางที่เลี่ยเทียนซื่อหนีไป
อีกสามคนก็ไม่รีรอ กลัวว่าคนที่ตามไปคนแรกจะได้ผลงาน สะบัดแขนเสื้อแล้วพากันตามไป
รอให้ทั้งสี่ไปแล้ว ผู้คนเมืองซูหนานที่แอบดูอยู่จากที่ไกลๆ ถึงจะเริ่มพูดคุยกันอย่างเบาๆ
“ตระกูลเย่ว์นี่ก็หน้าไม่อายจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะส่งหลิงเจี้ยงมาถึงสี่คนเพื่อไล่ฆ่าเด็กผู้หญิงคนเดียว!”
“เหอะๆ ไม่ได้ยินหรือว่านายน้อยเย่ว์ถูกเด็กผู้หญิงคนนั้นฆ่าตายไปแล้ว นายท่านเย่ว์ชิงหลิวโกรธจนเสียสติไปแล้ว ไม่สนใจผิดถูกอะไรหรอก”
“โธ่ น่าเสียดาย ยังเด็กอยู่เลย ต้องมาตายในเงื้อมมือของตระกูลเย่ว์แบบนี้”
“นี่อาจเรียกว่าสวรรค์อิจฉาในความสามารถ คนที่มีความสามารถมักจะตายเร็ว!”
“เอ้ะ? นางไม่ใช่สาวใช้ตระกูลลู่รึ ตระกูลลู่ในตอนแรกช่วยนางถอนหมั้นอย่างใหญ่โต ทำไมตอนนี้ถึงไม่สนใจนางล่ะ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ ถ้าตระกูลลู่ยื่นมือเข้ามา เกรงว่าจะมีคนคิดว่าตระกูลลู่คิดวางแผนไม่ดีต่อตระกูลเย่ว์ล่ะมั้ง”
“จะทำเพื่อสาวใช้คนหนึ่ง โดยการเปิดศึกกับอีกตระกูลหนึ่ง ก็ถือว่าตระกูลลู่ถือหางนาง คงไม่มายุ่งหรอก”
“อืม มีเหตุผล!”
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ตระกูลลู่ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย วันนี้คงจะเป็นวันตายของนางแล้ว”
ผู้คนต่างพากันทอดถอนใจ เสียงการต่อสู้ที่รุนแรงดังขึ้น ทำให้พวกเขาเลิกคุยกัน แล้วรีบไปตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าจะพลาดดูอะไรดีๆ
หนานอู๋เฮิ่นที่แอบตามมาหรี่ตาทั้งสองข้าง คำพูดที่ผู้คนคุยกัน เขาได้ยินทั้งหมด แต่ว่าเขาแน่ใจมากว่าตระกูลลู่ได้ส่งมือดีมาเพื่อปกป้องเจียงหลีอย่างลับๆ เพราะตอนที่เจียงหลีถูกโจมตีเมื่อครู่ เขารับรู้ได้ถึงพลังลมปราณแข็งแกร่งที่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เหมือนว่ากำลังคิดจะลงมือ หลังจากเห็นนางปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ ก็หายไป
วันนี้เจียงหลีไม่มีทางตาย! แต่ตระกูลเย่ว์ต้องแย่แน่!
“ท่านอาจารย์หนาน น่าเสียดายจริงๆ! ข้าเห็นว่าท่านสนใจเด็กผู้หญิงคนนี้อยู่ไม่ใช่น้อย คิดไม่ถึงว่านางจะโชคร้าย ที่ต้องมาตายในวันนี้” อู๋เชียนพูดอย่างดีใจที่เห็นผู้อื่นโชคร้าย
ในเมื่อสำนักหลิงอู่ไม่สามารถรับเจียงหลีผู้หญิงต้องโทษคนนี้ได้ เช่นนั้นสถาบันไป๋หยวนก็ไม่ได้นางไป ก็เป็นผลสรุปที่ดีที่สุดแล้ว
มิฉะนั้น……
อู๋เชียนแววตาเคร่งขรึม
พรสวรรค์ของเจียงหลี และด้านอื่นๆ เขาก็เห็นมาตลอดทาง สาวน้อยคนนี้ถ้าโตขึ้นมาล่ะก็ ต้องประสบความสำเร็จแน่
คนที่มีความสามารถเช่นนี้ ถ้าหากว่าสถาบันไป๋หยวนได้ไป เขาคงอิจฉาจนคลื่นไส้ นอนไม่หลับไปหลายคืน
ได้ยินคำพูดที่เย้ยหยันของอู๋เชียน หนานอู๋เฮิ่นยิ้มอย่างนิ่งๆ พูดว่า “การต่อสู้ครั้งนี้ยังไม่จบ ผู้เฒ่าอู๋ก็ตัดสินเช่นนี้ ไม่เร็วไปหน่อยหรือ”
“ท่านอาจารย์หนาน ท่านยังไม่ล้มเลิกความคิดอีกหรือ” อู๋เชียนพูด
รอยยิ้มของหนานอู๋เฮิ่นไม่เปลี่ยน แล้วก็ไม่โต้เถียง พูดเพียงแค่ว่า “รอดูเถอะ”
……
พลังสลายไป ตึกรามบ้านช่องได้กลายเป็นซากปรักหักพัง
“โธ่เอ้ย” เจียงหลีที่สวมชุดดำ ยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังแล้วไอเบาๆ บ้วนเลือดออกมา
เลือดนั้นเยอะจนทำให้เสื้อของนางยิ่งเปียกชุ่ม แต่ก็ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาก
นางหายใจเข้าลึกๆ อากาศที่สดชื่นถูกนางสูดลงปอด ทำให้ทั่วทั้งร่างกายเจ็บปวดราวกับกระดูกใกล้แตกสลาย
ถึงแม้ว่าผู้ที่มีประสบการณ์ทั้งสี่คนจะหน้าไม่อาย แต่ก็เป็นหลิงเจี้ยงที่เก่งจริงๆ!
นางเงยหน้าทอดสายตามองทางไปจวนตระกูลลู่ ดวงตาที่แวววาวดั่งเปลวไฟที่เผาไหม้
หลิงเจี้ยงตระกูลเย่ว์คนหนึ่งมองแสงสีทองของเลี่ยเทียนซื่อข้างหลังนาง พูดเหยียดหยามอย่างเยือกเย็นว่า “ถึงแม้ว่าวิญญาณยุทธ์ของเจ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็เป็นเพียงแค่หลิงซื่อกระจอกๆ ไม่มีทางหนีรอดจากพวกข้าไปได้ ข้าจะบอกให้ว่าเลิกดิ้นรนต่อสู้เสียเถอะ เจ้าจะได้ไม่ต้องเจ็บตัวมากไปกว่านี้”
เจียงหลีที่หน้าซีดเหมือนกระดาษ ดูอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าดวงตาที่เร่าร้อน สีหน้าเหยียดหยาม ทำให้คนรู้สึกว่าหญิงสาวตัวเล็กๆ นี้ทรงพลังอะไรเช่นนี้
“สู้ก็สู้วะ” นางพูดอย่างเย็นชา
นางที่โดนหลิงเจี้ยงทั้งสี่ล้อมไว้ ไม่มีทางหนีไปได้เหมือนเมื่อครู่นี้ ต้องประจันหน้ากันอย่างเดียว
“อย่างเจ้าน่ะรึ” หลิงเจี้ยงคนหนึ่งพูดอย่างเหยียดหยาม
ถ้าหากไม่มีคำสั่งจากนายท่านว่าต้องจับเป็น เด็กผู้หญิงคนนี้โดนพวกเขาฉีกเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้ว
“อย่างข้านี่แหละ!” น้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยวของเจียงหลี ไม่มีความเกรงกลัวเลยสักนิด
ผู้คนรอบๆ ที่มาดูล้วนแต่ตกตะลึง นับถือในความกล้าหาญของนาง และก็ชื่นชมในพลังของนาง ในขณะเดียวกันก็เสียดายที่นางต้องมาเจอกับชะตากรรมเช่นนี้
“ในเมื่อเจ้ามั่นใจขนาดนี้ ข้าก็จะให้โอกาสเจ้า” หลิงเจี้ยงหนึ่งในนั้น ก้าวมาข้างหน้า
อีกสามคนมองกัน ถอยหลังไปอย่างเงียบๆ เพื่อให้พื้นที่ในการต่อสู้
ท่ามกลางสาตตาผู้คนมากมาย ประจันหน้ากับหลิงซื่อระดับห้าคนเดียว ถึงกับต้องใช้หลิงเจี้ยงถึงสี่คนลงมือด้วยกัน พวกเขาคงมีหน้าอยู่ในเมืองซูหนานไม่ได้แล้ว
“หลิงซื่อจะท้าทายหลิงเจี้ยง?”
ผู้คนรอบๆ ที่ดูอยู่ตะลึง นี่ไม่เพียงแต่เป็นความต่างของพละกำลัง ยังเป็นความต่างกันของระดับขั้นพลังด้วย!
“สาวใช้คนนี้โดนคนตระกูลเย่ว์โจมตีจนเสียสติไปแล้วหรือ!”
“นางคงจะคิดว่าวันนี้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด หนีอย่างไรก็ไม่พ้น เลยคิดจะสู้จนตัวตาย กล้าหาญจนน่ายกย่องจริงๆ! เพียงแต่โชคร้ายไปหน่อย”
“ก็ไม่มีทางเลือก ใครใช้ให้นางฆ่านายน้อยเย่ว์ตายเสียล่ะ”
“……”
คำพูดของผู้คนรอบๆ ไม่ได้ทำให้ใบหน้าที่เย็นชาของนางแสดงอะไรออกมาเลย พลังวิญญาณยุทธ์ เลี่ยเทียนซื่อ ยังคงเปล่งสีทองเจิดจ้า ปรากฏอยู่ด้านหลังของนาง ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่นาง จะตายก็ตายไปด้วยกัน
หลิงเจี้ยงตระกูลเย่ว์ยืนอยู่ตรงหน้าเจียงหลี ตะโกนแล้วปลดปล่อยพลังขั้นหลิงเจี้ยง ทันใดนั้นวิญญาณยุทธ์สีทองทั้งสองก็ปรากฏขึ้นอยู่ด้านหลังเขา