รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人 - บทที่ 40 อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่นั้นยากหยั่งถึงจริง ๆ
- Home
- รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人
- บทที่ 40 อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่นั้นยากหยั่งถึงจริง ๆ
บทที่ 40 อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่นั้นยากหยั่งถึงจริง ๆ
“รู้หมดแล้วหรือ”
จักรพรรดิเซี่ยดูประหลาดใจ เซี่ยเหยียนรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร
“หนิงเจี๋ยมาหาข้า…”
“อันใดนะ!”
จักรพรรดิเซี่ยตกตะลึง หนิงเจี๋ยมาหาเซี่ยเหยียนจริงหรือนี่?
“เขามาหาข้า แล้วก็ตกใจจนวิ่งหนีไปแล้ว…”
เด็กสาวเอ่ยตอบ
“กลัวแล้วหนีไปอย่างนั้นหรือ”
ใบหน้าของจักรพรรดิเซี่ยดูแปลก ๆ เซี่ยเหยียนกำลังพูดถึงอะไร?
ในฐานะศิษย์สายหลักของนิกายเจ็ดดารา หนิงเจี๋ยจะตกใจแล้วหนีไปทำไมกัน?
“ใช่เพคะท่านพ่อ”
เซี่ยเหยียนพยักหน้าแล้วบอกว่าหนิงเจี๋ยมาหานางได้อย่างไร
“จริงหรือนี่?”
จักรพรรดิเซี่ยอดถามไม่ได้ว่า… มีผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการผู้นั้นอยู่ในเมืองชิงซานจริงหรือ?
“เมื่อข้าพาท่านไปพบกับผู้อาวุโส ท่านพ่อก็จะรู้เองเพคะ”
เซี่ยเหยียนนึกในใจ… ไม่ว่าจะกล่าวเพียงใด มันจะเป็นการดีกว่าหากจักรพรรดิเซี่ยได้เห็นด้วยตาตัวเอง
“เอาละ หากมีอาวุโสผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้จริง ๆ ข้าจะได้โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง”
จักรพรรดิเซี่ยพยักหน้าและติดตามเซี่ยเหยียนออกไปจากสำนักไท่หัว
“ขอบเขตนิพพาน!?”
หลังจากออกจากสำนักไท่หัวแล้ว จักรพรรดิเซี่ยก็ท่องนภาไปกับบุตรสาว หลังจากสัมผัสได้ถึงความผันผวนปราณของเซี่ยเหยียน เขาก็เริ่มหวั่นใจขึ้นมา
ขอบเขตนิพพานคือพลังการต่อสู้อันดับต้น ๆ ในบูรพาทิศ และเขาอยู่เพียงขอบเขตกงล้อชะตา ซึ่งอยู่ห่างจากขอบเขตนิพพานสองระดับ
แต่เซี่ยเหยียนก้าวเข้าสู่ขอบเขตนิพพานได้เร็วเพียงนี้เลย?
นานแค่ไหนแล้วที่เซี่ยเหยียนมายังสำนักไท่หัวเพื่อฝึกฝน…!
“ต้องขอบคุณอาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้เหยียนเอ๋อร์ก้าวเข้าสู่ขอบเขตนิพพานได้เร็วเพียงนี้”
เซี่ยเหยียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
การแสดงออกของจักรพรรดิเซี่ยพลันพิลึก เมื่อพบว่ามีอาวุโสผู้ยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการอยู่ในเมืองชิงซานจริง ๆ!
เขาจำได้ชัดเจนว่านางเพิ่งอยู่ขอบเขตประสานวิญญาณก่อนมาถึงสำนักไท่หัว ทว่าตอนนี้กลับอยู่ในขอบเขตนิพพานแล้ว ผู้อาวุโสทรงอำนาจผู้นั้นนับว่ายากจินตนาการอย่างแท้จริง!
เวลาผ่านไปไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงเมืองชิงซานและค่อย ๆ ทะยานลงจากฟ้า จากนั้นก็เดินเท้าเข้าเมือง
นี่คือความเคารพของเซี่ยเหยียนที่มีต่อหลี่จิ่วเต้า
“ท่านพ่อ เรามาถึงแล้ว ลองดูคำว่า ‘เต๋า’ สิเพคะ”
เซี่ยเหยียนพาจักรพรรดิเซี่ยมายังร้านของหลี่จิ่วเต้า และชี้ไปยังคำว่า ‘เต๋า’ บนป้ายร้าน
จักรพรรดิเซี่ยมองตามนิ้วไป และตื่นตกใจเสียตรงนั้น
จังหวะแห่งเต๋าที่มีอยู่ในคำว่า ‘เต๋า’ นั้นไม่มีที่สิ้นสุดราวมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าร่างค่อย ๆ เล็กลง เมื่อเปรียบเทียบกับจังหวะแห่งเต๋ากับคำว่า ‘เต๋า’ แล้ว เต๋าที่เขาฝึกฝนมานั้นไม่คุ้มค่าที่จะกล่าวถึงเลย หรือเป็นดั่งฝุ่นผงก็มิปาน…
เซี่ยเหยียนพาจักรพรรดิเซี่ยเข้าไปในร้าน แล้วความรู้สึกอันเหนือจะพรรณนาก็ไหลบ่าโถมเข้ามา จักรพรรดิเซี่ยพลันรู้สึกว่าตนเองได้มาเยือนแดนสวรรค์ชั้นฟ้าเข้าเสียแล้ว
“เซี่ยเหยียนมาทันเวลาพอดี มาเล่นหมากล้อมกับข้าสิ”
ในลานเล็ก ๆ หลี่จิ่วเต้าได้ยินความเคลื่อนไหวในร้าน ก็รู้ทันทีว่าเป็นเซี่ยเหยียนโดยไม่ต้องหันไปมอง
ในยามเช้า เว้นเซี่ยเหยียนแล้วก็ไม่มีใครมาที่ร้านของเขาอีก
“เจ้าค่ะ!”
เซี่ยเหยียนยิ้มและพาจักรพรรดิเซี่ยไปยังลานเล็ก ๆ
นี่คือผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่หรือ?
จักรพรรดิเซี่ยมองไปยังหลี่จิ่วเต้าด้วยสายตาแปลก ๆ นอกเหนือจากรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาแล้ว หลี่จิ่วเต้าก็ไม่ต่างอันใดกับมนุษย์กันเลย เพราะเขาไม่มีแม้แต่ร่องรอยของพลังปราณ…
“วันนี้พาคนมาด้วยหรือ โอ๊ะ…ใครหรือ?”
หลี่จิ่วเต้าวางกระดานหมากล้อมในมือลง และมองคนผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เด็กสาว
“นี่ท่านพ่อข้าเอง”
“ที่แท้ก็เป็นท่านลุง ถึงว่าเหตุใดจึงดูเหมือนเซี่ยเหยียนนัก”
“ข้าได้ยินจากเด็กน้อยว่าผู้อาวุโสเปี่ยมความสามารถ ข้าจึงขอให้นางพาข้ามาเยี่ยมผู้อาวุโสหน่อย และขอให้ผู้อาวุโสยกโทษให้ข้าด้วยที่มาไม่ได้บอกกล่าว”
จักรพรรดิเซี่ยกล่าวกับชายหนุ่มด้วยความเคารพ
แม้ว่าเขาจะไม่เห็นสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับหลี่จิ่วเต้า แต่ก็ไม่กล้าทำตัวหยิ่งยโสโอหัง
ในร้านแห่งนี้ประดับประดาด้วยภาพวาดและลวดลายอักขระที่แขวนอยู่บนผนัง รวมถึงงานแกะสลักหยกต่าง ๆ บนโต๊ะ ล้วนพิสูจน์ได้ว่าหลี่จิ่วเต้านั้นไม่ธรรมดา และเป็นผู้อาวุโสที่เกินจะหยั่งถึง!
“อย่าฟังเรื่องไร้สาระของเซี่ยเหยียนเลย ข้าเป็นเพียงคนธรรมดาไร้พรสวรรค์ ท่านลุงอย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสเลย ข้าไม่ค่อยยินดีนัก เราคนกันเองเพราะฉะนั้นเรียกข้าว่าจิ่วเต้าเถิด”
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ฮี่ ๆ ลูกต้องเชื่อฟังผู้อาวุโสนะ”
ในส่วนของเด็กสาวที่ได้พูดคุยกับหลี่จิ่วเต้ามาหลายครั้งแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวมากพิธี
หากเป็นเมื่อก่อน นางจะไม่ปล่อยให้จักรพรรดิเซี่ยเรียกผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ว่าจิ่วเต้าแน่ เพราะนั่นถือเป็นการดูหมิ่น!
“อื้ม”
จักรพรรดิเซี่ยพยักหน้ารับรู้ เดิมทีก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยเหยียน เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“จะว่าไป ท่านไม่ได้รดน้ำดอกไม้มานานแล้วหรือ ใบไม้พวกนี้ร่วงหล่นหมดแล้ว”
เด็กสาวมองไปเห็นดอกไม้นานาพรรณทั้งสองด้านจึงถามหลี่จิ่วเต้า
“ก็จริงที่ข้าไม่ได้ดูแลพวกมันมาพักหนึ่งแล้ว…”
ชายหนุ่มมองไปที่ดอกไม้และพืชทั้งสองด้าน พวกมันเหี่ยวเฉาลงเล็กน้อย ซ้ำดินยังแห้งกรังจนเห็นได้ชัดว่าขาดน้ำ
นี่คือดอกไม้และพืชที่ย้ายลงจากภูเขามายังลานบ้านเมื่อไม่นานนี้ ซึ่งเขายังไม่มีเวลาจัดการเลย
ไม่เช่นนั้นแล้วพวกมันคงไม่มีสภาพใกล้ตายอย่างนี้…
ศิลปะด้านดอกไม้และพืชพรรณของเขาก็อยู่ใน ‘ขั้นเทวะ’ แล้วเช่นกัน อีกทั้งฝีมือด้านเกษตรกรรมของเขาก็ถือว่าไม่เป็นสองรองใคร เขาสามารถปลูกต้นไม้ที่ตายแล้วให้มีชีวิตขึ้นมาใหม่ได้ ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ดอกไม้และต้นไม้จะเหี่ยวเฉา!
‘เฮ้อ ทั้งหมดเป็นเพราะเซี่ยเหยียนเลยที่ลากข้าไปล่าสัตว์ที่เนินเขาเขียว ก็เลยลืมดอกไม้ต้นไม้ในสวนไปเสียหมด’
หลี่จิ่วเต้าคิดในใจ
ข้าพึ่งเอามันลงดินเมื่อไม่นานมานี้ โชคดีที่พบเร็ว ไม่เช่นนั้นแม้แต่ข้าก็คงทำอะไรไม่ได้ ดอกไม้และพืชปลูกใหม่ไม่ควรขาดน้ำ
‘นึกถึงบอนไซในบ้านขึ้นมาเลยแฮะ มันถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่ทั้งสมบูรณ์แบบและไร้ที่ติเลยทีเดียว’
หลี่จิ่วเต้าหวนนึกบอนไซในบ้าน
เขาเคยปลูกแค่บอนไซอย่างเดียว
ต่อมาเมื่อได้ขึ้นไปบนภูเขาก็ได้พบดอกไม้สวยงาม และบังเอิญที่กระถางดอกไม้ว่างพอดี เขาจึงนำพวกมันมาปลูกไว้ในสวนซะเลย
“ข้าจะไปเอาน้ำให้ผู้อาวุโสมารดน้ำดอกไม้นะเจ้าคะ”
เซี่ยเหยียนกล่าวอย่างขันแข็ง
“อย่าเลย เวิงอู่โยวที่มากับเจ้ามอบน้ำอมฤตไท่อีให้ข้ามารดน้ำดอกไม้แล้วล่ะ”
หลี่จิ่วเต้าจำขวดน้ำเล็ก ๆ ที่เวิงอู๋โยวมอบให้ได้ อีกฝ่ายบอกเขาว่าน้ำอมฤตไท่อีหนึ่งหยดเปรียบดั่งทะเลสาบหนึ่งแห่ง
บรรพชนผู้นั้นยังกล่าวอีกว่าน้ำอมฤตไท่อีทรงพลังเพียงใด แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้ตั้งใจฟังมากนัก และจำได้เพียงว่าน้ำหนึ่งหยดเปรียบเสมือนทะเลสาบหนึ่งแห่งได้เท่านั้น
เอาเป็นว่า เวิงอู๋โยวแทบจะบอกว่ามันเป็นน้ำที่ดีที่สุดในการใช้รดน้ำต้นไม้เชียวละ!
ไม่ว่าจะมีสรรพคุณเพียงใดก็ไร้ประโยชน์สำหรับมนุษย์อย่างเขา การเอามาใช้รดน้ำทั่วไปก็ดีเยี่ยมแล้ว ไม่เห็นต้องพกน้ำอมฤตนั่นไปไหนด้วยเลย
‘อ้อ มันไม่มีประโยชน์สำหรับข้า แต่มีประโยชน์สำหรับเซี่ยเหยียนนี่นา ทำไมไม่ให้นางไปเลยล่ะ’
หลี่จิ่วเต้าคิดกับตัวเอง
นี่เป็นของผู้ฝึกตน ซึ่งเซี่ยเหยียนก็เป็นผู้ฝึกตน บางทีมันอาจเป็นประโยชน์กับนางก็ได้
‘ลืมมันไปเถอะ เขามาให้อะไรกับมนุษย์อย่างข้าเนี่ย เป็นข้า ข้าไม่ให้หรอกนะ’
หลี่จิ่วเต้าคิดในใจอีกครั้ง
ชายหนุ่มจำได้ว่าตอนที่เขาพูดว่าจะใช้มันรดน้ำดอกไม้ เวิงอู๋โยวก็พูดซ้ำ ๆ ว่าดี มันดีมากสำหรับการรดน้ำดอกไม้
เมื่อพิจารณาว่าตัวเขานั้นเป็นมนุษย์หาใช่ผู้ฝึกตน เวิงอู๋โยวไม่น่ามอบของมีค่าอะไรแก่เขาเลย
เช่นนั้น น้ำนั่นก็ไม่ใช่ของหายากสำหรับผู้ฝึกตนน่ะสิ
‘น้ำอมฤตไท่อี… ใช้รดน้ำดอกไม้!?’
จักรพรรดิเซี่ยพลันรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก ผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ต่อหน้าเขานี้ยากหยั่งถึงเสียจริง!