ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 668 สะใภ้ (ปลาย)
ไท่ฮูหยินใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข อ้าแขนกอดจิ่นเกอไว้ในอ้อมแขน “เด็กดีของข้า ในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาย่า! เป่าติ้งสนุกหรือไม่ ท่านพ่อของเจ้าเล่า” พูดพลางชะเง้อหน้ามองไปทางประตู
ทันทีที่ผ้าม่านขยับ สวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงก็เดินเรียงกันเข้ามา
สวีลิ่งอี๋เดินหลังตรง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาดูสดชื่นอย่างเห็นได้ชัด
สืออีเหนียงสวมเสื้อกั๊กยาวสีชมพู สีหน้าอ่อนโยนราวกับต้นไห่ถังในฤดูใบไม้ผลิ เคลื่อนไหวช้าๆ ดูมีเสน่ห์ ต่างจากปกติเป็นอย่างมาก
ไท่ฮูหยินชะงักไปเล็กน้อย รู้สึกเหมือนมีบางอย่างพุ่งเข้ามาในใจ แต่ความสนใจของนางอยู่ที่สวีลิ่งอี๋ที่เดินอยู่ด้านหน้า ไม่นานก็ละทิ้งความรู้สึกประหลาดใจไว้ข้างหลัง
“เหตุใดถึงพึ่งมาถึงเวลานี้” ไท่ฮูหยินพูดตำหนิพลางมองสำรวจบุตรชายตั้งแต่หัวจรดเท้า รู้สึกว่าบุตรชายของนางดูดีกว่าตอนก่อนไป แอบพยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ระหว่างทางราบรื่นหรือไม่ ทานอาหารกลางวันแล้วหรือยัง” ในใจจึงได้สงบลง
“มีที่พักตลอดทาง ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ ทำให้ท่านแม่ต้องเป็นห่วงแล้ว” สวีลิ่งอี๋คารวะไท่ฮูหยิน “ยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันเลย! พอกลับมาก็ไปล้างหน้าแล้วก็มาที่นี่ เตรียมจะมาทานอาหารที่เรือนท่านแม่!”
ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นห่วง เช่นนั้นต่อไปนี้ก็ไม่ต้องออกไปไหนแล้ว
คำพูดติดอยู่ที่ปาก เมื่อเห็นว่าบุตรชายมีสีหน้าร่าเริง จึงนึกถึงคำพูดของสืออีเหนียงที่บอกว่าสองปีมานี้สวีลิ่งอี๋อยู่แต่ในจวน ไท่ฮูหยินจึงอดกลั้นไว้ไม่พูดออกมา ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าบุตรชายยังไม่ได้ทานข้าว รีบเรียกอวี้ป่านเสียงดัง “ยังไม่รีบยกโจ๊กล่าปามาอีก” จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “บังเอิญวันนี้เป็นเทศกาลล่าปา ทานโจ๊กล่าปาไปก่อนเพื่อความเป็นสิริมงคล แล้วค่อยทานอาหารกลางวัน” ขณะที่พูดก็นึกขึ้นได้ว่าหลานชายสุดที่รักที่อยู่ในอ้อมแขนก็หิวเช่นกัน ลุกขึ้นจับมือจิ่นเกอ “ไปเถิด พวกเราไปทานโจ๊กกัน”
“ทานโจ๊กล่าปาหรือขอรับ!” จิ่นเกอไปที่ห้องรับรองแขกฝั่งตะวันออกกับไท่ฮูหยินด้วยความตื่นเต้น เอาแต่พูดไม่หยุด “ท่านย่า หลายวันมานี้ท่านทำอะไรอยู่ที่เรือนบ้าง ข้าคิดถึงท่านมาก ตอนที่ข้าอยู่ที่เมืองหรงเฉิง ข้าได้ทานเนื้อลาด้วย ข้าอยากจะเอามาฝากท่าน แต่ท่านพ่อบอกว่าระยะทางไกลเกินไป หากเอากลับมาจะเสียเอาได้ ข้าก็เลยซื้อหวีไม้มาให้ท่าน” พูดพลางหยุดฝีเท้าลง แล้วหยิบถุงผ้าสีแดงออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้ไท่ฮูหยินด้วยความเขินอาย “ฝีมือของหวีนั้นธรรมดา แต่ข้าเห็นว่ามีความหมายที่ดีก็เลยซื้อมา…”
“ไอ๊หยา!” ไท่ฮูหยินประหลาดใจเป็นอย่างมาก “จิ่นเกอของพวกเรามีของมาฝากข้าด้วย…” มีความตื้นตันใจที่ยากจะปกปิด “ไหนข้าดูหน่อย ไหนข้าดูหน่อย” หยุดฝีเท้าลงที่หน้าประตูห้องตะวันออกแล้วเปิดถุงผ้า
เป็นหวีธรรมดาๆ จริงๆ ทำจากไม้หวงหยาง ด้ามหวีแกะสลักลายลูกท้อหนึ่งคู่ คล้ายกับหวีที่สาวใช้น้อยใช้
“สวย สวยมากๆ!” ไท่ฮูหยินลูบลายลูกท้อคู่บนด้ามหวี พูดชื่นชมว่า “มีความหมายที่ดีจริงๆ ”
จิ่นเกอถอนหายใจด้วยความโล่งอก พูดอธิบายว่า “พวกเราเพียงแค่หยุดพักทานอาหารที่เมืองหรงเฉิงแล้วก็ออกเดินทาง ส่วนของที่เมืองอื่นๆ นั้นแย่กว่า ไว้คราวหน้าข้าออกไปอีก ข้าจะซื้อของที่ดีกว่านี้กลับมาให้ท่านแน่นอนขอรับ”
“ดี ดี ดี” ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างสดใส เดินเข้าไปในห้องตะวันออกพร้อมกับจิ่นเกอ “พอเจ้าไม่อยู่จวน ทุกครั้งที่เซินเกอมาก็ดูไม่มีชีวิตชีวา ที่เรือนย่าก็เงียบเหงา…”
จิ่นเกอพูดอย่างเห็นใจว่า “คงเป็นเพราะเขาออกไปไม่ได้” จากนั้นน้ำเสียงก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง “แต่ว่าข้าก็มีของมาฝากเขาเช่นกัน เป็นแส้ม้าหนึ่งอัน ด้ามเป็นหยก ตัวแส้ทำจากเหล็ก สวยงามอย่างมาก ข้าก็มีหนึ่งอัน คนที่เคยขี่ม้ากับท่านพ่อให้มา พอเขารู้ว่าท่านพ่ออยู่ที่ป้าโจวก็รีบควบม้าเร็วมาเป็นเวลาสองวัน ท่านรู้จักเมืองผิงซุ่นหรือไม่ คนผู้นั้นเป็นผู้จับกุมอยู่ที่ผิงซุ่น เป็นขุนนางระดับเก้า ท่านรู้หรือไม่ว่าผู้จับกุมทำอะไรบ้าง ก็คือมีหน้าที่จับโจร ตอนที่พวกเรากำลังทานข้าวกันอยู่ เขาก็คอยยืนเทสุราให้อยู่ข้างๆ ตอนที่พวกเราจะไป เขายังแอบยัดทองคำก้อนใหญ่สองก้อนให้ข้าอีกด้วย…”
ทั้งสองคนพูดคุยกันพลางนั่งลงบนตั่งนั่งที่ห้องตะวันออก
“จริงหรือ!” ไท่ฮูหยินให้ความสนใจหลานชาย พูดด้วยความประหลาดใจว่า “เช่นนั้นการที่จิ่นเกอของพวกเราออกไปครั้งนี้ ก็ได้รู้จักคนมากมายเลยใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วขอรับ!” ออกไปครั้งนี้ได้เห็นผู้คนและสิ่งแปลกใหม่มากมาย จิ่นเกอกำลังอยากจะเล่าให้ใครสักคนฟัง คำพูดของไท่ฮูหยินตรงกับใจเขาพอดี ยกนิ้วขึ้นมานับ เขาอธิบายต่อไปว่า “ข้ายังได้รู้จักผู้ช่วยนายอำเภอเมืองชิงย่วน ถงจือเมืองติ้งซิ่ง และผู้บัญชาการกองทัพทหารจี้โจว…”
สวีลิ่งอี๋ที่เดินตามหลังทั้งสองคนโน้มตัวเล็กน้อยมากระซิบข้างหูสืออีเหนียงว่า “ข้าเองก็มีของมาฝากเจ้าเช่นกัน!”
ตั้งแต่ที่เจอหน้ากันมาจนถึงยามนี้ ทั้งสองคนยังไม่ได้พูดคุยกันอย่างจริงจังเลย…
สืออีเหนียงปิดปากหัวเราะพลางจ้องไปที่เขา แต่กลับไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เอาแต่หน้าแดงไม่พูดอะไร
สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็ใจเต้นแรง บีบมือนางเบาๆ
มีเสียงดังขึ้นจากข้างนอก ตามด้วยเสียงสาวใช้ตะโกนเรียกเบาๆ “คุณนายน้อยเจ็ด ท่านช้าลงหน่อย ช้าลงหน่อยเจ้าค่ะ…”
สองสามีภรรยาหันมามองหน้ากันแล้วยิ้ม ปล่อยมือออกจากกัน
เซินเกอวิ่งเข้ามาด้วยความดีใจ “พี่หก ท่านกลับมาแล้วหรือ!”
“น้องเจ็ด!” จิ่นเกอรีบวิ่งมาหา
เด็กน้อยทั้งสองคนวิ่งมากอดกัน
“เป่าติ้งสนุกหรือไม่” เซินเกอรอคำตอบไม่ไหว “ท่านได้ไปที่ไหนมาบ้าง”
“ข้าไปมาหลายที่เลย!” จิ่นเกอพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ไปติ้งซิ่ง ป้าโจว จี้โจว…” เขายังไม่ทันพูดจบ สวีซื่อจุนกับเจียงซื่อก็เข้ามา
“ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้วหรือขอรับ!” เขาคารวะสวีลิ่งอี๋อย่างนอบน้อม ยิ้มพลางลูบศีรษะจิ่นเกอ
เจียงซื่อโน้มตัวลง ยิ้มพลางถามเขาว่า “น้องหกไปมาหลายที่เลยใช่หรือไม่ เล่าให้พวกเราฟังสักหน่อยเถิด” คำถามนี้ทำเอาจิ่นเกอยิ้มจนดวงตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว เล่าสิ่งที่ได้ยินได้เห็นตลอดทางให้พวกเขาฟัง
หลังจากนั้นไม่นาน สวีลิ่งควน ฮูหยินห้า สวีซื่อเจี้ย เซี่ยงซื่อและคนอื่นๆ ก็มาถึง ทุกคนนั่งลงแล้วฟังจิ่นเกอพูด
จิ่นเกอมีความสุขเป็นอย่างมาก ไม่ต้องถามว่ามีความสุขแค่ไหน หากไม่ใช่เพราะอวี้ป่านยกโจ๊กเข้ามา บทสนทนานี้ก็คงจะยังไม่จบ
ในตอนบ่าย จิ่นเกอพาเซินเกอกลับห้องตัวเอง นำของขวัญที่ตนซื้อให้เซินเกอมอบให้เขา ซ้ำยังนำของที่ซื้อมาระหว่างทางอย่างไม้แคะหู ตุ๊กตาปั้น รูปปั้นคนต่อสู้กัน เหยือกสุรารูปเป็ดที่เทได้สองรู…มาให้เซินเกอดู เล่าให้ฟังว่าของสิ่งนี้ซื้อมาตอนไหน ซื้อมาได้อย่างไร เซินเกอได้ฟังดังนั้นก็ตาเป็นประกาย จิ่นเกอภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก พาเซินเกอไปมอบของขวัญให้กับทุกคน
สวีลิ่งอี๋มองดูเด็กสองคนวิ่งออกประตูไป ยิ้มพลางถามสืออีเหนียงที่กำลังจัดเสื้อผ้าให้เขาว่า “เหตุใดเจ้าไม่ถามข้าว่าซื้ออะไรมาฝากเจ้าเล่า”
“ข้าก็กำลังรอให้ท่านโหวเอ่ยปากอยู่เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “มีที่ไหนไปขอของฝากจากคนอื่น”
เมื่อก่อนเขาก็เคยซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ให้นาง นางก็เพียงแต่ยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ แต่กลับไม่เหมือนครั้งนี้ ท่าทางดูสบายๆ เผยให้เห็นความสนิทสนมเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋จับมือนาง “มากับข้า!” ไปที่ห้องหนังสือ
หีบสีแดงแกะสลักใบหนึ่งวางอยู่ที่มุมกำแพง เห็นได้ชัดว่าได้มาใหม่จากการออกไปครั้งนี้
สวีลิ่งอี๋เปิดหีบออก ด้านในมีม้วนภาพวาดมากมาย
สวีลิ่งอี๋วางม้วนภาพวาดลงบนพื้น
“นี่คือภาพวาดตอนที่ข้าออกไปครั้งนี้” เขาเปิดภาพวาดทีละภาพ “เจ้าดูสิ นี่เป็นภาพวาดตอนที่ข้าอยู่ที่จุดพักฝังซาน” เขาชี้ไปที่ภาพแรก “นี่คือถนนสายหลักของอำเภอฝังซาน ส่วนนี่คือที่ว่าการอำเภอ ด้านหลังที่ว่าการอำเภอเป็นโรงหมอ ถัดจากโรงหมอเป็นโรงเตี้ยม มีของกินขาย พวกเราทานอาหารที่โรงเตี้ยมแห่งนี้…ฝังซานเล็กมาก ไม่มีอะไรน่าดู…นี่คือป้าโจว…ที่ตรอกตงเจียเป็นที่ขายของกินทั้งหมด ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือน้ำแกงว่านเจียฮู่ ข้ากับจิ่นเกอตั้งใจไปกินโดยเฉพาะ แต่รู้สึกว่ารสชาติก็ธรรมดา…นี่คือตรอกม่ายเจีย ที่นั่นเต็มไปด้วยร้านขายงานปัก เครื่องประดับผม หมวกฝูโถว ข้าดูแล้วก็รู้สึกว่าธรรมดามาก” เขาพูดพลางยิ้มแล้วหยิบงานปักออกมาจากหีบ “เจ้าดูสิ…”
สืออีเหนียงค่อยๆ เปิดม้วนผ้าปัก
“ข้าเห็นในร้านเย็บปักแห่งหนึ่ง” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เหมือนกับงานปักทั่วไปของเจ้าใช่หรือไม่ ได้ยินมาว่านี่เป็นวิธีการปักของชาวต้าเหลียง ไม่ได้ใช้เข็มปักธรรมดาทั่วไป” เขาหยิบกล่องเล็กๆ ออกมาจากหีบ ด้านในมีเข็มปักหลายอันวางเรียงกัน “เจ้าดูสิ เข็มปักเหล่านี้หนากว่าของเจ้า สอดด้ายเข้าไปตรงนี้ เวลาปักให้ยกด้ายขึ้นมา ปล่อยปลายด้ายไว้บนงานปัก จากนั้นก็ใช้กรรไกรตัดให้เรียบร้อย”
ขณะที่เขากำลังทำท่าทางให้ดู สีหน้าจริงจังเป็นอย่างมาก
ดวงตาของสืออีเหนียงพร่ามัว เงาของเขาราวกับดอกไม้ที่อยู่ในน้ำ เหมือนดวงจันทร์ที่อยู่ในกระจกก็ไม่ปาน
นางค่อยๆ วางงานปักลง กอดเอวของเขาไว้แน่น
“ข้าชอบมาก…ของฝากที่ท่านโหวซื้อให้ ข้าชอบทุกอย่างเลย…”
นางเคยไปมาหลายที่ เคยเห็นวิวทิวทัศน์มามากมาย แต่ในเวลานี้จู่ๆ ก็รู้สึกว่าการที่ได้ดูภาพวาดทิวทัศน์เหล่านี้ที่ลานเล็กๆ แห่งนี้ก็มีความหมายเป็นอย่างมากเช่นกัน
“ข้าชอบมากเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงเอาหูแนบหน้าอกของเขาแล้วหลับตาลง เสียงหัวใจเต้นที่หนักแน่นและทรงพลังราวกับกลองดังเข้ามาในหูของนาง “ข้าชอบมันยิ่งนัก!”
สวีลิ่งอี๋ชะงักไปครู่หนึ่ง
นี่ไม่ใช่ของขวัญที่เขาจะให้นาง
ของขวัญที่เขาจะให้นางคือสร้อยคอทองคำฝังหินแก้ว
เตรียมจะเอาออกมาให้ในตอนกลางคืน
สวมที่คอขาวเนียนดุจหยกของนาง…แค่คิดก็รู้ว่าบรรยากาศจะเป็นเช่นไร…
วันแรกพำนักในอำเภอฝังซาน ไม่อยากพบข้าราชการอำเภอเหล่านั้น ดังนั้นจึงหยุดพักเร็วหน่อย ภายใต้แสงไฟเห็นใบหน้าหลับสนิทของจิ่นเกอ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกคิดถึงนางสุดหัวใจ
หากมีนางอยู่ข้างๆ ก็คงดี…
เมื่อนึกขึ้นได้ว่านางชอบอ่านหนังสือเก้าแคว้นแห่งต้าโจว ก็เลยลุกขึ้นมาวาดภาพนี้
ต่อมาเมื่อการเดินทางผ่อนคลายลงและได้พักผ่อนแล้ว เขาก็เลยวาดอีกสองสามรูป
คิดไม่ถึงว่านางจะชอบขนาดนี้
มุมปากของสวีลิ่งอี๋ยกขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข
เขาไม่ใช่คนที่จะเป็นปฏิปักษ์กับความโชคดีของตัวเอง!
เขาหอมที่หน้าผากนางแรงๆ หนึ่งที “ข้ายังมีของให้เจ้าอีกอย่าง!”
“อะไรหรือ” สืออีเหนียงมองสวีลิ่งอี๋หยิบกล่องไม้สีแดงแกะสลักออกมาจากหีบ จากนั้นก็นั่งลงบนเตียงหลัวฮั่นข้างๆ เขาด้วยความสนใจ
ความเจ้าเล่ห์พาดผ่านเข้ามาในสายตาของสวีลิ่งอี๋ ยื่นกล่องให้นาง “เปิดดูสิ!”
สืออีเหนียงเปิดกล่องด้วยความสงสัย
เป็นสิ่งของที่แปลกมากๆ นางไม่เคยเห็นมาก่อน
“นี่คือ…?” นางจ้องมองสวีลิ่งอี๋ด้วยความงุนงง
สวีลิ่งอี๋กระซิบที่ข้างหูนางสองสามประโยค
ไม่เคยทานเนื้อหมู แต่ก็ไม่เคยเห็นหมูวิ่งด้วยอย่างนั้นหรือ
ราวกับมันร้อนลวกมือ สืออีเหนียงวางกล่องลงบนเตียงหลัวฮั่น
“ท่านโหวไปเอาของสิ่งนี้มาจากไหนกัน…” ใบหน้าของนางแดงก่ำราวกับสีเลือด
“คนอื่นให้มา!” สวีลิ่งอี๋ขบที่ใบหูของนางเบาๆ “ข้าคิดว่าไม่เลวเลย…พวกเราลองดูดีหรือไม่!”
“เจ้าคนผู้นี้!” สืออีเหนียงยืนขึ้นด้วยความโกรธ “เมื่อครู่ยังรู้สึกว่าท่านไม่เลวเลย ตอนนี้ท่านกลับ…” ยังไม่ทันพูดจบตัวเองก็หลุดหัวเราะออกมาเสียก่อน