รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人 - บทที่ 20 เบ็ดตกปลาไผ่สวรรค์ม่วง
บทที่ 20 เบ็ดตกปลาไผ่สวรรค์ม่วง
ท้ายที่สุด จักรพรรดิวิฬาร์หิมะสวรรค์นั้นก็มีอายุยืนยาว ซ้ำยังมีประสบการณ์ที่ทั้งดีและร้ายมากมาย… ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ได้คิดในแง่ดีเช่นเดียวกับบุตรสาว
“ท่านผู้อาวุโสยอมให้เจ้านำข้าวต้มมาที่นี่ มันก็นับเป็นพรยิ่งใหญ่สำหรับเราแล้ว เช่นนั้นเราจะมาคิดเรื่องแก้แค้นด้วยพลังของท่านผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้อีก!”
เสียงของจักรพรรดิวิฬาร์หิมะสวรรค์นั้นทุ้มลึก เขากล่าวต่อ “ผู้อาวุโสท่านนั้นเป็นดั่งเทพเซียน เขาย่อมรู้เห็นทุกสิ่งสรรพในความคิดเดียว ท่านผู้ยิ่งใหญ่ต้องการให้เจ้านำข้าวต้มมาให้ นั่นหมายถึงเขาได้แสดงทัศนคติของเขาแล้ว…”
และจากการกระทำนี้ มันก็หมายถึง… หลังจากนี้พวกเขาต้องพึ่งพาตัวเอง
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่เก็บเจ้าไว้ข้างกาย ท่าทางเช่นนี้นั้นยิ่งชัดเจนกว่าเดิมนัก เขาต้องการให้พ่อซึ่งเป็นจักรพรรดิไม่ต้องกังวลสิ่งใด!”
จักรพรรดิวิฬาร์หิมะสวรรค์นั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสสมแล้วที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ แม้แต่สภาวะจิตใจก็ยังสูงส่งเหนือจินตนาการของเรา! ท่านผู้ยิ่งใหญ่รู้ว่า หากพ่อไม่สามารถชิงบัลลังก์กลับมาได้ด้วยตัวเอง พ่อจะค้างคาใจจนไม่อาจปล่อยไปเป็นแน่!”
“แต่ท่านพ่อ กลับไปแบบนี้ไม่มีโอกาสชนะเลยนะเจ้าคะ!”
ลั่วสุ่ยยังคงเต็มไปด้วยความกังวล
“ท่านผู้อาวุโสได้คาดเดาทุกสิ่งมานานแล้ว!”
จักรพรรดิวิฬาร์หิมะสวรรค์ยิ้มและกล่าวว่า “พ่อโง่งมขนาดนี้ได้เช่นไร? ในตอนแรก ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันและมันก็สายเกินแก้ที่จะเรียกให้สหายมาช่วย แต่หลังจากเรื่องนี้… ตอนนี้พ่อต้องทำได้แน่”
การต่อสู้โดยการเผาแหล่งกำเนิดชีวิตเป็นการต่อสู้ที่อันตรายถึงตาย ความหวังในการรอดชีวิตมีน้อยนัก
“พ่อเกรงว่า สหายของพ่อคงคิดว่าพ่อสิ้นชีพไปแล้ว…”
“แต่ตอนนี้มันต่างออกไป…”
“เมื่อพ่อพบสหาย เขาย่อมช่วยพ่ออย่างแน่นอน และบัลลังก์ที่เป็นของพ่อจะกลับมาอยู่ในมือของพ่ออีกครั้ง!”
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับสหายนั้นลึกล้ำยิ่ง ถึงขนาดที่ว่ายินยอมช่วยเหลือกันโดยไม่แม้แต่จะจำเป็นต้องเอ่ยปากร้องขอ
“นี่คือความฉลาดของผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่!”
ยิ่งจักรพรรดิวิฬาร์หิมะสวรรค์คิดเกี่ยวกับมันมากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกมากขึ้นเท่านั้น ก่อนจะเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ขอให้เจ้าช่วยจักรพรรดิผู้นี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้อาวุโสนั้นเป็นคนช่างเห็นอกเห็นใจและมีจิตเมตตา รวมถึงสงสารกับเรื่องราวที่พวกเราเคยประสบมา ดังนั้นเขาจึงคิดเลี้ยงดูเจ้า เพื่อทำให้พ่อหมดห่วง และเพราะเขาคาดหวังในตัวพ่อ ดังนั้นในฐานะจักรพรรดิข้าย่อมต้องไป! เจ้าจงปล่อยให้พ่อจัดการเถอะ และไม่ต้องเป็นกังวลอีก!”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น!”
ลั่วสุ่ยคิดตาม และหลังจากที่พ่อของนางเตือน นางก็พลันเข้าใจทุกอย่างแล้ว!
แต่… ความจริงแล้วนี่เป็นการมโนของจักรพรรดิวิฬาร์หิมะสวรรค์ล้วน ๆ!
หลี่จิ่วเต้าจะมีความคิดมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร เขาเพียงมองลั่วสุ่ยในฐานะแมวขาวตัวน้อยผู้น่าสงสารเท่านั้น…
จักรพรรดิวิฬาร์หิมะสวรรค์เตือนลั่วสุ่ยอย่างเคร่งขรึม “อยู่กับผู้อาวุโสที่ทรงพลังเช่นนี้ เจ้าต้องคิดให้มากขึ้นเกี่ยวกับทุกสิ่ง คิดให้รอบคอบและจำไว้ว่าอย่ากระทำโดยประมาท หรือละเมิดข้อห้ามของผู้อาวุโสเด็ดขาด!”
“สุ่ยเอ๋อร์เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!”
ลั่วสุ่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มหวาน
หลังจากได้ยินสิ่งที่จักรพรรดิวิฬาร์หิมะสวรรค์เอ่ยกับนาง นางก็ไม่กังวลอีกต่อไป
“พ่อจะไปแล้ว เจ้าก็กลับไปได้แล้ว”
จักรพรรดิวิฬาร์หิมะสวรรค์อำลาลั่วสุ่ย แล้วร่างก็สลายไป ส่วนลั่วสุ่ย หลังออกจากสถานที่แห่งนี้ นางก็กลับมายังเมืองชิงซานอย่างรวดเร็ว
ในเมืองชิงซาน บนลานเล็ก ๆ ของหลี่จิ่วเต้า
“ไม่อยู่แล้วเหรอ?”
หลี่จิ่วเต้าแตะจมูกของตน หลังจากที่เขากลับมาจากการส่งสมุนไพรให้ป้าหวังข้างบ้าน เขาก็มองไม่เห็นวิฬาร์ขาวตัวน้อย และเหลือเพียงชามข้าวต้มเพียงหนึ่งชามเท่านั้น
“แมวขาวตัวเล็กไม่ใช่สัตว์วิญญาณ จะไปเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดได้อย่างไรกัน สงสัยแมวขาวตัวเล็ก ๆ นั่นน่าจะคุ้นเคยกับการเร่ร่อน และไม่เต็มใจจะถูกเลี้ยงดูโดยมนุษย์เป็นแน่”
หลี่จิ่วเต้ามองไปที่ชามข้าวต้มที่เหลือ ก่อนจะยิ้มและกล่าวว่า “อย่างน้อยแมวขาวตัวน้อยนี้ก็ไม่ได้โลภ มีเพียงชามข้าวต้มหนึ่งใบเท่านั้นที่ถูกนำออกไป”
“เมี้ยว!”
ในตอนนั้นเอง ลั่วสุ่ยคาบชามข้าวต้มกลับมา
หลี่จิ่วเต้าที่เห็นภาพนั้นพลันมีความสุขยิ่งนัก เขาชอบแมวสีขาวตัวน้อยนี้มาก ดังนั้นเขาจึงมีความสุขยิ่งเมื่อมันกลับมา
เขาอุ้มแมวขาวตัวน้อยขึ้นมา ลูบขนเรียบ ๆ ของมันแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เข้าใจไหม อยู่กับข้าน่ะดีที่สุดแล้ว จะไม่มีใครรังแกเจ้าได้อีก”
“เมี้ยว”
ลั่วสุ่ยร้องออกมา คิดว่าท่านพ่อของนางนั้นพูดถูก ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่กำลังปกป้องนาง!
“วันนี้ข้าอารมณ์ดี เช่นนั้นเราไปตกปลากันเถอะ ส่วนปลาที่ตกได้ ข้าจะให้เจ้าทั้งหมด!”
หลี่จิ่วเต้าวางวิฬาร์ขาวตัวน้อย แล้วเดินเข้าไปในบ้านเพื่อเอาอุปกรณ์ตกปลาออกมา
ทักษะการตกปลาของเขาก็อยู่ในระดับ ‘ขั้นเทวะ’ ดังนั้นแล้ว อุปกรณ์ตกปลาก็เหมือนกับธนูคันใหญ่และเครื่องใช้ในครัว ซึ่งระบบมอบให้เขาเป็นการตอบแทนเช่นกัน
อุปกรณ์ตกปลาเป็นคันเบ็ดซึ่งวางอยู่ในท่อไม้ไผ่ เขาถือท่อไม้ไผ่ไว้บนหลังแล้วคว้าเหยื่อไปด้วย
นี่เป็นเหยื่อที่เขาทำเอง เมื่อตกปลาก็ได้ผลดีมาก ยามปกติเขาจึงสามารถจับปลาจำนวนมากได้ในเวลาอันสั้น
“ไป ไปกันเถอะ!”
เขามีความสุขยิ่งนัก มือถืออุปกรณ์ตกปลาและเหยื่อไว้ข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างหนึ่งอุ้มแมวขาวตัวเล็กไว้
“นี่คือ… ไผ่สวรรค์ม่วง!”
วิฬาร์ขาวตัวน้อย ลั่วสุ่ยที่ในอ้อมแขนของหลี่จิ่วเต้าตกใจยิ่ง ด้วยมันรู้ว่าท่อไม้ไผ่นี้ที่แท้คืออะไร!
ไผ่สวรรค์ม่วง ลือกันว่าเติบโตนอกแดนสวรรค์ทั้งสามสิบสามชั้น เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติที่สามารถช่วยผู้คนฝึกฝนและเข้าใจเต๋า อีกทั้งผลของมันก็น่าทึ่งยิ่ง!
ในสมัยโบราณนั้น เพื่อจะบรรลุขอบเขตที่สูงขึ้น อู้เจวี๋ยปรมาจารย์วิถีพุทธเคยบุกทะลวงสวรรคชั้นฟ้า เพียงเพื่อหาโอกาสที่จะกลายเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่!
ขอบเขตจักรพรรดินั้นยากเกินกว่าจะบรรลุได้ ไม่ใช่เพียงต้องมีพลังมากพอ แต่ยังต้องมีความเข้าใจในเต๋าอย่างลึกซึ้งอีกด้วย
ไม่อาจรู้ได้เลยว่าขอบเขตนี้ยากเพียงใด ในสมัยโบราณ ขุมพลังไร้เทียมทานจำนวนนับไม่ถ้วนสละชีวิตของพวกเขาและล้มเหลวระหว่างนั้น ก่อนที่ในท้ายที่สุดจะล่วงหล่นและหมดโอกาสกลายเป็นจักรพรรดิ
ปรมาจารย์อู้เจวี๋ยเป็นตัวตนแข็งแกร่งที่มีโอกาสกลายเป็นจักรพรรดิมากที่สุด!
เขาได้สัมผัสกับขอบเขตจักรพรรดิ และอยู่ห่างจากการเป็นจักรพรรดิเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น!
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงครึ่งก้าว ปรมาจารย์อู้เจวี๋ยใช้เวลากว่าเจ็ดพันปีโดยไม่สามารถก้าวข้ามมันได้
ในท้ายที่สุด เมื่อเส้นตายใกล้เข้ามา เขาก็ทะลวงผ่านชั้นแล้วชั้นเล่า คาดหวังโอกาสบรรลุเป็นจักรพรรดิ!
ภายนอกสวรรค์นั้นอันตรายยิ่ง ภัยคุกคามนี้ไม่ได้แข็งแกร่งน้อยไปกว่าตัวปรมาจารย์อู้เจวี๋ยเองเลย ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส จนใกล้จะสิ้นชีพ
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเขาก็ทะลวงผ่านสวรรค์ชั้นที่สามสิบสามได้สำเร็จ! ทะลุข้ามผ่านมายังดินแดนภายนอก!
ที่นั่น เขาเห็นป่าไผ่สีม่วงปกคลุมไปด้วยหมอกแห่งความโกลาหล เมื่อเดินเข้าไป ในชั่วพริบตานั้น เขาก็พลันรู้แจ้ง ก้าวข้ามและบรรลุเป็นจักรรพรรดิ!
เขาต้องการที่จะเอาไผ่สีม่วงออกไป
อย่างไรก็ตาม แม้จะกลายเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขาก็ไม่สามารถสั่นคลอนลำไม้ไผ่ได้เลย
ในที่สุด เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจากไป
เขาบันทึกประสบการณ์เหล่านี้เอาไว้ เรียกไผ่สีม่วงเหล่านั้นว่าไผ่สวรรค์ม่วง และกล่าวว่าพวกมันมีพลังท้าทายสวรรค์ สามารถทำให้ผู้ครอบครองรู้แจ้งบรรลุเต๋า!
ในคนรุ่นต่อ ๆ ไป ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งมากเท่าใดที่พยายามฝืนทะลวงฝ่าสวรรค์เพื่อไปให้ถึงขอบเขตจักรพรรดิ และมีกี่คนที่ได้เห็นป่าไผ่สีม่วง บรรลุเต๋าและกลายเป็นจักรพรรดิสมใจหมาย!
น่าเสียดายที่พวกเขาทำไม่สำเร็จ และไม่มีผู้ทรงพลังคนใดกลับมา
โลกเริ่มสงสัยถึงการมีอยู่ของป่าไผ่ม่วง กระทั่งป่าไผ่ม่วงนอกสวรรค์สามสิบสามชั้นก็ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนาน
ลั่วสุ่ยชอบอ่านคัมภีร์โบราณ และเผ่าวิฬาร์หิมะสวรรค์ก็มีภูมิหลังลึกซึ้ง พวกเขาจึงสะสมคัมภีร์โบราณจำนวนมาก รวมถึงบันทึกตำนานเกี่ยวกับไผ่สวรรค์ม่วงด้วย!
‘สวรรค์ นี่เขาใช้ไผ่สวรรค์บ่วงเป็นคันเบ็ดตกปลางั้นหรือ?!’
หัวใจดวงน้อย ๆ ของลั่วสุ่ยเต้นแรงยิ่ง นางเพ่งมองคันเบ็ดในกระบอกไม้ไผ่ไม่วางตา