ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ - ตอนที่ 145 หมากตาย (1)
คำพูดเหล่านี้ไม่บังควรให้ข้าราชบริพารได้ยิน แต่หมอหลวงคนนี้เป็นคนที่ตระกูลตู้ชุบเลี้ยงมา ยามนี้จึงท่าทางเป็นธรรมชาติมิลนลาน กลับลุกขึ้นยืนหลังพระพันปี เปิด**บยาหยิบค้อนหยกอุ่นหุ้มทองออกมาทุบไหล่ให้พระพันปีเบาๆ พลางอธิบายอย่างนุ่มนวลว่า “พระพันปีมิต้องกังวล จักรพรรดินีมีนิสัยนุ่มนวลมาแต่เล็ก มีท่านอยู่ก็ไม่มีอะไรต้องวิตก”
“ไม่วิตก ข้าจะไม่วิตกได้อย่างไร เจ้าไม่เห็นหรือว่าองค์จักรพรรดิโปรดปรานไป๋หลี่ชูยังกับอะไรดี เอาอกเอาใจนางปีศาจจิ้งจอกจนไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ไม่เห็นข้าในสายตาด้วยซ้ำ ยังไม่ต้องพูดถึงการมอบอำนาจสิทธิ์ขาดให้นางสารเลว อะไรดีๆ ในวัง ไม่มีใครคิดจะเอามาถวายพระพันปี ยกให้นางสารเลวหมด” พระพันปีพูดจบเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองกำลังแก่งแย่งกับคนที่เด็กกว่า เป็นเรื่องมิบังควรอย่างยิ่งจึงเงียบไป
กลับเป็นหมอหลวงที่มือหนึ่งนวดเฟ้นท่อนแขนให้พระพันปีพลางกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “แม้ฝ่าบาท
เซ่อกั๋วจะเป็นที่โปรดปราน แต่ในที่สุดยังคงต้องออกเรือน นางไม่มีฐานอำนาจยังมิพูดถึง สุขภาพก็ไม่สู้ดี แต่ละปีต้องไปฝึกพลังในภูเขาอยู่หลายเดือน ปีนี้อากาศร้อนมาก ฝ่าบาททนร้อนไม่ไหวจึงไปที่ภูเขาเอ๋อเหมยอีกมิใช่หรือ เรื่องที่เหมือนหมอกควันมาแล้วก็ผ่านไปเช่นนี้ พระพันปีจะใส่พระทัยทำไมกัน”
พระพันปีแค่นเสียงหัวร่อเย็นชา “คนที่เกิดจากปีศาจสุนัขจิ้งจอกไม่มีดีอะไรแน่ ไป๋หลี่ชูเหลวไหลไร้ยางอาย เลี้ยงชายบำเรอไว้มากมาย ชื่อเสียงเหลวแหลกถึงเพียงนี้ ข้าว่านางคงอยากอยู่แต่ในวังตลอดชีวิต และข้าคงต้องกลุ้มใจตลอดไป!”
หมอหลวงไม่พูด เพียงเอื้อมมือคลึงมือที่ประดับเล็บด้วยอัญมณีทั้งสองข้างเบาๆ
พระพันปีแลดูหมอหลวง รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นบ้าง จึงกล่าวเนือยๆ ว่า “แต่ก็ดีไป ปีนี้ไป๋หลี่ชูไปแต่เนิ่นๆ จะได้มีวันเวลาที่สงบบ้าง เพียงแต่…”
นางลังเลครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “วานนี้ข้าได้ข่าวมา เจ้าเด็กเหมยซูไปไหวหนานอีกแล้ว เรื่องนี้ข้าเคยกำชับไว้แล้วว่าอย่ายุ่ง ข้าย่อมมีแผนของข้าเองมิใช่หรือ”
หมอหลวงครุ่นคิดเล็กน้อย “อืม เมื่อวานเจิ้งจวินที่ซือหลี่เจียนมารายงานว่า บุตรคนที่สี่ตระกูลชิวไปไหวหนานแล้ว”
“คิดว่าเมื่อครู่เจิ้งกงกงสั่งไว้แล้ว คนข้างล่างคงไม่มีปัญหา” หมอหลวงถอดเครื่องประดับเล็บออกพลางกล่าว
พระพันปีถอนใจคราหนึ่ง แววตาเย็นเยียบ “เฮอะ จะว่าไปแล้วก็เพราะพวกสวะนี่แหละ ถึงทำให้คนอื่นได้ที ก่อกวนจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องทำเช่นนี้!”
ดูเหมือนนางจะนึกอะไรได้ ระบายเพลิงโทสะใส่กาน้ำชาหยกขาวบนโต๊ะ หางตาที่แต้มด้วยสีเขียวนกยูงและสีทองจางๆ ยิ่งจับให้แววตาเกรี้ยวกราด “ที่น่าตายก็ไอ้ข้าทาสพวกนั้น มันกล้าลามถึงหัวข้า ไม่อยากมีชีวิตหรือไร!”
กาน้ำชาชั้นดีถูกโยนโครมตกสู่พื้นแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แม้คนรับใช้ประจำห้องจะถูกผลักไสไปเกือบหมดแล้ว แต่ข้างกายพระพันปีจะไม่มีคนรับใช้เลยย่อมไม่ได้ ยังคงมีนางกำนัลคนสนิทและหมัวมัวประจำตัวยืนอยู่ข้างหลัง ต่างเห็นพระพันปีพิโรธจึงพากันคุกเข่าลงทันที ไม่สนใจเศษแก้วกระเบื้องที่แตกเมื่อครู่ คุกเข่าลงไปบนนั้นเลย เหมือนกับทำเช่นนี้จนชินแล้ว
กลับเป็นหมอหลวงที่มิได้คุกเข่าลง เพียงยิ้มอย่างสุภาพ วางมือพระพันปีลงเดินไปข้างหลัง ยื่นนิ้วคลึงขมับให้เบาๆ “พระพันปีพระเจ้าข้า พวกข้าทาสย่อมมีวันสำนึกเสียใจ ท่านมิจำเป็นต้องโกรธเกรี้ยวไปกับมดปลวกพวกนี้ เกิดประชวรขึ้นมากลับจะสมใจพวกมันพระเจ้าข้า”
นิ้วเรียวยาวของหมอหลวงเย็นเล็กน้อย คลึงที่ขมับรู้สึกสบาย และลีลานิ้วก็ดีมาก พระพันปีจึงค่อยสงบลง และพาลอิงอยู่บนตัวเขาเสียเลย ได้กลิ่นสมุนไพรจางๆ จึงถามอย่างเย็นชาว่า “ถูกต้อง ไอ้พวกโจรร้ายบังอาจลามถึงหัวข้า วันใดที่ตระกูลตู้ยังอยู่ ขอเพียงเลือดในกายของจักรพรรดิยังเป็นสายเลือดตระกูลตู้ ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ไอ้พวกนอกคอกอย่าหวังเลยว่าจะได้แตะบัลลังก์จักรพรรดิ!”
หมอหลวงยิ้มอย่างเอาใจ “ย่อมเป็นเช่นนั้น ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันเป็นโอรสของพระพันปี สรรพความดีย่อมเป็นความกตัญญูมาก่อน ย่อมไม่มีทางขัดพระทัยพระพันปีเป็นธรรมดา”
พระพันปีฟังแล้วถอนใจเบาๆ สีหน้าปรากฏแววหมองหม่นและสับสนเนิ่นนานก่อนกล่าวเบาๆ ว่า “นั่นน่ะสิ เขาไม่ขัดใจข้าหรอก ล้วนเป็นความผิดของนางปีศาจจิ้งจอก ครานั้นนางทำเอาจักรพรรดิเสียสุขภาพ แถมยังทำให้จักรพรรดิกับข้า…”
แม่ลูกไม่ถูกกัน
ห้าคำนี้พระพันปีมิได้พูดออกมา แต่คนในห้องรู้ดีและต่างเงียบงัน แม้แต่หายใจแรงก็มิกล้า
พระพันปีบิดผ้าเช็ดหน้าในมือ แววตายิ่งอำมหิต “นางปีศาจจิ้งจอก ตายแล้วยังไม่เลิกรา ทิ้งนางแพศยาไป๋หลี่ชูไว้ ข้าแค้นนักที่ตอนแรกใจอ่อนปล่อยสายเลือดปีศาจจิ้งจอกไว้ จนนางแพศยาเติบใหญ่ งานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิของเป่ยจวิ้นอ๋องครั้งก่อน เคยส่งมือดีไปมากมายกลับไม่ได้ชีวิตนางแพศยา แถมมันยังรู้ว่าเป็นฝีมือข้า คนที่ส่งไปถูกทรมานปางตาย โดนประหารทั้งตระกูล ไอ้เป่ยจวิ้นอ๋องก็โง่เง่าสิ้นดี เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ทำไม่ได้ ยังมาร้องขอให้ข้าช่วยล้างแค้นให้ด้วย ฮึ!”
บรรยากาศหนักอึ้งจนไม่มีใครกล้าขยับ พวกนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่ยิ่งก้มหน้าลงจนไม่อาจจะต่ำกว่านั้นได้
ผ่านไปพักหนึ่ง หมอหลวงมองดูฟ้าแล้วทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ข้าน้อยว่าสายแล้ว เลยเวลาเสวยกระยาหารกลางวันของพระพันปีร่วมครึ่งชั่วยามแล้ว บัดนี้ควรพักผ่อนได้แล้ว”
พระพันปีโบกมืออย่างอ่อนล้า “อืม”
หมอหลวงมองดูหมัวมัวและนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่ พยักหน้าให้เล็กน้อย
ทุกคนรู้สัญญาณและลุกขึ้นทันที อาภรณ์ท่อนล่างต่างก็เปื้อนเลือดสีเข้มจางต่างกันไป
หมัวมัวคนหนึ่งกล่าวอย่างนบนอบว่า “พระพันปีพระเจ้าข้า พวกเราเสื้อผ้าเลอะเทอะ ขอไปผลัดเปลี่ยนก่อนพระเจ้าข้า จะได้ไม่รกสายพระเนตรของพระพันปี ตรงนี้ยังมีท่านหมอหลวงคอยดูแล ได้หรือไม่พระเจ้าข้า”
หมอหลวงอยู่รับใช้พระพันปีตามลำพัง ข้างกายไม่มีนางกำนัลเลยย่อมไม่เหมาะควร แต่ในเมื่อหมัวมัวถามอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดและคนอื่นก็ไม่มีใครสีหน้าผิดแปลก จึงเห็นได้ว่าเป็นเรื่องปกติแล้ว
พระพันปีเหลือบมองหมอหลวงแวบหนึ่ง เห็นเขากำลังมองตนอย่างนุ่มนวล นางจึงพยักหน้ากล่าวอย่างอ่อนล้าว่า “พวกเจ้าไปให้หมด”
หมัวมัวหลายคนและนางกำนัลพากันย่อกายคารวะแล้วถอยออกไปอย่างระมัดระวัง
ห้องโถงในเรือนน้ำเงียบสงัด ด้านนอกมีนางกำนัลไม่กี่คนยืนประจำที่เหมือนหุ่นไม้ หนึ่งเดียวที่ส่งเสียงคือจักจั่นบนต้นไม้