ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 102
แต่ไม่ว่าใครเป็นคนเก็บกวาดคดีนี้ก็ตาม มีวิธีควบคุมสถานการณ์ไม่ให้ลุกลามก็ใช้ได้ นางไม่ถามกระบวนการ ต้องการแค่ผลลัพธ์ อย่าว่าแต่โจวอวี่ยังเปิดเผยดี แม้แต่ความนัยของเรื่องก็ยังบอกนาง
ดังนั้น สีหน้าของชิวเยี่ยไป๋จึงผ่อนคลายลง มิใช่เย็นชาเกรี้ยวกราดต่อโจวอวี่เช่นตอนแรก นางเลิกคิ้วกล่าวว่า “ขณะนี้กองคั่นเฟิงของพวกเรากำลังต้องการใช้คน ต้องร่วมแรงร่วมใจพานาวาฝ่าลมฝนไปให้ได้ โจวอี้จ่างจงอย่าดูแคลนตนเอง”
ดูแล้วตระกูลโจวพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง คนที่สามารถกดดันคนในกองปู่เฟิงได้ทั้งที่มีคนตาย คงมีแต่เจิ้งจวินตูกงเท่านั้น ถ้าสามารถทำให้เจิ้งจวินออกหน้าแสดงว่าตระกูลโจวมีความสามารถพอตัว วันหลังอาจใช้สอยได้
“เอ้อนี่ แล้วอาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ชิวเยี่ยไป๋น้ำเสียงผ่อนคลายลง คนที่วันข้างหน้ายังใช้สอยได้ นางจึงไม่ละเลยที่จะใส่ใจและให้หน้าบ้าง
ถูกชิวเยี่ยไป๋ข่มขู่กดดันและถากถางตลอดเวลา บัดนี้จู่ๆ ได้รับคำปลอบโยน โจวอวี่ถึงกับสะดุ้ง รีบผงกศีรษะกล่าวว่า “ค่อย…ค่อยยังชั่วแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้มาดูกันว่าจะทำอย่างไรต่อ” ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มเนือยๆ แลดูเป๋าเป่าแวบหนึ่ง “ข้าฟังว่าเจี่ยงอี้จ่างพอจะมีเส้นสายอยู่ในตลาดบ้าง และสืบได้ข่าวคราวไม่น้อย”
เป๋าเป่ารับลูกทันที จึงให้เสี่ยวเหยียนจื่อรีบไปนำข้อมูลคดีการปล้นที่ไหวหนานซึ่งเขารวบรวมมาได้จากห้องพักของเขา แล้วอธิบายให้ชิวเยี่ยไป๋รับทราบอย่างละเอียด
ที่เรียกว่าไหวหนานหมายถึงดินแดนตอนใต้ผืนใหญ่จากเมืองหลวงถึงลุ่มน้ำเจียงไหว ระยะทางห่างจากราชธานีไม่ถึงสามวัน หลังคลองใหญ่ขุดเสร็จแล้ว การเดินทางและการลำเลียงสินค้าของขุนนางและราษฎรส่วนใหญ่จึงใช้เส้นทางน้ำนี้ ประหยัดทั้งเวลาและแรงงาน
เดิมทีคลองขุดนี้ผ่านหลายเมือง จึงย่อมถูกพวกนักเลงเจ้าถิ่นเรียกค่าคุ้มครองบ้าง แต่เนื่องจากผู้ใช้ทางสัญจรทางน้ำ นอกจากราษฎรทั่วไปแล้วยังมีขุนนางข้าราชการไม่น้อย ดังนั้นการควบคุมของทางการยังคงเหนือกว่ามาก แม้จะถูกเรียกค่าคุ้มครองบ้าง อย่างมากก็แค่การรีดไถเล็กๆ น้อยๆ
แต่สองปีนี้ ไม่ทราบว่ามีโจรสลัดโผล่มาจากที่ใด ปล้นชิงเป็นอาชีพและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เนื่องจากการปล้นของโจรสลัดมิได้ใหญ่โตนัก และส่วนมากเป็นการปล้นเรือเล็กของชาวบ้าน บวกกับกระแสน้ำแถบไหวหนานซับซ้อน และอยู่ใกล้ภูเขาเหลียงซานซึ่งเป็นที่ชอบใจของพวกนักเลงและมิจฉาชีพ ดังนั้นการสืบสาวราวเรื่องของทางการจึงมิได้เข้มงวดนัก บางครั้งจับโจรได้คนสองคนก็ประหารหรือไม่ก็โบยตี เผื่อจะได้กำราบโจรบ้าง ถือว่ารายงานต่อเบื้องบนได้และพอจะแก้ตัวกับชาวบ้านได้บ้าง
สองปีผ่านไป โจรสลัดเหล่านี้จึงกลายเป็นอิทธิพลท้องถิ่น เป้าหมายการปล้นก็ขยายจากเรือเล็กของพ่อค้าทั่วไปเป็นเรือคหบดีของราชธานี แต่ไม่เคยปล้นเรือของทางการเลย ดังนั้นแม้ทางการจะทำท่าแข็งขัน แต่ยังคงไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย
จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ โจรพวกนี้เหิมเกริมหนักข้อทุกที ถึงกับปล้นเรือสินค้าของตระกูลเหมย ตระกูลเหมยเป็นพ่อค้าระดับราชวงศ์ สินค้าที่บรรทุกคือเครื่องบรรณาการ บัดนี้เกิดเรื่องเกิดราว ทางการคงทำผักชีโรยหน้าต่อไปไม่ได้แล้ว
ถึงกับมีขุนนางระดับอวี้สื่อถวายฎีกาตรงๆ ว่าพวกโจรมีขุนนางตามหัวเมืองหนุนหลังจึงปล้นหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ และเพราะโจรร้ายสมคบคิดกับขุนนาง เรื่องนี้จึงให้ข้าราชการหัวเมืองหรือทหารหัวเมืองไปสืบสาวมิได้ ต้องให้ขุนนางจากเมืองหลวงทำคดี
เรื่องนี้ตึงมือจริงๆ เกิดทำได้ไม่ดีจะมีความผิด ทำได้ดีก็ใช่ว่าจะเป็นความชอบ ดังนั้นหน่วยงานราชการในเมืองหลวงจึงพากันโยนกันไปโยนกันมา สุดท้ายก็ตกใส่หัวซือหลี่เจียน
ถึงอย่างไรซือหลี่เจียนมีชื่อเสียงกระฉ่อนในการตรวจสอบและสืบสวนมิใช่หรือ
ฟังที่มาที่ไปของคดีแล้ว ชิวเยี่ยไป๋ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ พลันหันไปมองโจวอวี่ “ใต้เท้าโจว ท่านเห็นว่าอย่างไร”
โจวอวี่อึ้งไป เขาเหลวไหลมานานปี ยังไม่เคยมีใครเอาเรื่องใหญ่โตขนาดนี้มาถามไถ่
แต่ในเมื่อชิวเยี่ยไป๋ถามแล้ว เขาจึงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าคิดดูแล้วเรื่องนี้ประหลาดอยู่”
เป๋าเป่าฟังแล้วชักเดือดในใจ มองเขาอย่างดูแคลน “อ้อ! พี่โจวว่าประหลาดหรือ”
ไอ้คนหยิบหย่งไม่เอาไหนเช่นนี้ จะไปดูอะไรออก ยังมีหน้ามาสงสัยข้อมูลที่เขารวบรวมมาหรือ
โจวอวี่กลับมิได้สังเกตว่าเป๋าเป่าสีหน้าไม่ดี เพียงลูบกำไลลูกประคำที่ข้อมือ กล่าวอย่างลังเลว่า “ตระกูลเหมยเป็นพ่อค้าหลวง ใต้ฟ้ารู้กันทั่ว เบื้องหลังของตระกูลเหมยก็คือตระกูลตู้ ซือหลี่เจียนของพวกเราก็อยู่ใต้อิทธิพลของพระพันปี ถ้าเรื่องนี้ตระกูลเหมยจะสืบสาวราวเรื่องให้ถึงที่สุด น่าจะไม่ป่าวประกาศจนรู้กันไปทั่ว แต่ควรทูลต่อพระพันปีเป็นการลับ ให้หน่วยงานอื่นรับช่วงต่อ แล้วซือหลี่เจียนค่อยลงมือเป็นการภายใน เพราะถ้าทำได้ไม่ดีอย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกตำหนิว่ามิได้ลงแรง!”
เป๋าเป่างงงัน เรื่องบางอย่างเขาสืบไม่ครบจริงๆ พลันขมวดคิ้วกล่าวว่า “เบื้องหลังของตระกูลเหมยคือตระกูลตู้ เจ้าแน่ใจหรือ”
โจวอวี่พยักหน้า เขากล่าวอย่างมั่นใจต่อชิวเยี่ยไป๋และเป๋าเป่าว่า “ไม่ผิด คนที่รู้เรื่องนี้มีไม่มาก ครั้งหนึ่งข้ากับพี่ชายภรรยา…เอ้อ…ตู้เชียนจ่งไปเที่ยวโรงคณิกา จึงรู้เข้าโดยบังเอิญ ตอนนั้นความจริงข้าเรียกนางคณิกาเตรียมขึ้นห้องแล้ว แต่เพราะดื่มมากไปท้องไส้ไม่สบาย เลยออกไปอ้วกในสวน และพบว่าตู้เชียนจ่งกำลังคุยกับพ่อบ้านตระกูลเหมย จึงรู้เรื่องนี้”
ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถ้าข่าวของโจวอวี่เป็นความจริง เรื่องนี้ก็ออกจะประหลาดอยู่ ถึงอย่างไรซือหลี่เจียนก็มิได้มีอำนาจล้นฟ้าเช่นกาลก่อน ถ้าเกิดข้อหาทำคดีผิดพลาดหรือไม่ลงแรง
ซือหลี่เจียนก็จะตกเป็นขี้ปากของฝ่ายตรงข้ามในราชสำนัก ย่อมต้องโดนโจมตีอย่างดุเดือดแน่
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น อย่างน้อยไป๋หลี่ชูก็ไม่ไว้หน้าซือหลี่เจียนแน่ อำนาจการเกษียรฎีกาด้วยหมึกแดงเดิมทีเป็นอำนาจในมือของขันทีใหญ่ผู้ถือตราประทับ บัดนี้ตกอยู่ในมือของไป๋หลี่ชูแล้ว เขามีอำนาจทุกเรื่อง ขณะที่พระพันปีถูกแขวน อย่างมากทำได้แค่เรื่องจุกจิก ในใจย่อมขุ่นเคือง ทั้งสองฝ่ายเป็นอริกันมาช้านาน ค่งเฮ่อเจียนกับซือหลี่เจียนเหมือนน้ำกับไฟที่อยู่ร่วมกันไม่ได้
เพราะเหตุใดพระพันปีถึงยกก้อนหินทุ่มใส่เท้าตัวเอง
“หรือว่าคดีโจรสลัดจะเป็นแผนที่วางไว้จัดการกับพระพันปีโดยเฉพาะ ถ้าเป็นเช่นนี้คดีนี้ก็ตึงมือแล้ว จะสืบหรือไม่สืบล้วนยากยิ่ง มิน่าเล่าตูกงจึงได้โยนคดีนี้ให้ คงอยากให้กองคั่นเฟิงของเราเป็นแพะรับบาป!” เป๋าเป่าแค่นเสียงคราหนึ่ง
สละหน่วยงานที่ไม่สำคัญเช่นกองคั่นเฟิงด้วยข้อหาทำคดีไม่ลงแรง เพื่อความอยู่รอดของซือหลี่เจียนทั้งหน่วยงาน
ชิวเยี่ยไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทฤษฎีของเป๋าเป่าเป็นผลลัพธ์ที่นางไม่อยากให้เกิดขึ้นเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือคนของตนเอง ล้วนวางหมากหลายชั้นอย่างประสงค์ร้าย และกองคั่นเฟิงกำลังถูกขนาบทั้งหน้าหลัง กลายเป็นเครื่องสังเวยที่ถูกเลือกไว้แต่แรกแล้ว
หากเป็นเช่นนี้จริง การยุบกองคั่นเฟิงไม่มีทางจบเรื่องเด็ดขาด ต้องมีคนติดคุกเพราะทำคดีไม่ได้เป็นแน่
และดูเหมือนนางที่เป็นเชียนจ่งคนใหม่นี่แหละที่จะกลายเป็นแพะที่ถูกหมายหัว ถ้าศัตรูของตระกูลตู้จงใจจะใช้นางโจมตีตระกูลตู้ เพิ่มอีกข้อหาว่านางรับสินบนปกป้องโจรสลัด พิพากษาตัดหัวนาง ก็มิใช่จะเป็นไปไม่ได้