ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 44
นที่ 44 เสร็จสิ้นการบำบัด
หลังจากเวลาล่วงเลยไปถึงสองวัน อาการเลือดตกในปอดของปาลเล่ก็ทุเลาลง
ปาลเล่สามารถหายใจได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งออกซิเจนจากฟาร์มา อันเนื่องมาจากการดูแลอย่างใกล้ชิดของฟาร์มาและผลจากคทาแห่งเทพโอสถ เห็นได้ชัดว่าการถ่ายเลือดที่เตรียมไว้นั้นคงจะไม่ได้ใช้เสียแล้ว
แต่อาการเหนื่อยในขณะลุกนั่งนั้นยังส่งผลให้เขาหายไม่ใจค่อยจะออกอันเนื่องมาจากภาวะโลหิตจาง แต่เขาก็จำเป็นจะต้องออกไปอาบน้ำเพื่อทำการรักษาความสะอาดซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากสำหรับปาลเล่
ถึงจะอยู่ในช่วงที่ดูแลปาลเล่อยู่ แต่ฟาร์มาก็ไม่ได้ปิดร้านขายยาแต่อย่างใด โดยระหว่างนั้นเขาได้ให้เอเลนและแพทย์โอสถขั้นหนึ่งคอยหมุนเวียนแทน โดยได้มีบันทึกผู้ป่วยที่เข้ามาในร้านเป็นตัวช่วยในการรักษาซึ่งเคสที่เข้ามานั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากที่ผ่านมาเท่าใดนักจึงไม่มีปัญหาใดๆ
แต่หากเป็นโรคที่ไม่เคยพบหรือเหตุฉุกเฉิน กรณีนั้นจะถูกส่งมายังบ้าน เดอ เมดิซิสแทน
และเมื่อคิดถึงความเสี่ยงของผู้ป่วยที่อาจจะมีการติดเชื้อได้ ที่บ้านจึงได้ทำห้องผู้ป่วยแยกมาอีกที
ทางด้านของเมโลดี้นั้นก็ใช้เวลาประมาณหนึ่งวันหลังจากคำสั่งซื้อนั้น ส่งมอบกระบอกสูบกลับมา ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่ได้ติดตั้งมาตรวัดความดันมาด้วยก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดเพราะการคำนวณแรงดันต่างๆ ก็ใช้สายตาของฟาร์มาในการวัดและความสามารถในการสร้างสสารเอาอีกที
วาล์วได้ถูกสร้างขึ้นมาตามที่ระบุไว้เป็นพิเศษ โดยฟาร์มาเป็นคนเติมออกซิเจนเข้าไปซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับกระบอกสูบออกซิเจน
ดังนั้นตอนนี้ปาลเล่จึงสามารถใช้หน้ากากออกซิเจนได้ด้วยตัวเองหากเกิดปัญหาอะไรขึ้น และจะได้ไม่ได้ตัวติดกับฟาร์มาตลอดเวลา
จำนวนของผู้เข้าเยี่ยมภายในห้องของปาลเล่นั้นก็ยังคงมีจำกัด
โดยมีกำหนดการแค่เพียงวันละครั้ง สำหรับสมาชิกภายในครอบครัวเท่านั้น แม้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นจะชะล้างคฤหาสน์ได้ทั้งหมดแล้ว แต่นั่นก็ใช่จะวางใจได้เนื่องจากยังคงมีการเข้าออกของเหล่าข้ารับใช้ภายในคฤหาสน์อยู่ด้วย โดยปกติแล้วปาลเล่จะถูกขอให้ไม่ออกจากห้องไปไหน ซึ่งต้องจัดการเรื่องต่างๆ อย่างเข้มงวดกระทั่งเรื่องการเปิดหน้าต่างที่เปิดได้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
ปาลเล่เข้าใจดีจากคำอธิบายของสักอย่างมาที่บอกว่าทำไมเข้าต้องทำเช่นนั้น
บลานช์กับแม่ของเธอก็ได้ผลัดกันเข้ามาเยี่ยม โดยสวมอุปกรณ์ป้องกันอย่างสมบูรณ์เช่นพวกหน้ากากและชุดป้องกัน ซึ่งปาลเล่ก็แอบแกล้งทำเป็นมีอาการป่วยขึ้นกะทันหันเล็กน้อยพออยู่ต่อหน้าทั้งสอง ก่อนจะทำเป็นบอกว่าตัวเองแข็งแรงดีราวกับอยากจะหยอกเล่น
หลังจากปิดร้านขายยาแล้ว เอเลนก็ได้เข้ามาเยี่ยมปาลเล่
“ปาลเล่ นายเป็นยังไงบ้าง?”
เอเลนได้มาพร้อมกับช่อดอกไม้สดขนาดใหญ่และเค้กอบที่เธอซื้อมา
โดยตัวของเอเลนนั้นได้เปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งแต่อยู่ที่บนหลังม้า ก่อนจะฆ่าเชื้อที่มือและเปลี่ยนรองเท้าเพื่อป้องกันการติดเชื้อเมื่อเข้ามาในห้อง
“อืม ก็เรื่อยๆ แหละนะ แต่ก็รู้สึกแย่เหมือนกันนะที่ต้องยืมตัวฟาร์มามาจากร้านขายยาแบบนั้น ทั้งที่ฉันบอกหมอนั่นไปแล้วแท้ๆ ว่าให้กลับไปได้แล้ว จริงๆ เลย”
ปาลเล่พยายามโน้มน้าวให้ฟาร์มากลับไปหลายครั้งแล้ว “ฉันไม่เป็นไรแล้วน่านายกลับไปทำงานเถอะ” แต่ฟาร์มาก็ค้านหัวชนฝาที่จะห่างจากปาลเล่ เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมา เขาอาจจะมาไม่ทันก็เป็นได้
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันว่าให้ฟาร์มาคุงอยู่กับนายก็ดีแล้ว แล้วการรักษาเป็นยังไงบ้างแล้วล่ะ?”
เอเลนได้แต่จินตนาการถึงความเจ็บปวดของปาลเล่จากการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว ปาลเล่ที่ต้องติดสายน้ำเกลือไปมาแบบนั้นต้องเจ็บเอามาแน่ๆ
“ก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าที่คิดหรอก”
ปาลเล่ตอบผ่านๆ ไป
“จริงเหรอ!? แต่ฟาร์มาคุงไม่เห็นบอกมาแบบนั้นเลยนะ”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกน่า”
“ช่างเรื่องนั้นเถอะน่า…… เอาเป็นว่าฉันสบายดี”
เอเลนก็ได้ปักใจเชื่อคำพูดที่เข้มแข็งของสักอย่างเล่ไป ถึงแม้จะเป็นคำโกหกก็ตามที แต่เธอก็ไม่อยากจะเห็นสภาพของปาลเล่ที่เจ็บป่วยแบบนั้นจริงๆ ซึ่งเขาก็แสดงมันได้ดีมากเลยทีเดียว
“จริงสิ ฉันต้องรีบฟื้นตัวเพื่อมาคิดบัญชีกับเธอต่อด้วยนี่นา คงต้องพยายามหน่อยแล้วสิ ฮ่าๆๆ!”
“เอาเถอะถ้ามีแรงหัวเราะได้แบบนั้นก็คงจะไม่เป็นไรแล้วล่ะนะ”
เอเลนยอมใจผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ
“ก็พยายามเข้าแล้วกันนะ หลังจากนายหายแล้วค่อยมาต่อเรื่องนั้นกัน”
พอเอเลนปิดประตูไป ปาลเล่ก็ถึงกับทรุดตัวลงบนเตียง เพราะดูเหมือนการคุยนานๆ จะทำให้เหนื่อยเอาเรื่องเลย
ฟาร์มาที่กำลังรักษาผู้ป่วยที่ถูกส่งจากร้านขายยาภายในห้องแยกนั้น ก็ได้กลับไปยังห้องรักษาหลังจากที่เอเลนทำการฆ่าเชื้อเสร็จหลังเยี่ยม
“ท่านพี่ดูหายใจลำบากขึ้นนะครับ เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมาด้วย ถ้าเกิดท่านพี่ใช้เสียงขนาดนั้นอาจจะทำให้รู้สึกไม่สบายขึ้นมาอีกก็ได้นะครับ”
“ไม่ต้องพูดเรื่องนั้นหรอกน่า ฉันรู้ตัวเองดี”
“แต่มันก็ดังเกินไปนะครับ เอเลนก็เป็นห่วงด้วย”
“ในฐานะลูกผู้ชายของบ้านเดอ สักอย่างดิซิสแล้ว จะมาแสดงความอ่อนแอต่อหน้าสตรีได้เช่นไรกัน”
ฟาร์มารู้สึกถึงความมุ่งมั่นภายในใจของสักอย่างเล่ที่ต้องตระหนักถึงความภาคภูมิใจในการเป็นลูกชายคนโตของบ้านได้เป็นอย่างดี
และในช่วงเช้าวันที 7 ของการรักษา ปาลเล่ก็ได้ซดซุปลงคอของเขา สิ่งที่เสิร์ฟให้กับเขาในวันนี้คือ อาหารประเภทกึ่งสุขพร้อมเครื่องเทศ น้ำมันและไขมัน รวมไปถึงผลิตภัณฑ์จำพวกนมลดภาระความเสี่ยงของการติดเชื้อและระบบทางเดินอาหาร
“ไม่ต้องเป็นเรื่องอาหารขณะใช้ยานะครับ พวกเราได้คัดมาเป็นอย่างดีแล้ว”
ปาลเล่รู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมาหลังจากเข้ารับการรักษาได้ช่วงหนึ่ง สิ่งที่เขาดื่มในตอนนี้ไม่ใช่ของจำพวกอย่างน้ำผลไม้ แต่เป็นน้ำเปล่า น้ำร้อน หรืออะไรที่ใกล้เคียง
กำลังขาของเขาก็เริ่มอ่อนลงเนื่องจากติดเตียงเป็นเวลานาน
“การติดเชื้อมันง่ายกันขนาดนี้เลยสินะ พี่ละไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริงๆ”
ฟาร์มาก็ทานอาหารชุดเดียวกับปาลสักอย่างภายในห้องนั้น เพื่อลดความกังวลของปาลเล่
เนื่องจากการลดลงของจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เป็นผลมาจากตัวยาต้านมะเร็งนั้น ปาลเล่จึงต้องระวังเรื่องของการติดเชื้อเป็นอย่างมาก
แต่พออยู่ภายในเขตแดนของฟาร์มาแล้ว ความเสี่ยงจำพวกติดเชื้อจากแบคทีเรียนั้นก็ลดลงไปมากทีเดียว
“พี่ก็ไม่ได้อยากจะให้นายมาทานอาหารแบบเดียวกันหรอกนะ กลับไปทานพวกเนื้อหรือปลาได้แล้วมั้งเดี๋ยวก็ไม่มีแรงหรอก”
ปาลเล่ยิ้มออกมา ราวกับว่าเขาไม่อยากให้ฟาร์มากังวลเรื่องนี้อีก
“เดี๋ยวนายก็เหนื่อยอีกหรอก ทางที่ดีควรจะหลับแต่หัววันนี้เลยก็ได้นะ”
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ท่านพ่อก็ปรุงยาให้ผมแล้วด้วย จะมีก็แต่ท่านพี่แหละครับ..…”
เครื่องดื่มชูกำลังของบรูโนที่ปรุงขึ้นมานั้นได้ผลเป็นอย่างมากจนฟาร์มาเผลอคิดไปเลยว่ามันคือยาเสพติดหรือเปล่า ปาลเล่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ทำหน้าสงสัย
“ยาของท่านพ่อได้ผลดีจริงๆ สินะ ที่จริงเป้าหมายในตอนแรกของฉันก็อยากจะเป็นแพทย์โอสถเช่นเดียวกับเขานั่นแหละ เพราะยาที่เขาทำนั้นถือว่าสุดยอดที่สุดในทวีปนี้เลยทีเดียว..แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะนะ”
พอพูดแบบนั้นปาลเล่ก็กลับไปกินอาหารอ่อน อย่างเงียบๆ ต่อ
“อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้มันเปลี่ยนไปกันเหรอครับ?” ฟาร์มาถามกลับไปเหมือนแกล้งไม่รู้ถึงสาเหตุนั้น
“ก็ไม่มีอะไรหรอก” ปาลสักอย่างตอบพึมพำ “ก็แค่เผลอพูดไปน่ะ”
ฟาร์มาก็ปล่อยผ่านไปด้วยแค่ตอบว่า “เข้าใจแล้วครับ” จากนั้นก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรอีกเลย
“แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่ามันจะไม่เป็นแบบนี้ต่อไปหรอก! พี่จะต้องได้เรียนรู้ศาสตร์ทรงภูมิปัญญาจากเทพโอสถด้วยตัวเองแล้วก้าวข้ามนายไปให้ได้เลย! ฮ่าๆ -อ๊อค!- ฮ่ะๆ!”
ในฐานะพี่ชายของฟาร์มาแล้ว ปาลสักอย่างนั้นมักจะทำตัวให้สมกับบทบาทนั้นและไม่เคยบ่นกับเขาเลยสักนิดถึงฟาร์มาจะรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นสภาพของปาลเล่ แต่ทางด้านของจิตใจและอารมณ์แล้วถือว่ามีการพัฒนาอย่างเข้มแข็งเลยทีเดียว
“ท่านพี่ เดี๋ยวก็สำลักออกมาอีกหรอก หยุดเถอะครับ เพราะพอท่านพี่อาการดีขึ้นมาแล้วเดี๋ยวเราจะเริ่มกลับไปใช้ ATRAกันนะครับ จนถึงตอนนั้นคงต้องรอให้อาการเลือดออกในปอดหายดีเสียก่อน”
เมื่อไม่ได้ใช้ ATRAจำนวนของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวจะเริ่มเพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง แถมอาการดังกล่าวอาจจะทำให้เกิดอาการเลือดตกภายใน ได้อีกครั้งถึงจะไม่ใช่ผลข้างเคียงของ ATRAก็ตาม แถมฟาร์มายังรู้สึกกังวลถึงอาการเลือดตกในสมองที่หนักกว่าทั้งหมดที่ว่า ดังนั้นเขาจึงต้องรีบหาโอกาสที่เหมาะในการรักษาจุดนั้นให้เร็วที่สุด
“แล้วเดี๋ยวมันจะไม่กลับมาเป็นแบบเดิมเอาเหรอ…?”
ปาลเล่ถาม แม้จะยังหัวเราะและยิ้มออกมาได้ แต่เขาก็ต้องระวังตัวกับเรื่องนั้นยิ่งขึ้น
“ความเสี่ยงก็ยังคงมีเหมือนเดิมครับ แต่ครั้งต่อไปผมจะเริ่มให้ในปริมาณของ 75%จากครั้งก่อนครับ”
ปาลเล่จำความรู้สึกของอาการตกเลือดได้เป็นอย่างดีและคิดอยู่เลยว่าตอนนั้นแทบอยากจะขาดใจตายขนาดไหน
แล้วเขาก็ตัดสินใจ “เข้าใจละ…มีแต่ต้องทำสินะ…งั้นก็มาจัดการให้มันจบๆ ไปกันดีกว่า”
แต่ถึงแบบนั้นมันจะมีการรักษาที่น่ากลัวกว่านี้อีกหรือเปล่า เพราะในใจของเขานั้นตระหนักได้ดีถึงความน่ากลัวของมะเร็ง
ในทำนองเดียวกันฟาร์มาก็รู้สึกว่ามะเร็งนั้นก็เหมือนกับราชาของเหล่าโรคร้าย เพราะมันสามารถทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตหรือตายก็ได้ จะรักษาหายหรือไม่ก็ไม่อาจจะคาดเดาได้
ปาลเล่รู้ดีว่าจะขอบคุณฟาร์มาเท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะแม้แต่ความรู้ด้านมะเร็งของโนวารูตก็ยังเข้าไม่ถึง ฟาร์มากับวินิจฉัยมันได้ ยิ่งกว่านั้นยังสามารถสร้างยาโดยการสังเคราะห์ของเขาจากการยืมพลังของเทพโอสถ
“นั่นหมายความว่าเซลล์ในร่างกายของฉันมันก็จะกลับมาโจมตีกันเองสินะ…”
“นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมโรคนี้ถึงได้รักษายากครับ เพราะหากระบบภูมิคุ้มกันมองว่าเซลล์ไหนไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่างกายเรามันจะเข้าทำการกำจัดครับ ในทางตรงกันข้ามหากมันมองว่าคือส่วนหนึ่งของร่างกายเรามันก็จะไม่ทำอะไร” ฟาร์มายืนยันในเรื่องนี้
“แล้วก็ที่จริงตอนที่ผมเลือกใช้เคมีบำบัดในการรักษาตั้งแต่ตอนแรกนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ผมพลาดไปจริงๆ ด้วยครับ ไว้ครั้งหน้าผมค่อยกลับมาใช้มันกับยาตัวอื่นแล้วกันนะครับ”
เคมีบำบัดนั้นจะสร้างภาระเป็นอย่างมากต่อร่างของผู้ป่วย ดังนั้นฟาร์มาน่าจะตัดสินใจเฝ้าดูอาการไปอีกวันหนึ่งก่อนหลังให้ ATRA เพื่อดูผลของมัน แต่นั่นก็กลับกลายเป็นตัวเลือกที่ผิดไป
ยิ่งไปกว่านั้นมันก็มีทางเลือกในการรักษาแบบอื่นที่เรียกกันว่า การบำบัดด้วยฮอร์โมน ATRA ซึ่งอาจจะได้ผลดีกว่า แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ซึ่งมันก็ยากที่จะตัดสินได้ว่าแบบไหนดีกว่า
สำหรับตัวฟาร์มาที่ขาดประสบการณ์ส่วนของการเปิดคลินิกในชีวิตก่อนจึงเข้าใจได้ดีเลยว่างานเภสัชกรนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ฟาร์มาได้บอกกับปาลเล่ว่าให้เตรียมตัวพร้อมรับผลข้างเคียงเพราะมันอาจจะออกมาไม่สวยก็ได้ ปาลเล่ถึงกับแสดงสีหน้าที่จริงจังออกมา
“นายจะใช้วิธีแบบไหนก็ได้ที่คิดว่ามันดีที่สุด ยังไงฉันก็แข็งแกร่งอยู่แล้วไม่ต้องกังวลกับทางนี้มากก็ได้”
“งั้นผมจะเริ่มเลยนะครับ แต่หากท่านพี่รู้สึกคลื่นไส้ก็บอกนะครับ เดี๋ยวผมจะใช้ยาแก้ แล้วก็ตัวยานี้อาจจะทำให้มีไข้ และอาการอ่อนล้าอย่างรุนแรง ดังนั้นพร้อมหรือเปล่าครับ?”
“จัดมาเลย!”
ฟาร์มารู้สึกได้ถึงความต่างของแพทย์โอสถที่คุยกับแพทย์โอสถด้วยกันเองเพราะหากเป็นผู้ป่วยทั่วไปแล้วคงต้องให้เขาเลือกว่าจะรับการรักษาแบบไหน
ปาลเล่ต้องการที่จะหายจากโรคนี้และนำข้อมูลนั้นไปเป็นส่วนอ้างอิงกับสมาคมแพทย์และแน่นอนว่ารวมไปถึงวิธีการรักษาของฟาร์มาด้วย
ในวันที่6 หลังจากที่ปาลเล่กลับมาใช้ ATRA เขาก็ยังคงต้องใช้ อิดารูบิซีนผ่านทางสายน้ำเกลือเหมือนเดิม
ปาลเล่เฝ้ามองดูฟาร์มาที่กำลังเติมอิดารูบิซีนเข้าไปในถุงน้ำเกลือที่ฝังอยู่ในร่างของเขาด้วยความตั้งใจ
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่พี่เห็นการใช้สายฉีดหรือถุงน้ำเกลือแบบนี้ มันค่อนข้างจะแหวกแนวจากการรักษาที่เคยมีมาเลย สงสัยจังว่าจะสามารถนำไปใช้ในรูปแบบอื่นได้อีกไหม”
อย่างที่ฟาร์มาคาดไว้ ปาลเล่นั้นต้องเข้าใจว่าสิ่งนี้มันคือภูมิปัญญาของพระเจ้า เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ในตอนนี้จะสามารถคิดได้
“ก็นะครับ” ฟาร์มาตอบ “ผมก็รู้แต่วิธีการใช้ของพวกนี้กับสัตว์เท่านั้นด้วยสิ”
“หืมมม…พี่ว่าพี่ได้ยินอะไรแปลกๆ ออกมานะ นี่นายไปฝึกกับสัตว์เอาตอนไหนกันเนี่ย?”
“ก็ตอนที่ท่านพี่ไม่อยู่นั่นแหละครับ”
มันเป็นช่วงชีวิตก่อนของฟาร์มาในฐานะเภสัชกร แต่ฟาร์มาคิดว่าคงจะดีกว่าหากไม่บอกเรื่องนั้นกับเขา
“ร่างกายของมนุษย์กับสัตว์นั้นส่วนใหญ่ก็มีลักษณะคล้ายกันครับดังนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร”
“งั้นเหรอ…แต่พวกยาต้านมะเร็งอะไรนี่สีมันดูไม่น่าชมเอาซะเลยนะ แถมยังเปลี่ยนสีของฉี่ให้แดงขึ้นมาอีก…”
ปาลเล่ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องดูของเหลวสีสนิมหยดลงมาบนร่างกายของเขา
“แล้วดูเหมือนเข็มนี่จะเสียบไว้ต่างจากครั้งก่อนหรือเปล่าน่ะ นี่ตั้งใจทำอะไรเพิ่มใช่ไหม?” ปาลเล่ถาม เพราะเขาสังเกต การกระทำของฟาร์มาอย่างใกล้ชิดจนเห็นแม้กระทั่งความต่างที่เล็กน้อยนี้
“มันจะดีกว่าถ้าไม่เลือกใช้เส้นเลือดเดิมครับ เพราะยาต้านมะเร็งพวกนี้อาจจะไปสร้างความเสียหายให้กับพวกนั้นก็ได้”
“นี่นายจะบอกว่ามันเป็นพิษงั้นเหรอ แปลว่าพวกเส้นเลือดจะได้รับความเสียหายจากยาพวกนี้ด้วยสินะ แบบนี้นี่เอง…”
หกชั่วโมงหลังจากปาลเล่รับการรักษาแบบเดิม เขาก็เกิดอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรง ในตอนแรกปาลเล่ยังพอจะร่าเริงอยู่ได้ แต่หลังจากอาเจียนขึ้นมาหลายครั้ง กรดในกระเพาะก็อาจจะเข้าไปทำให้หลอดอาหารระคายเคืองขึ้นมาได้ พอเป็นแบบนี้ซ้ำๆ แรงของเขาก็เริ่มหมดไป
“ท่านพี่ ลองเปลี่ยนยาลดอาการคลื่นไส้มาเป็นตัวนี้แล้วกันนะครับ”
อาการคลื่นไส้นั้นส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมีนัยสำคัญ ถึงแบบนั้นฟาร์มาก็ไม่รู้อยู่ดีว่ายาตัวไหนจะเหมาะสำหรับปาลเล่หากไม่ตรวจให้ดีๆ เพราะแบบนั้นเขาจึงต้องลองเปลี่ยนยาตัวใหม่ดูอีกครั้ง
“โอเค จัดมาเลย”
ปาลเล่ได้ทานยาต้านอาการคลื่นไส้เข้าไป แต่แล้วเขาก็อาเจียนมันออกมาทันที ดังนั้นฟาร์มาจึงได้ผสมมันเข้าไปในถุงน้ำเกลือ ซึ่งก็มีบางกรณีที่อาการคลื่นไส้นั้นเกิดมาจากความวิตกของผู้รับการรักษาซึ่งใช้ยาช่วยไม่ได้ แต่ก็หวังว่าอาการคลื่นไส้ของปาลเล่นั้นจะหายในไม่ช้า
“ท่านพี่ลองเปลี่ยนชุดดูไหมครับ”
ปาลเล่ได้เปลี่ยนชุดให้หลวมและใส่สบายขึ้น
“ฮู้ว…ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นเยอะ มันเวียนหัวซะจนเห็นอะไรต่อมิอะไรกลายเป็นอะไรไปก็ไม่รู้..แล้วทำไมอยู่ดีๆ พี่ถึงรู้สึกคลื่นไส้กันล่ะ?”
“ยาต้านมะเร็งนั้นจะส่งผลไปยังสมองที่มีส่วนควบคุมการอาเจียนครับ มันจึงบังคับให้ท่านพี่อาเจียนออกมาแม้จะไม่อยากก็ตาม”
“นี่มันมีปฏิกิริยาที่ซับซ้อนเกิดขึ้นภายในร่างกายของฉันขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าหากมันหยุดอาการพวกนี้ได้ งั้นลองอัดมันเข้าไปอีกน่าจะดี”
ปาลเล่พยายามจะอัดปริมาณยาต้านอาการคลื่นไส้ที่อยู่ในมือเขาเข้าไปอีกแต่ฟาร์มาก็หยุดไว้
“สัดส่วนที่ผมใส่ลงไปนั้นพอเหมาะแล้วครับ ดังนั้นเรื่องนี้ให้ผมจัดการจะดีกว่า”
“อืม…”
ปาลเล่รู้สึกท้อใจขึ้นมาต่อหน้าของฟาร์มา เพราะเขาคงทำตัวเป็นผู้ป่วยได้แต่เพียงอย่างเดียว
“ไว้ตอนผมป่วยก็ขอฝากท่านพี่แทนแล้วกันนะครับ”
“จะประจบกันเกินไปหรือเปล่า”
ถึงฟาร์มาจะไม่คิดว่ามีวันนั้น แต่ปาลเล่ก็ทำตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่ยิ่งขึ้น
—
ผ่านไป 12 วัน จำนวนของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวลดลงอย่างต่อเนื่อง นับว่านั่นเป็นข่าวดี แต่ก็เกิดเหตุบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณของปาลเล่
อยู่เหมือนกันนั่นคือ อาการจากการใช้ยาต้านมะเร็งที่ส่งผลให้ผมของเขานั่นเริ่มร่วง
ทุกๆ ครั้งที่ปาลเล่หวีผมด้วยมือ เส้นผมของเขาก็จะร่วงหล่นลงมาไม่หยุด จนทำให้หมอนของเขาเต็มไปด้วยเส้นผมในเวลาไม่นาน
“นี่ผมของพี่จะไม่หยุดร่วงเลยใช่ไหม?”
เหมือนจะมีความรู้สึกแปลกๆ ออกมาจากภายใน สักอย่างเล่ได้ทำการหยิบผมที่ร่วงเหล่านั้นลงไปที่ถังขยะอย่างเงียบๆ ขณะฟังฟาร์มาตอบ
“ท่านพี่รู้สึกดีขึ้นมาแล้วหรือยังครับ?”
“พี่ก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้นแหละ”
แล้วฟาร์มาก็พยักหน้า
“เอาเถอะ”
ปาลเล่ก็ไม่ได้บ่นอะไรต่อ
“แล้วมันจะร่วงต่อไปอีกใช่ไหม ถ้าเป็นแบบนั้นฉันว่าจะจัดการโกนมันให้หมดไปเลยดีกว่า”
“ก็คงจะไม่ร่วงหมดหรอกครับ—แต่อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แค่คงจะบางลงกว่าเดิมก็ได้ครับ เพราะเซลล์ตามรูขุมขนนั้นได้รับผลจากยาต้านมะเร็งได้ง่ายจึงทำให้มันเริ่มหยุดการแบ่งตัวครับ ทางที่ดีท่านพี่ควรจะโกนผมออกให้หมดในทีเดียวเลยก็ได้นะครับ”
“แล้วแบบนั้นพี่จะหัวล้านไปตลอดชีวิตหรือเปล่า?”
เพราะอายุของเขาพึ่งจะได้ 18 ปี ปาลเล่ยังไม่ได้สนุกกับชีวิตอะไรมากมายขนาดนั้นเลย ดังนั้นการหัวล้านตลอดชีวิตหลังจากนี้คงจะโหดร้ายมากเลยทีเดียว
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นปาลเล่ก็ได้ทำใจไว้บ้างแล้ว
“ไม่หรอกครับ หลังจากที่ท่านพี่หยุดทานยาต้านมะเร็งไปแล้วมันก็จะกลับมาเอง”
“เข้าใจละ ช่วยไม่ได้สินะ แต่ช่วงรักษาตัวนี้ไม่อยากจะให้ใครมาเห็นเลยจริงๆ …”
บลานช์ที่ได้ยินปาลเล่พูดแบบนั้นอยู่หลังประตูก็คิดจะทำอะไรบางอย่าง..และไม่นานจากนั้น
“กรี๊ด!!”
เสียงกรีดร้องของลอตเต้ดังขึ้นไปทั่วคฤหาสน์
“ท่านบลานช์ทำอะไรอยู่คะเนี่ย!?”
ฟาร์มาที่รีบวิ่งตามเข้ามานั้นก็พบว่า บลานช์กำลังกำผมสีบลอนด์ของเธอไว้ซึ่งมันถูกตัดออกมาโดยมีดที่เธอถืออยู่
“ทำไมท่านถึงต้องทำแบบนี้กันนะ…ผมสวยออกขนาดนั้นแท้ๆ!”
ลอตเต้ได้ยึดมีดมาจากบลานช์และกอดเธอไว้ทำให้เธอไม่สามารถทำอะไรได้อีก
“บลานช์…กำลังทำอะไรอยู่นะ!”
ฟาร์มาถึงกลับไม่รู้ว่าต้องถามเธอไปยังไง เพราะสำหรับบุตรของชนชั้นสูงเช่นนี้ ผมยาวสีที่แสนสวยงามนั้นถือเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว หากทำการตัดมันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากแม่ของเธอเบียทริซอาจจะเกิดปัญหาเอาก็ได้
“หนูอยากจะเอามันไปทำวิกผมให้กับท่านพี่ใหญ่ค่ะ ถึงผมของท่านพี่ใหญ่จะเป็นสีเงินส่วนหนูเป็นสีบลอนด์ก็เถอะ แต่หนูก็ยังอยากทำให้อยู่ดี”
บลานช์ ชูผมของเธอขึ้นมา
“ไม่ได้เหรอคะ?”
เนื่องจากผลของยาต้านมะเร็ง ทำให้ผมของปาลเล่เริ่มร่วง ด้วยเหตุนั้นบลานช์จึงคิดจะใช้ผมของตัวเองทำวิกขึ้นมาเพื่อให้ปาลเล่สามารถสวมมันออกไปพบปะกับผู้คนได้บ้าง
“พี่แค่อยากจะให้ปรึกษากันก่อนจะตัดผมนั่นนะ”
มีดนั้นเป็นของอันตราย และคงจะเจ็บปวดมากแน่ๆ สำหรับฟาร์มา หากเธอเกิดบาดเจ็บขึ้นมา
“แต่ตอนนี้ท่านพี่ทั้งสองคนก็กำลังพยายามอย่างเต็มที่กันอยู่นี่คะ…”
บลานช์จึงได้คิดหาทางทำอะไรสักอย่างที่เธอพอจะช่วยได้
“นั่นสินะ พี่คิดว่าท่านพี่คงจะต้องดีใจมากแน่ๆ งั้นก็มาทำวิกผมสวยๆ กันเถอะ”
“ค่าาาา…”
ฟาร์มาลูบหัวของบลานช์ ในขณะเดียวกันก็ได้ส่งผมดังกล่าวไปทำวิกโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเขามั่นใจว่าจะต้องได้วิกที่มีคุณภาพสูงซึ่งมาจากเส้นผมสีบลอนด์ที่สวยงามนี้แน่ๆ
พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นทางบรูโนกับเบียทริซก็ไม่ได้ดุบลานช์ที่ทำแบบนั้นแต่อย่างใด
“อดทนได้ดีมากครับท่านพี่”
ฟาร์มาได้ดึงเข็มออกมาและเอาเลือดของปาลเล่มาตรวจ ก่อนเขาจะตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น บรูโนที่อยู่ภายในห้องนั้นด้วยกันได้แสดงรอยยิ้มจางๆ บนริมฝีปากของเขา
“ข่าวดีสินะ”
บรูโนพูดออกมา
“ข่าวดี?”
เนื่องจากผลของภาวะโลหิตจากทำให้ปาลเล่นั้นอ่อนล้า อีกทั้งยังมีเรื่องของผมที่ร่วงหล่นลงไปอีก ทำให้ท้อใจมากกว่าเดิม
“ตั้งแต่เริ่มการรักษาก็ผ่านไปแล้ว 16 วันเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวของท่านพี่ลดลงไปถึงสองระดับอย่างมีนัยสำคัญเลยทีเดียวครับ ตอนนี้ก็คิดเป็น 3% ของเซลล์เม็ดเลือดในกระแสเลือดแล้วครับ”
“… มันหมายความว่ายังไงกัน มันก็ยังเหลืออยู่ไม่ใช่หรือไง?”
ไม่เป็นไรหรอกครับ ฟาร์มาบอกแบบนั้นพร้อมส่ายหัว เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวในกระแสเลือดจะไม่หายไปทันที แต่การใช้ตัวยาATRAกับยาต้านมะเร็งตัวอื่นก็สามารถลดปริมาณลงให้ต่ำกว่า 5 % ได้แล้วซึ่งนั่นก็หมายความว่า….
“การรักษาเชิงโลหิตวิทยาเสร็จสิ้นแล้วครับ น่ายินดีจริงๆ”
“ยินดีด้วยนะคะท่านพี่”
เมื่อฟาร์มาพูดจบบลานช์ก็ได้เข้ามาในห้องพร้อมกับกล่องขนาดใหญ่ในมือของเธอ
“นั่นกำลังถืออะไรอยู่น่ะ?”
ปาลเล่มองไปยังกล่องที่บลานช์ถืออยู่
“ค่ะ- นี่คือ- พอดีหนูซื้อของขวัญมาให้กำลังใจท่านพี่ใหญ่ที่พยายามอย่างหนักค่ะ”
“เปิดเลยได้หรือเปล่า?”
“ค่ะ”
“นี่มัน…”
ของขวัญจากบลานช์ที่มอบให้กับปาลเล่นั่นคือวิก ซึ่งเขาก็รับมันมาด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน เพราะเขาก็แอบเสียใจที่อยู่ดีๆ บลานช์ก็ตัดผมถึงจะไม่รู้ว่าทำไม ก่อนที่ปาลเล่จะกล่าวแสดงความขอบคุณต่อทุกคน “ทุกคน ขอบคุณมากเลยนะ”
และเวลาก็ผ่านไป 18 วันการรักษาด้วยเคมีบำบัดก็ประสบความสำเร็จ
ด้วยการช่วยเหลือจากฟาร์มาและครอบครัว ปาลเล่ก็สามารถเอาชนะอุปสรรคแรกมาได้
แล้วปาลเล่ที่รอดพ้นมาจากความตายก็เริ่มกลับเข้าสู่สังคมชีวิตปกติ
—
Note : สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913